Home
หา story ที่ชอบให้พบ, และอ่านเรื่องนั้นทุกวัน, ไม่มากก็น้อย จะได้ประโยชน์มหาศาล
สวัสดีครับ
การอ่านเป็นการเติมพลังทางภาษาให้แก่ตัวเอง
แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า มีเรื่องมากมายให้อ่านจนเลือกไม่ถูก แต่การหาให้พบเรื่องที่เรารักจะอ่าน เราแต่ละคนต้องหาเอง อย่าไปบังคับ, ใช้สอย, หรืออ้อนวอนให้ใครหาให้ เพราะเขาไม่ใช่เรา, ถ้าเราไม่หาเอง-เราก็ไม่พบ
อาจจะเป็นบทความ นิยาย เรื่องสั้น ขำขัน ตำรา ฯลฯ หรือเราอาจจะชอบหลายอย่างก็เป็นไปได้ พยายามหาให้พบ เมื่อพบแล้วก็อ่านให้เป็นนิสัย อ่านทุกวัน ทั้งวันที่มีเวลาและไม่มีเวลา วันที่ขยันและขี้เกียจ วันที่มีแรงมากและแรงน้อย มีแต่คนที่ตั้งใจไร้ข้อแม้และข้อแก้ตัวเท่านั้น ที่จะเดินทางถึงที่หมายตามกำหนด
อย่าเอาแต่อ่านเกี่ยวกับประโยชน์ของการอ่าน หรือหลักการของการอ่าน โดยไม่นั่งลงและหยิบหนังสือมาอ่านจริง ๆ
ถ้ามีคนอยากเดินทางอยู่ 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เอาแต่อ่านแผนที่ และ
ประเภทที่ 2 ออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปโดยไม่ยอมดูแผนที่
คนประเภทที่ 1 จะไม่หลงทางแต่ก็ไม่เคยเดินทางถึง
คนประเภทที่ 2 แม้ออกเดินทางจริง แต่อาจหลงทางอยู่นานกว่าจะเดินทางถึง
ท่านที่เป็นแฟนเว็บนี้ ผมขอถามหน่อยเถอะครับ ท่านอ่านภาษาอังกฤษทุกวันจนเป็นนิสัยหรือเปล่า ถ้าท่านยังไม่มีนิสัยนี้ ท่านอาจจะเป็นนักเดินทางประเภทที่ 1 คือ อ่านหนังสือแผนที่ แต่ไม่เคยออกเดินทาง
แต่ถ้าท่านอ่านอยู่บ้าง แต่เลือกเรื่องที่ไม่เหมาะ เช่น เรื่องที่ยาวเกินไป เรื่องที่ยากเกินไป เรื่องที่ไม่ชอบ เรื่องที่ไม่เคยเอามาใช้ อ่านอย่างหลงทางไร้จุดหมาย อย่างนี้ท่านอาจจะเป็นนักเดินทางประเภทที่ 2 คือ นักเดินทางที่ไม่เคยดูแผนที่
ผมขอคุยด้วยสั้น ๆ แค่นี้แหละครับ ความผิดๆ พลาดๆ ที่คุยนี้ผมเองเคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น และไม่อยากให้ท่านเสียเวลาเหมือนกับที่ผมเคยเสีย
และวันนี้ผมมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ จะแนะนำท่านที่ชอบอ่าน story, ท่านใดที่ไม่ชอบจะอ่านด้วยก็ได้ครับ
ในเว็บนี้มี story มากมายให้ท่านอ่านจากเว็บ หรือเป็นไฟล์ให้ดาวน์โหลดไปอ่าน offline, คลิก:
วันนี้ผมจะแนะนำเพิ่มเติมอีก 1 เว็บ คือ http://storystar.com ซึ่งมี story ให้หลากหลายให้เลือกอ่าน
แต่ละเรื่องมีดาวกำกับตามความน่าอ่านที่มีผู้แนะนำ จากน่าอ่านน้อยสุด1 ดาว, ไปจนถึงน่าอ่านมากสุด 5 ดาว,
[1] เรื่องจากบนลงล่าง, เรื่องตีพิมพ์ใหม่อยู่ข้างบน, เรื่องเก่าอยู่ข้างล่าง
[2] เรื่องที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเรื่องเด่นรายเดือน แยกตามประเภทต่าง ๆ
[3] เรื่องจริง (True Stories)
[4] เรื่องสั้น –แบ่งตามประเภทของผู้อ่าน (Short Stories)
[5] เรื่องสั้น–แบ่งตามประเภทของ Theme(Short Story Themes)
คลิกประเภทของเรื่องที่จะอ่าน ในเมนูด้านซ้ายมือของหน้า
- Love / Romance
- Family / Friends
- Inspirational
- Survival / Success
- Fantasy / Fairy Tale
- Mystery / Crime
- Science Fiction
- General Interest
- Drama
- Adventure
- Classic Shorts
[6] เว็บอื่น ๆ ทำนองนี้ยังมีอีกเยอะ
ถ้าท่านถามว่า การอ่าน story มีประโยชน์ยังไง ผมขอตอบสั้น ๆ สำหรับท่านที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง คือผมขอพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าอ่านเก่งก็จะช่วยให้พูดเก่งด้วย เส้นทางการไหลของทักษะ มันมีอย่างนี้ครับ
[1] เมื่อเราอ่านทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่าน story ที่เราชอบมากสักหน่อย ที่ไม่ยาวเกินไป ไม่ยากเกินไป เราจะได้เห็นประโยคที่นักประพันธ์ใช้เล่าเรื่อง และประโยคสนทนาที่ตัวแสดงในเรื่องใช้พูดกัน และประโยคพวกนี้แหละครับ ที่เราจะค่อย ๆ สังเกต ศึกษา ซึมซับ และจับมาใช้พูด เราจะค่อย ๆ ทำได้เองโดยอัตโนมัติครับ
[2] นอกจากการผูกประโยคตามข้อ [1] แล้ว การอ่านบ่อย ๆ ยังช่วยให้เรารู้จักการเล่าเรื่อง เรื่องนี้เห็นได้ไม่ยากครับ คนไทยหลายคนภาษาไทยแท้ ๆ ยังเล่าไม่ค่อยรู้เรื่อง เรียงเหตุการณ์สลับไปสลับมาอย่างผิดๆ ถูก ๆ เอาหลังมาพูดก่อน เอาก่อนไปพูดทีหลัง อย่างที่เขาชอบแซวกันเล่น ๆ ว่า บางคนพูดได้หลายภาษา ยกเว้นภาษาคนภาษาเดียวพูดไม่เป็น ทักษะการผูกประโยคเพื่อเล่าเรื่อง ให้คนฟังรู้สึกเข้าใจและเร้าใจ นี่ก็ได้มาจากการอ่านเช่นกันครับ
[3] สำหรับท่านที่อ่าน story เป็นประจำ ท่านจะได้เกร็ดความรู้หรือความเพลิดเพลินจาก story ที่อ่าน ท่านจะเห็นจริงได้ง่าย ๆ ตามที่ผมพูด คือเรื่องราวความรู้อันเดียวกัน ท่านอาจจะได้มาจากตำราวิชาการแห้ง ๆ หรือ story ที่มีตัวละครก็ได้ แต่ถ้าเป็น story เรื่องราวที่ท่านเก็บมาเล่าต่อ มันจะมีอารมณ์ และเล่าได้เพลิน ออกรสออกชาติ มากกว่าตำราวิชาการฝืด ๆ เพราะฉะนั้น คนอ่าน story มาก ๆ ก็จะสะสมมุกเด็ด ๆ เอามาใช้เป็นประเด็นสำหรับ “small talk” ได้ง่าย ๆ เมื่อต้องคุยกับผู้คน
[4] story ที่เราชอบ ที่ไม่ยากเกินไป ไม่ยาวเกินไป เราสามารถเดาศัพท์ที่ไม่เคยเห็น หรือไม่แน่ใจ จากเรื่องที่อ่านได้ง่าย ถ้าครั้งแรกเจอแล้วจำไม่ได้ก็ช่างมัน เพราะว่าถ้าไปเจอซ้ำในที่อื่น ก็จะค่อย ๆ จำได้เอง ข้อสำคัญให้พยายามออกเสียงอ่านคำศัพท์ในใจ หรือถ้าเปล่งเสียงออกมาได้ก็ยิ่งดี มันจะช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น และพอจะดึงมาใช้เวลาพูดสนทนาภาษาอังกฤษ ก็จะมั่นใจขึ้นเยอะ เพราะอย่างน้อยเราได้ซ้อมพูดเป็นคำ ๆ มาแล้ว ถึงเวลาจริงที่จะพูดเป็นประโยคก็ฮึดอีกนิดนึงเท่านั้นเอง
[5] การที่ผมขอให้ท่านพยายามลงทุนหาให้เจอเรื่องที่ท่านรักหรือมีความสุขที่จะอ่านก็เพราะว่า ประโยคใน story หรือ fiction เหล่านี้ที่เราอ่านจะจับใจหรือดูดซับอยู่ในสมองของเราได้ง่าย ไม่เหมือนตำราวิชาการที่แห้งแล้ง เมื่อเข้าทางขมับซีกซ้ายก็จะไหลออกทางขมับซีกขวาทันที อย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนรักเด็ก (คนโดยทั่วไปก็รักเด็กเล็ก ๆ อยู่แล้ว) เราจะสามารถจดจำภาษาอังกฤษง่าย ๆ ที่ใช้บรรยายพฤติกรรมที่น่ารักของเด็กแรกเกิด และถ้าเราเพิ่มความใส่ใจลงไปอีก 1 ขีด มันก็จะจดจำได้ไม่ยากนัก
[6] เรื่องเล่าใน story ง่าย ๆ มักจะใช้ past tense หรือ past continuous tense นี่เป็นการเรียนการใช้ tense ที่ง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด เราอ่านแล้วก็จดจำมาใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องไปท่องตำรา
ที่พูดมาทั้งหมดนี้คือแผนที่ ดูแผนที่แล้วต้องก้าวเท้าออกเดินทางด้วยขาของตัวเองทุกวันครับ
พิพัฒน์
ขอทราบความเห็นของท่านผู้อ่านหน่อยครับ
ท่านผู้อ่านครับ
ผมกำลังหาวิธีง่าย ๆ ในการเสนอแบบฝึกหัดรายวัน เพื่อฝึกอ่านและแปลข่าว
คืออยากจะให้มันง่าย ๆ ทั้งสำหรับผมที่เตรียมเนื้อหา และสำหรับท่านผู้อ่านที่ฝึก
โดยผมจะดึงย่อหน้าแรกของ All Top Stories [http://bangkokpost.com/lite/topstories] จาก นสพ. Bangkok Post มาแสดงการแปล
กะว่าอย่างน้อยวันละ 3-4 ข่าว:
- ย่อหน้าแรกเป็นเนื้อข่าว,
- ย่อหน้าที่สองใส่คำแปลไทยต่อท้ายคำศัพท์,
- ย่อหน้าที่สาม คือคำแปลภาษาไทย (เน้นความเข้าใจ,ไม่เน้นความสละสลวยของคำแปล)
ผมขอทราบความเห็นของท่านว่าควรจะปรับปรุงรูปแบบอย่างไรหรือไม่
และอย่างที่บอกแล้ว ผมเห็นว่า ควรจะง่าย และไม่มากเกินไป เดี๋ยวคนเรียนจะรู้สึกว่ายาก, เยอะ, ถูกยัดเยียด, และไม่อยากเรียน,
เมื่อได้ข้อสรุปอย่างใดแล้ว วันต่อ ๆ ไปผมก็จะนำเสนออย่างที่ได้นี้, รบกวนท่านให้ความเห็นหน่อยนะครับ ขอบคุณมากครับ
- พิพัฒน์
คลิกดูตัวอย่าง - - > http://tinyurl.com/o6jmkjc
เว็บ e4thai.com เปิดคอลัมน์ พูดคุย แลกเปลี่ยน ถามตอบ ปัญหาภาษาอังกฤษ แล้วครับ
สวัสดีครับ
วันนี้ผมตัดสินใจแล้วว่า เว็บ e4thai.com ควรทดลองเปิดคอลัมน์ พูดคุย แลกเปลี่ยน ถามตอบ ปัญหาภาษาอังกฤษได้แล้ว
ที่ผ่านมาผมไม่กล้าเปิดให้ท่านถาม เพราะไม่แน่ใจในความแม่นของตัวเอง พูดง่าย ๆ คือกลัวตอบผิด แต่เมื่อคิดไปคิดมา และคิดมาคิดไปหลายรอบ ก็มาถึงข้อสรุปว่า ผมไม่จำเป็นต้องเกร็งเกินไป เมื่อท่านถามมา ถ้าผมตอบได้ก็ตอบ ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่ตอบ ถ้าไม่แน่ใจก็รอก่อน ก็เท่านี้เอง ถ้าท่านผู้อ่านถามมา 10 คำถาม ผมตอบได้แค่ 3 คำถาม อย่างน้อยก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ 3 ท่านที่ถามมา และท่านอื่น ๆ ที่สงสัยอย่างเดียวกันแต่ไม่ได้ถาม
ผมจึงขอบอกว่า ถ้าท่านมีอะไรที่จะพูดคุย แลกเปลี่ยน สอบถาม ปัญหาภาษาอังกฤษ แถมด้วยเรื่องการค้นหาข้อมูลในเน็ต และธรรมะ เชิญเขียนมาได้เลยครับ ผมจะพยายามตอบให้ได้มากที่สุด เท่าที่ผมจะตอบได้ ตามเงื่อนไขข้างต้น
ท่านคลิก Add comment และพิมพ์คำถามหรือความเห็นไว้ ผมจะดึงขึ้นมาตอบข้างบนนี้ ในระยะแรกขอทำลำลองอย่างนี้ไปก่อน ถ้าไปได้ดีจะค่อย ๆ ทำอะไรให้เป็นกิจจะลักษณะมากกว่านี้ครับ
พิพัฒน์
คำถาม / ความเห็น # 7:
อาจารย์คะ อยากทราบชื่อเรี ยกปางพระพุทธรูป ทั้งหมด (ถ้าจำไม่ผิด 32 ปาง) เป็นภาษาอังกฤษค ่ะ พยายามหาแล้ว ยังหาไม่เจอ ขอบพระคุณค่ะ
ตอบ
ไปที่นี่ครับ
https://drive.google.com/file/d/0B750IAjW-1dZQkp4Y0pxOGMyeW8/view?usp=sharing
คำถาม / ความเห็น # 6:
การเปรียบเทียบ character ของตัวละครในหนังสืออ่านนอกเวลา ควรบรรยายเป็น tense ใด ซึ่งในเนื้อเรื่องใช้ past tense ในการดำเนินเรื่อง ขอบพระคุณค่ะ
ตอบ:
story นั้น คือเรื่องเล่า ตอนที่เล่า ใช้ past tense ก็ถูกต้องแล้ว,
อ่านรายละเอียดที่บทความนี้ ข้อ 3, 3.1 - 3.3 http://en.wikipedia.org/wiki/Narration
คำถาม / ความเห็น # 5:
ยีน
หาหมวดอุปกรณ์กี ฬาไม่เจอเลย
พิพัฒน์
คําศัพท์อุปกรณ์กีฬา ภาษาอังกฤษ ไปที่นี่ครับ
คำถาม / ความเห็น # 4:
gg
ถ้าอยากเก่งอังกฤษต้องท่องศัพท์ ทุกวันไหมครับ
พิพัฒน์
คำถามนี้ตอบสั้น ๆ ก็ได้ คือตอบว่า “มันก็แล้วแต่” แต่ตอบอย่างนี้คงไม่มีประโยชน์ ผมจึงขอตอบยาว ๆ แล้วกันครับ ขอให้ท่านอดทนอ่านหน่อย ผมจะว่าด้วยประเด็นทั่วๆไปก่อน และจะลงท้ายด้วยการตอบคำถามของท่าน
เรื่องกิจกรรมทางภาษานี้ เราทำอยู่ 4 อย่าง คือ เราพูด, เราฟัง, เราอ่าน และเราเขียน ถ้าทำอย่างนี้คือการปรุงอาหาร เราก็ต้องมี(1)เครื่องปรุงและ(2)วิธีปรุง ต้องมีครบทั้งสองอย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
ในทางภาษา เครื่องปรุงก็คือ คำศัพท์ หรือ vocabulary ส่วนวิธีปรุงก็คือไวยากรณ์ หรือ grammar คือการนำคำศัพท์มาปรุงเป็นวลี ประโยค ถ้อยคำ ข้อความ ในการพูดและเขียน หรือเมื่อเราอ่านและฟัง เราก็ต้องรู้จักคำศัพท์ที่เจอและวิธีที่ศัพท์ถูกปรุง เมื่อเราเจอข้อความ “คนกินปลา” หรือ “ปลากินคน” เราก็ต้องรู้จักคำศัพท์ 3 คำนี้ คือ (1)คน (2)กิน (3)ปลา และเราก็ต้องรู้หลัก grammar ในการนำคำพวกนี้มาผูกกัน มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่า ใครทำอะไร เกิดอะไรขึ้น
เมื่อคนไทยเรียนภาษาอังกฤษ หรือคนอังกฤษมาเรียนภาษาไทย ก็ต้องเรียนทั้ง 2 อย่าง คือเรียนให้รู้จักคำศัพท์และวิธีปรุงศัพท์ ขืนรู้อย่างเดียวคงไม่พอแน่ เพราะไม่ว่าจะแค่ระดับเข้าใจ(คืออ่านและฟัง) หรือระดับใช้เป็น(คือเขียนและพูด) มันก็ต้องรู้ทั้ง 2 อย่าง
ที่ผมเอาเรื่องนี้มาพูดก่อนก็เพราะว่า ผมเจอคำถามทำนองนี้บ่อย เหมือนกับคนถามต้องการจะบอกว่า จะศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ตัวเองชอบไปจนสุดทางหรือเก่งเลิศ แล้วจึงค่อยศึกษาเรื่องที่สองที่เหลือ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีความคิดอย่างนี้ มันเหมือนกับคนๆ หนึ่งนั่งลงที่โต๊ะอาหาร มีข้าว 1 จานและแกง 1 ชาม และถามคนเสิร์ฟว่า ควรจะกินอะไรก่อน ถ้าตอบว่าให้กินแกงก่อน เขาก็จะตักแกงกินทีละช้อนจนหมดชามแล้วค่อยเริ่มกินข้าวเปล่า ๆ ทีหลัง นี่เป็นสไตล์ของคนไทยหลายคนในการศึกษาภาษาอังกฤษเรื่องศัพท์และแกรมมาร์, แปลกทีเดียว, แปลกมาก ๆ
เอาละ เมื่อรู้แล้วว่า ศัพท์และแกรมมาร์จำเป็นเท่า ๆ กัน และควรศึกษาไปพร้อม ๆ กัน คราวนี้มาถึงคำถามว่า เราควรศึกษายังไง?
ท่านผู้อ่านครับ ถ้าเป็นภาษาไทยเราจะไม่มีปัญหานี้ คือเราเริ่มเรียนภาษาไทยอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด คือเด็กจะฟังและหัดพูดกับพ่อแม่และคนในครอบครัว พอย่างเข้าวัยอนุบาลก็เพิ่มการเรียนภาษาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเขียนและการอ่านกับครู สรุปก็คือ เราเริ่มด้วยการฟัง-พูดที่บ้าน และต่อด้วยฟัง-พูด-อ่าน-เขียนที่โรงเรียน
คราวนี้มาถึงภาษาอังกฤษซึ่งต่างจากภาษาไทยแน่ ๆ เพราะภาษาอังกฤษไม่ใช่ทั้งภาษาที่คนใช้ติดต่อราชการ และก็ไม่ใช่ภาษาที่สองด้วย แถมในช่วง 3 – 4 ปีแรกก่อนเข้าเรียนอนุบาล เด็กไทยก็ไม่มีโอกาสฟังหรือพูดภาษาอังกฤษเลย พอเริ่มเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเมื่อเข้าโรงเรียน ก็ถูกยัดเยียดพรวดเดียวให้เรียนทั้งการฟัง-พูด-อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษ โดยไม่มีการฝึกฟังและพูดเป็นพื้นฐานมาก่อนจากบ้านแม้แต่นิดเดียว และที่อาจจะเป็นโชคร้ายสำหรับเด็กไทยหลายคนก็คือ ตลอดหลายปีที่อยู่ในโรงเรียนชั้นอนุบาล-ประถม-มัธยม-มหาวิทยาลัย ในวิชาภาษาอังกฤษก็เจอแต่การอ่าน ส่วนการฟัง-พูด-เขียนมีน้อยเกินไปจนนำไปใช้ทำงานหรือหาความรู้ไม่ได้เมื่อเรียนจบ
เราจึงได้ยินคำถามที่ออกมาจากปากของบัณฑิตที่จบมหาวิทยาลัยแล้ว ในทำนองข้างล่างนี้บ่อยมาก
... ภาษาอังกฤษอ่อนมาก อยากจะฟิตภาษา จะเริ่มยังไงดี
... จะเรียนแกรมมาร์ก่อน หรือท่องศัพท์ก่อน
... จะท่องศัพท์ จำศัพท์ยังไง ให้ได้เร็ว ๆ
... ศัพท์ก็พอรู้อยู่บ้าง แต่พอจะพูดจริง ๆ นึกแต่งประโยคไม่ถูก พูดไม่ออก
... ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษเมื่อเจอชาวต่างประเทศ ประหม่า อาย กลัวพูดผิด
... ดูหนัง soundtrack ภาษาอังกฤษ, ฟังข่าวภาษาอังกฤษ ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ทำไงดี
... อยากอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษให้เข้าใจ ทำไงดี
... ฯลฯ ....
คำถามทำนองนี้มันบอกอะไรเราหลายอย่าง แต่ที่มันโชว์แน่ ๆ ก็คือ วิชาภาษาอังกฤษในโรงเรียน ไม่สามารถทำให้เด็กไทยและบัณฑิตไทย มีทักษะภาษาอังกฤษที่เพียงพอ เพื่อนำไปใช้ในการสนทนา ติดต่อสื่อสาร และแสวงหาความรู้ อย่างที่โรงเรียนมุ่งหวัง
และคำถามที่คุณ gg ถามมา คือ
ถ้าอยากเก่งอังกฤษต้องท่องศัพท์ ทุกวันไหมครับ
คำถามนี้ เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ ยอดแหลมของ iceberg แห่งปัญหาในการศึกษาภาษาอังกฤษของบ้านเรา
ทั้งหมดที่พูดมานี้ ถ้าท่านรู้สึกท้อ และคิดว่าหาทางออกไม่ได้
ท่านผิดแล้วครับ... ท่านผิดมาก ๆ ...
เพราะตั้งแต่เมืองไทยทีอินเทอร์เน็ตใช้ ประตูที่เคยปิดตาย ไม่สามารถเปิดเข้าไปหาความรู้ความชำนาญด้านภาษาอังกฤษ บัดนี้ประตูเหล่านั้นได้เปิดแล้ว ท่านเพียงแต่เดินเข้าไปหยิบฉวยบทเรียนที่มีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ตนำมาฝึกด้วยตัวเองเท่านั้นเอง
ย้อนกลับไปคำถามข้างบน ถ้าอยากเก่งอังกฤษต้องท่องศัพท์ ทุกวันไหมครับ
ผมขอตอบอย่างนี้ครับ
[1] ท่านมีนิสัยและความชอบในการท่องศัพท์ไหมล่ะครับ ถ้าชอบก็ทำไปเถอะครับ เพราะถ้าทำในสิ่งที่ชอบย่อมได้ผล
[2]แต่ท่านก็ต้องคัดเลือกก่อนว่า ควรจะท่องศัพท์ที่จำเป็นต้องรู้หรือต้องนำไปใช้ กลุ่มไหนก่อน กลุ่มไหนหลัง อย่าท่องดะไปทั่ว อย่าท่องมั่วไปหมด อย่าไปเสียเวลาท่องศัพท์คำที่ไม่จำเป็น คือ ท่องแล้วก็ไม่มีโอกาสเจอเมื่ออ่าน ไม่มีโอกาสใช้เมื่อพูด มันไม่ค่อยคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป เพราะฉะนั้นต้องคัดเลือกหน่อย และควรคัดเลือกเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นคัดให้
[3] ศัพท์ที่ท่านคัดเลือกแล้วและท่องจำนี้ ถ้าต้องนำไปผูกเป็นประโยคในการพูดหรือเขียน ท่านทำได้หรือไม่ ถ้าตอนนี้ท่านทำไม่ได้ ท่านก็ต้องฝึกให้ทำให้ได้ และจะเป็นการดีหรือจำเป็นทีเดียวว่า เมื่อท่านท่องศัพท์ ขอให้ท่านหาประโยคพื้นฐานที่มีศัพท์ตัวนี้ปนอยู่ ท่องควบคู่ตามไปด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ หนึ่ง:-ท่องศัพท์+คำแปล สอง:-ท่องประโยคที่มีคำศัพท์ตัวนี้ที่ท่านใช้พูดจริง ๆ อย่าเอาแต่ท่องศัพท์+คำแปลเท่านั้น เพราะมันจะนำไปใช้งานไม่ได้ เหมือนอุปมาที่ผมว่าไว้ตั้งแต่ต้น คือมีเครื่องปรุงแต่ไม่รู้จักวิธีปรุง มันก็ไม่ออกมาเป็นแกงให้ท่านกินได้
[4]เนื่องจากเรามีเวลาจำกัด และโตแล้วควรรู้จักเรียนลัด ศัพท์ที่เราควรรู้และผูกประโยคได้ ควรแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1: ศัพท์พื้นฐานทั่วไป ที่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพไหนควรรู้ ในเว็บ e4thai.com นี้ ได้รวบรวมไว้อยู่เหมือนกัน คลิกดู
ประเภทที่ 2: ศัพท์จำเพาะที่จำเป็นต้องรู้-ต้องใช้ ในอาชีพของท่าน ศัพท์กลุ่มนี้ท่านจะต้องออกแรงลงทุนรวบรวมเอง อาจจะรวมหัวเพื่อนร่วมงานระดมสมองไล่ดูว่า{1}มีสักกี่คำ, คำอะไรบ้าง, {2}แปลเป็นไทยว่าอย่างไร, {3}มีประโยคว่ายังไงเมื่อใช้ศัพท์นี้ในการพูด ข้อนี้ท่านและกลุ่มเพื่อนหรือสำนักงานต้องช่วยกันทำครับ ยิ่งทำได้ complete มากเท่าใดก็จะมีประโยชน์มากเท่านั้น และเมื่อทำเสร็จพิมพ์ออกมาแล้ว มันจะเป็นคัมภีร์ให้คนทำงานทั้งออฟฟิศ ยึดเป็นแนวทางในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ
[5] การท่องศัพท์เหมือนกับการยิงปืนอยู่ในสนามซ้อม แต่การอ่านหรือฟังและไปเจอศัพท์นั้นอยู่ในข้อความ หรือการต้องนำศัพท์ไปผูกประโยคเพื่อใช้ในการพูดหรือเขียน นี้เหมือนกับการยิงปืนอยู่ในสนามรบจริง ๆ ในโลกของการฝึกฝนเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ท่านอย่าพอใจเพียงแค่อยู่ในสนามซ้อมเลยครับ ควรออกไปรบในสนามจริงดูบ้าง แม้อาจจะสะบักสะบอมหรือบาดเจ็บกลับมาบ้าง แต่เราก็ไม่ถึงกับตายหรอกครับ และบาดแผลบวกความบาดเจ็บที่ได้รับก็คือประกาศนียบัตรที่โชว์ทักษะซึ่งสมควรภาคภูมิใจ ไม่ใช่ท้อถอยหรืออาย เหมือนกับที่คนไทยหลายคนชอบรู้สึกยึดมั่นอย่างผิด ๆ
คำถาม / ความเห็น # 3:
THANYAPHAT:
เรื่องอยากให้ลูกสาวชอบภาษาอังกฤษ ตอนนี้พยายามหาหนังสือ หานิทาน หาวิธีให้ชอบภาษาอังกฤษ แต่ลูกสาวบอกว่า ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พูดภาษาไทยได้มั้ย ก็เลยไม่อยากกดดันลูกคะ จะทำอย่างไรดีที่จะให้พื้นฐานลูกสาวมีความแข็งแรงด้านภาษาคะ
พิพัฒน์:
ผมเชื่อว่า นี่เป็นคำถามที่พ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากถาม เพราะต่างก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่อนาคตของลูก และเชื่อว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ ผมพยายามเข้าไปอ่านคำแนะนำของผู้รู้ ซึ่งมักออกมาในแนวคล้าย ๆ กันคือ ต้องจัดสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้เด็กมีความสนุกและรักภาษาอังกฤษ ได้ใช้ ได้ฝึก ได้เล่น กับภาษาอังกฤษ โดยไม่รู้สึกกดดันหรือเป็นภาระ ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ต้องลงทุนทำตัวเป็น partner หรือ tutor หรือ teacher หรือ inspirator หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้ลูก ๆ เกิด “อิทธิบาท” คือ มีฉันทะ - รักและเพลิดเพลินที่จะเรียนภาษาอังกฤษ, มีวิริยะ - ขวนขวาย เต็มใจ ขยัน อดทน ที่จะเก่งอังกฤษ, เมื่อมี 2 ตัวแรก คือฉันทะและวิริยะแล้ว อีก 2 ตัวที่เหลือ คือจิตตะ(มีสมาธิในการเรียน) และวิมังสา(หาวิธีพัฒนาในตัวเองเก่งขึ้นเรื่อย ๆ)ก็จะตามมาเองโดยอัตโนมัติ
ผมอยากให้ท่านค่อย ๆ อ่าน 4 บทความนี้ ซึ่งให้แนวคิดหลักการที่ดีในเรื่องนี้
- อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ
- 10 วิธีง่าย ๆ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของลูก
- ทำอย่างไรให้ลูกชอบภาษาอังกฤษ
- อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ควรเริ่มเรียนเมื่อไรดี
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมรู้สึกเห็นใจพ่อแม่ครับ เพราะว่า บางทีเราก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ลูกๆก็อาจจะไม่รักหรือขยันในวิชานี้อย่างที่เราต้องการ แล้วอย่างนี้จะทำยังไงได้ และคำแนะนำของผู้รู้ที่ให้พ่อแม่ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ บางทีมันก็ไม่ง่าย เพราะเราเองที่เป็นพ่อแม่ภาษาอังกฤษก็อาจจะอ่อนแออยู่เป็นทุนเดิม จะทำตัวเป็นครูหรือผู้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ลูกก็คงจะทำได้ แต่ต้องออกแรงมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าทำได้เพราะความรักลูก
คำแนะนำของนักวิชาการทุกคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ อย่าปล่อยให้เรื่องนี้ทั้งหมดเป็นภาระของครู ไม่ว่าจะเป็นครูในโรงเรียนหรือครูสอนพิเศษ แต่พ่อแม่ต้องถือเป็นภาระด้วย งานนี้หนักนะครับ
ผมเองเป็นคนสบาย ๆ คำแนะนำสุดท้ายของผมในเรื่องนี้จึงเป็นอย่างนี้ครับ คือ เมื่อพยายามทำเต็มที่แล้ว เราก็อย่าไปกังวลจนความเครียดตอมสมองตลอดเวลา เพราะมันอาจจะระบาดจนทำให้ลูกหลานที่เราอยากให้เก่งอังกฤษเครียดไปด้วย เราเพียงพยายามมาก ๆ แต่ทำใจให้โล่ง ๆ และรื่นเริง ผมเชื่อว่าหลายเรื่องที่ติดขัดก็จะค่อย ๆ คิดออกเองแหละครับ
คำถาม / ความเห็น # 2:
ครูแอ๋ว:
Amazon คำนี้ ออกเสียง [ แอม'มะซอน ] ไม่ใช่ ออกเสียง [อา –เม – ซอน ] อย่างที่ คนไทยส่วนใหญ่ เราออกเสียง กัน … แต่ ถ้า เรา บอกว่า ช่วย แวะ ปั๊ม หน่อย จะซื้อ กาแฟ แอม'มะซอน ซักแก้วนึง …. เพื่อน ร่วมทาง .. คงคิด ว่า ดัดจริต !
สรุป Amazon คำนี้ ออกเสียง [ˈæməzən] ; ['แอ๊เมอะเซิน] นะคะ .. ลงเสียงหนัก หรือ stress ที่ am พยางค์ แรกค่ะ .. แต่ ma ไม่ เน้น เสียง แค่ ออกเสียง [มะ ]หรือ [ เมอะ]ในลำคอ ค่ะ
พิพัฒน์:
คำว่า Amazon stress พยางค์แรก อย่างที่พี่ว่าจริง ๆ ครับ
เข้าไปที่ลิงค์นี้ และคลิกฟังการออกเสียง ทั้งสำเนียงอังกฤษ และอเมริกัน
http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/definition/english/amazon
คำถาม / ความเห็น # 1:
vithaya -
ฝึกภาษาอังกฤษโดยดูภาพยนตร์จาก DVD อยากทราบขั้นตอนวิธีฝึกครับ. step by step ขอขอบคุณครับ
พิพัฒน์ -
โดยพื้นฐาน การดูภาพยนตร์คือการหาความเพลิดเพลิน แต่เมื่อเราใช้การดูเช่นนี้เพื่อการฝึกภาษาอังกฤษด้วย ภาระจึงเพิ่มเป็นสองเท่า อันดับแรกสุดที่ผมไม่จำเป็นต้องบอกแต่ก็อยากจะบอกก็คือ ให้เราเลือกหนังเรื่องที่เราอยากจะดูมาก ๆ ซึ่งมีประโยชน์ คือ เมื่อดูแล้วเพลินร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข คือ เอนดอร์ฟินออกมา ผมเชื่อว่าตอนที่ร่างกายผ่อนคลายและจิตใจเพลิดเพลิน การเรียนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าปกติ เพราะฉะนั้น ท่านอย่าอยากฝึกภาษาอังกฤษมากเกินไป หรือเคี่ยวเข็ญให้สมองต้องดูรู้เรื่องจนสูญเสียความเพลิดเพลินในการดู จะทำให้การฝึกเครียดและได้ผลน้อย ต้องอย่าลืมว่า การฝึกแบบนี้เอาความเพลินนำหน้า เอาภาษาตามหลัง นี่คือเรื่องแรกที่ต้องทำก่อน คือเลือกเรื่องที่เราอยากดูมาก ๆ อีกอย่างหนึ่งเมื่อเพลินที่จะดู ต่อให้ฟังไม่รู้เรื่องเราก็จะไม่เครียดนัก และการไม่เครียดนี่แหละคือการเปิดประตูให้การเรียนรู้ไหลเข้าสู่สมอง
เรื่องที่สองที่ต้องพิจารณาคู่กันก็คือ เมื่อจะฝึกภาษาจากการดูหนัง ซึ่งจะได้ทั้งศัพท์ สำนวน วลี และประโยคในการพูดคุย-โต้เถียง-บอกเล่า และการออกเสียงและสำเนียง เราก็ควรเลือกเรื่องที่มีบทพูดเยอะ ๆ ถ้าไปดูหนัง action ที่ตลอดทั้งเรื่องพูดอยู่ไม่กี่ประโยค หรือพูดออกมาแต่ละทีมีแต่สบถกับสแลง จะฝึกภาษากับหนังพวกนี้ก็คงสมหวังยาก เพราะฉะนั้น หนังที่น่าสนใจไปหามาเปิดดูก็คือหนังประเภทดราม่า หรือหนังสืบสวนเช่นแบบที่มีบทพูดเยอะ ๆ ในห้องพิจารณาคดีของศาล หรือหนังเด็ก ๆ แบบวอลต์ ดิสนีย์ ฯลฯ หนังทำนองนี้ช่วยฝึกภาษาได้ดีกว่าหนัง action ที่ฟาดฟันกันทั้งเรื่อง หรือหนังระทึก แฟนตาซี ที่ให้คนใช้ตาดู แต่ไม่ต้องใช้หูฟังบทพูด เพราะฉะนั้น ถ้าท่านชอบหนัง action หรือหนังระทึกที่มีบทพูดน้อย ท่านก็ต้องลงทุนหาให้เจอหนังประเภทพูดมากที่ท่านเพลินที่จะดู พอจะหาได้มั้ยล่ะครับ
ตอนซื้อหนังแผ่น DVD ที่มี subtitle ให้เลือกทั้งไทยและอังกฤษ ในเที่ยวแรกที่เปิดดู ท่านอาจจะดูหนังฝรั่งพากย์ภาษาไทยพอให้รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร หลังจากนั้น ให้เปลี่ยนไปฟังพากย์อังกฤษ+อ่าน subtitle อังกฤษ (ภาษาไทย เลิกฟัง, เลิกอ่านได้แล้ว) อย่าใช้วิธีอ่านภาษาไทย+ฟังเสียงฝรั่งไปตลอด เพราะการฝึกฟังภาษาอังกฤษจะทำได้น้อย เนื่องจากสมาธิเกินครึ่งของท่านจะถูกแบ่งไปอยู่ที่ภาษาไทยที่กำลังอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงตอนสนุกมาก ๆ คงอยากจะรู้เรื่องมากกว่าอยากฝึกภาษา
การดูหนังฝรั่งเพื่อฝึกภาษาอังกฤษจะต้องดูหลาย ๆ เที่ยว อาจจะเป็นสิบเที่ยวก็ได้ แต่ละเที่ยวดูยังไง? อันนี้ผมไม่มีคำแนะนำเด็ดขาดให้ เพราะแต่ละคนย่อมมีวิธีฝึกที่ได้ผลต่างกันไป ฝึกอันนั้นมาก อันนี้น้อย อันนั้นก่อน อันนี้หลัง หรืออันนั้นพร้อมกับอันนี้ เรื่องนี้ต้องหาให้พบด้วยตัวเอง ผมขอยกตัวอย่างข้างล่างนี้ (ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องทำตามที่ผมว่าไว้ ถ้าท่านฝึกตามวิธีของท่านและได้ผลดีกว่า) เช่น
♦-ดูหลาย ๆ เที่ยว ให้หูคุ้นสำเนียงของศัพท์และสำนวน คุ้นกับประโยคที่นักแสดงพูด คุ้นหูโดยอาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ แต่เพียงแค่จับได้ว่าเขาพูดว่ายังไง โดยยังไม่เข้าใจ นี่ก็พัฒนาไปเยอะแล้วครับ
♦-ทำความเข้าใจกับบท, subtitle การทำความเข้าใจก็มีหลายวิธี แล้วแต่ชอบหรือถนัด ไม่ต้องยึดกฎเกณฑ์มาก ขอให้สนุกและไม่เบื่อก็ใช้ได้ เช่น
A- ดูและอ่าน subtitle ภาษาอังกฤษไปเรื่อย ๆ ถ้าเราอ่านทัน หรือถ้าประโยคไหนอ่านไม่ทัน ก็ pause และอ่านตีความให้แตกก่อน, และคลิก play เพื่อดูต่อ แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง pause+อ่าน+ตีความ ทุกประโยคที่ไม่เข้าใจ ประโยคไหนอยากผ่านไปก่อนก็ผ่านไปได้ บอกแล้วว่าไม่ต้อง serious มาก (- -การฝึกดูแบบนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านทำได้หลายเที่ยว- -) ถ้าดูไม่จบในรวดเดียวก็จดไว้แล้วกันครับว่า ค้างอยู่ ณ นาทีที่เท่าไหร่ เมื่อมาดูใหม่ก็ start ตรงจุดที่ stop ไว้
B- ถ้าท่านเป็นคนที่ชอบให้รู้เรื่องแบบละเอียดยิบเป็นหลัก ในเที่ยวหลัง ๆ ที่ดู ท่านอาจจะปิดเสียง, play คลิปและค่อย ๆ อ่าน subtitle บนจอไปทีละประโยค ๆ, ประโยคไหนไม่เข้าใจก็ pause+อ่านตีความให้รู้เรื่อง และ play ทำอย่างนี้ตั้งแต่ต้นจบจบเรื่อง นี่หมายความว่าถ้าท่านชอบแบบนี้ก็ทำแบบนี้ได้ ถ้าไม่ชอบแบบนี้ก็อย่าทำ มันจะเครียด ให้ทำแบบข้อ A น่าจะดีกว่า
เมื่อฝึกดูและอ่านในลักษณะนี้ จนคุ้นตาและคุ้นหูพอสมควรแล้ว ก็ฝึกดูโดยปิด subtitle เราสามารถฝึกอย่างนี้จนจบเรื่องหลาย ๆ เที่ยว แต่ถ้าฝึกแล้วรู้สึกว่าไม่ไหว คือรู้เรื่องน้อยจัง ก็สามารถกลับไปฝึกแบบดูคลิปพร้อมอ่าน subtitle
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูในเที่ยวหลัง ๆ คือฝึกพูดตามประโยคที่เราเห็นว่าน่าสนใจจำเอาไปใช้พูดบ้าง ในหนังเรื่องหนึ่ง ๆ อาจจะมีหลายประโยค ท่านก็ลองนึกดูเอาเองแล้วกันครับว่า ประโยคที่ฝึกนี้จะนำไปใช้พูดจริงหรือพูดเล่นได้ในโอกาสไหนบ้าง และพูดกับใคร
ศัพท์ ภาษา จินตนาการ
จะมากหรือน้อยก็ตาม ควรรู้ศัพท์ใหม่ให้ได้ทุกวัน,
แล้วนำมันไปพูดกับคน,
ถ้าไม่มีคนให้พูดด้วย ก็เขียนเรื่องราวลงสมุดบันทึกโดยใช้ศัพท์ใหม่นี้,
นี่เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ
เพราะต้องใช้ทั้งภาษาและจินตนาการ
อย่าเอาแต่เรียนภาษาอังกฤษอยู่ใน comfort zone เลยครับ
สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านครับ ผมไม่ทราบว่าแต่ละท่านมีวิธีเฉพาะส่วนตัวในการฝึกภาษาอังกฤษหรือหาความรู้/ความเพลิดเพลินจากเน็ตอย่างไรกันบ้าง ถ้าเราแบ่งหยาบ ๆ ก็น่าจะมีอยู่ 3 วิธี คือ
- [1] ใช้ตาดูคลิป (YouTube] หรือ ภาพ
- [2] ใช้ตาอ่านข้อความ
- [3] ใช้หูฟังเสียง
ผมเดาว่า คนจำนวนไม่น้อยจะใช้วิธีที่ [1] คือดูคลิป เพราะมันคงจะช่วยให้รู้เรื่องมากที่สุดและง่ายที่สุด, ถัดมาก็คงใช้วิธีที่ [2] คืออ่าน หรือ [1]+[2] ส่วนวิธีที่ [3] คือฟังล้วน ๆ ผมเดาว่าคงมีคนใช้น้อยที่สุด เพราะมันอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือถ้าใช้ ก็เป็น [3]+[2] หรือ อาจจะเป็น [3]+[2]+[1] โดยการดูคลิป ซึ่งสามารถดูภาพเคลื่อนไหวหรือภาพนิ่ง ไปพร้อม ๆ กับฟังเสียงและอ่านข้อความบนจอ
แต่สิ่งที่ผมขออนุญาตแสดงความเห็นก็คือ แม้วิธีฝึกดังกล่าวจะดีและได้ผล แต่จะเป็นการดีมากถ้าเราจะบอกใจให้เปิดตาและเปิดหู, อย่าจำกัดตัวเองให้ฟัง-อ่าน-ดู เฉพาะเรื่อง-ภาพ-เสียง-ข้อความ ที่รู้เรื่องเท่านั้น แต่เราน่าจะขยับไปฝึกฟังและดูสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง-งง-ไม่แน่ใจบ้าง
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่เกี่ยวกับการฝึกพูดโดยอาศัยเน็ตแต่ไม่อาศัยครู ซึ่งเป็นวิธีที่คนไทยจำนวนไม่น้อย ไม่เชื่อว่าทำได้ เอะอะอะไรก็ต้องพึ่งครูหรือโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องฝึกพูดกันเลย
ในภาษาอังกฤษ มีศัพท์คำหนึ่ง คือ comfort zone ซึ่งแปลว่า สถานการณ์ที่เรารู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อพัวพันเกี่ยวข้องด้วย เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจ (a situation that you know well and in which you are relaxed andconfident.)
ด้วยความเคารพทุกท่านครับ ขออนุญาตให้ผมพูดอะไรสักนิดเถอะครับ ในการเรียนหรือฟิตภาษาอังกฤษ ท่านอย่าเอาแต่อยู่ใน comfort zone ของท่านเลยครับ ขอให้ลุยเข้าไปอ่าน, ไปฟัง, ไปชม, ไปฝึก เรื่องอะไรที่มันยาก ไม่คุ้นเคย, ไม่แน่ใจ เรื่องที่งุนงงสงสัยบ้าง ท่านอาจจะถามว่า เมื่อไม่รู้เรื่องมันจะได้เรื่องหรือ?
ผมขอยืนยันว่าได้ครับ, ได้แน่ ๆ ขอให้กล้าลุยเข้าไปฝึกเถอะครับ มันจะงงบ้างหลงบ้าง ผิดบ้างเพี้ยนบ้าง แต่มันก็จะรู้อะไรมากขึ้น คนที่ไม่ยอมให้ตัวเองงง, กลัวหลง กลัวผิด มักไม่กล้าเรียน พอขยับจะเรียน ความขยาดจะทำให้สมองขดตัว ลิ้นแข็ง และเข้าใจอะไรได้ยาก แต่ถ้าเปิดใจเพื่อให้สมอง-หู-ตา-ปาก มันเปิด เขาจะเรียนรู้ได้เร็ว และรื่นเริงกับการเรียนรู้
เอาละครับ นี่คือเรื่องที่ผมอยากจะประเดิมพูดก่อน
ต่อไปก็จะขอแนะนำเว็บ audioboom.com โดยขอบอกว่า เมื่อท่านเข้าไปฟัง mp3 หรือฝึกเรื่องอะไรก็ตาม ในเว็บนี้ หรือในเว็บอื่น ๆ ก็ตาม และเกิดความรู้สึกว่าไม่ชอบ เพราะไม่รู้เรื่อง, งง, เบื่อ, เซ็ง และก็ไม่อยากเข้าไปที่เว็บนั้น ๆ อีกเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเว็บที่ดี มีประโยชน์ ผมอยากจะชวนท่านให้กลับมาอ่านเรื่องที่ผมคุยในบทความนี้ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
เว็บ http://audioboom.com/ เป็นแหล่งฝึกฟังภาษาอังกฤษเพื่อความรู้และความเพลิดเพลิน โดยเว็บนี้อนุญาตให้เว็บไซต์ชื่อดัง หรือคนธรรมดา สามารถโพสต์ไฟล์เสียงสารพัดเรื่องได้ที่นี่
เมื่อเข้าไปแล้ว,
- คลิก Browse ที่แถบบนซ้าย, และคลิกเลือกเมนูที่ต้องการ,(ตามหมายเลข 1 ในภาพข้างล่างนี้)
- คลิกปุ่ม Search ที่แถบบนขวา ,(ตามหมายเลข 2 ในภาพข้างล่างนี้) และพิมพ์คำค้นลงไป (เช่น BBC, Thai, grammar, English language เป็นต้น)
ส่วนการใช้งาน, สมมุติว่า ท่านจะเข้าไปที่ 2 ลิงค์นี้
[1] ให้ท่านคลิกที่ปุ่ม Play (สามเหลี่ยม) เพื่อฟังทันที, หรือ
[2] ถ้าต้องการ save ไฟล์ mp3, ก็ให้คลิกขวาที่ปุ่ม Play (สามเหลี่ยม), และคลิกซ้าย Save target as.. หรือ Save link as…
[3]ถ้าคลิกที่บรรทัดชื่อเรื่อง, เมื่อเข้าไปแล้วอาจจะมีสรุปข้อความให้อ่านนิดหน่อย, และเว็บจะแจ้งวันที่โพสต์ไฟล์เสียง(เราก็จะรู้ว่าเป็นไฟล์เก่าหรือใหม่), ให้คลิก play เพื่อฟัง, หรือคลิก TOP POSTS ที่คอลัมน์ขวามือเพื่อฟังไฟล์เสียงอื่น ๆ จากแหล่งเดียวกัน
ขอแนะนำบางลิงค์ที่ท่านอาจจะสนใจ
- http://audioboom.com/channel/bbc_thai
- http://audioboom.com/browse/language
- http://audioboom.com/channel/bbc-learning-english
- http://audioboom.com/AJEnglish
(ขอขอบคุณคุณพัชรามาก ๆ ครับ ที่แนะนำเว็บนี้)
พิพัฒน์
วิธีฝึกอ่าน e-book สำหรับท่านที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง
สวัสดีครับ
ถ้าเราต้องการอ่าน e-book ภาษาอังกฤษ (ที่มีให้ดาวน์โหลด free มากมายในเน็ต) ผมขอแนะนำวิธีฝึกอ่าน ดังนี้:
[1] เรื่องแรกที่สุด คือการบอกใจตัวเองให้เชื่อฟังความจริงดังต่อไปนี้
- การอ่าน e-book ภาษาอังกฤษ มีประโยชน์มหาศาล ซึ่งนอกจากความรู้และความเพลิดเพลินแล้ว ยังทำให้เรารู้ศัพท์, รู้แกรมมาร์, เห็นลีลาของภาษา ซึ่งช่วยในการฟัง-พูด-เขียน ภาษาอังกฤษ, หากไม่ฝึกอ่าน ของดีที่ควรได้ก็อาจจะเดี้ยงไปดื้อ ๆ
- หากใจเย็นฝึกอ่านไปไม่หยุด จะได้ผลสำเร็จและความสุข หากใจร้อน จะได้ความล้มเหลวและความทุกข์
- เป็นเรื่องธรรมดาถ้าอ่านแล้วรู้เรื่องน้อยหรือไม่รู้เรื่องเลย แต่ความพยายามจะชนะอุปสรรคเสมอ คนที่ไม่เคยพยายามหรือพยายามน้อยเกินไป ฟังคำพูดนี้กี่ครั้ง ๆ ก็คงไม่เข้าใจ ฉะนั้น ลองพยายามทำอะไรเล็ก ๆ ที่สำเร็จง่าย ๆ เพราะจริง ๆ แล้ว เรื่องใหญ่ ๆ ที่ยากก็สำเร็จได้ถ้าเราพยายามเยอะ ๆ มันเป็นบัญญัติไตรยางค์ง่าย ๆ ของชีวิต
[2] เรื่องต่อไป คือเลือก e-book เล่มที่จะอ่าน
e-book แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ (1) fiction คือ นิยาย เรื่องสั้น เรื่องเล่า นิทาน และ (2) nonfiction คือ หนังสือพวกตำรา ความรู้ สารดดี บทความ ที่ไม่ใช่ประเภท story
e-book ทั้ง 2 ประเภทนี้ ในเว็บนี้มีให้ท่านดาวน์โหลดมากพอสมควรที่ลิงค์นี้:Download Sites
หรือท่านจะไปหาเล่มอื่น ๆ ที่ท่านต้องการก็ได้ ตามลิงค์นี้
เรื่องการเลือกเล่ม e-book ที่จะอ่านนี่นะครับ ท่านต้องยอมลงทุนสละเวลาเลือกด้วยตัวเองครับ อย่าได้นั่งอยู่เฉย ๆ รอให้คนอื่นมาบอกว่าเล่มนั้นน่าอ่าน เล่มนี้น่าอ่าน, concept แบบวิริยะน้อยแต่หวังกำไรเยอะ เอามาใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ครับ, ท่านต้องยอมออกแรงมากเพื่อหาให้พบ e-book เล่มที่เหมาะกับท่าน และท่านก็จะได้กำไรมาก คือกำไรจากผลดีที่ได้ฝึกกับ e-book เล่มเหมาะที่ท่านลงทุนเลือกเอง
[3] แต่ถ้าท่านบอกว่า เลือกไม่ถูก, เลือกเล่มไหนก็อ่านไม่รู้เรื่องสักเล่ม, อ้า! ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านก็ต้องยอมรับว่าพื้นฐานอ่อน มันอาจจะเกิดจากกรรมเก่าหรืออะไรก็ไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องหรอกครับ แต่ท่านต้องถามตัวเองว่า ถ้าเปรียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษตอนนี้ของท่านเหมือนบ้านกระต๊อบโยกเยกที่ไม่แข็งแรงเลย ท่านต้องการเปลี่ยนเป็นบ้านที่มั่นคงทนทานต่อแดด-ลม-ฝนหรือไม่? ถ้าคำตอบคือ Yes ! ท่านก็ต้องลงทุนปลูกบ้านใหม่ และต้องเริ่มด้วยการลงเสาเข็ม และการกลับไปฝึกอ่านเรื่องที่ง่าย ๆ ระดับ A..B..C..D… อาจจะจำเป็นสำหรับบางท่านที่ไม่ได้ใส่ใจให้เพียงพอต่อการเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาลหรือประถม, มันเป็นกรรมเก่าที่ต้องชดใช้, เป็นหนี้กรรมที่ต้องจ่ายให้เจ้ากรรมนายเวรซึ่งท่านติดค้างไว้ตั้งแต่สมัยเด็ก และตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะตำหนิครูว่าตอนนั้นสอนท่านไม่ดี
e-book ระดับ A..B..C..D… เพื่อการปูพื้นฐาน หรือลงเสาเข็ม ที่ขอแนะนำ อยู่ที่ลิงค์นี้ครับ
- หนังสืออ่านนอกเวลา-เข้าไปแล้ว เลือกระดับ Easystarts หรือ Level 1
- นิทานสนุก อังกฤษแปลไทย วรรคต่อวรรค
- ดาวน์โหลด 100 story ง่ายสุด ๆ เพื่อฝึกฟังพร้อมอ่านภาษาอังกฤษ
[4] เอาละ สมมุติว่า ตอนนี้ท่านเลือก e-book เล่มที่ท่านจะฝึกอ่านได้แล้ว
ผมมีข้อแนะนำพื้นฐานว่า ถ้าเป็น e-book ประเภท story ที่ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายเป็นเรื่องเดียว, ท่านก็ควรอ่านให้จบเรื่อง, แต่ถ้าในเล่มนี้มีเรื่องสั้นหลาย ๆ เรื่อง ท่านก็เลือกอ่านเรื่องที่ท่านชอบ เรื่องไหนอ่านแล้วไม่ชอบก็ไม่ต้องทนอ่านมัน, แต่ก็อย่าไม่ชอบเร็วเกินไปนัก
แต่ถ้าเป็นหนังสืออีกประเภทหนึ่ง คือ nonfiction คือตำรา หรือความรู้ หนังสือพวกนี้วิธีที่ถูกต้องคือ อ่านคำนำ หรือ Preface หรือ Introduction ให้จบก่อน, ตามด้วยการอ่านสารบัญ หรือ Contents ทั้งนี้เพื่อให้รู้ว่าทั้งเล่มมันมีเนื้อหาอะไรอยู่ที่บทไหน แล้วก็ค่อยตัดสินใจว่า ถ้าเราจะอ่านเพียงบางบทที่เราชอบจัด ๆ ซึ่งไม่ยาวเกินไป ไม่ยากเกินไป พอฟัดพอเหวี่ยงไหว เราจะอ่านบทไหน เมื่อตัดสินใจแล้วก็กัดฟันอ่านบทนั้นให้จบ อ่านจบแล้วก็ให้ภูมิใจในตัวเองสักเล็กน้อย แล้วก็เลือกบทใหม่เพื่อเป็นการบ้านชิ้นต่อไป ช่วงพักระหว่างบทนี้ อย่าให้นานเกินไป เพราะความขี้เกียจมันจะเข้ามาครอบงำ ทำให้เราหมดความฮึกเหิม
ผมมีความเห็นว่า สำหรับท่านที่ต้องการเติมความรู้ใส่ชีวิตอย่างเนืองนิตย์ผ่านเส้นทางของภาษาอังกฤษ ท่านควรตั้งจิตอธิษฐานบอกพระว่า จะตั้งใจพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อชีวิตที่ดีกว่า และจะไม่ยอมผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่ตัวเอง ขออาราธนาให้พระเป็นพยานด้วย ถ้าท่านตั้งใจจริงอย่างนี้ ผมเชื่อว่า ท่านย่อมสามารถเปลี่ยนทักษะภาษาอังกฤษของท่านที่อ่อนแอเหมือนกระต๊อบให้เป็นบ้านที่มั่นคงแข็งแรงได้อย่างแน่นอนครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/EnglishforThai
More Articles...
- ถ้าวางแผนให้ลูกหลานโตขึ้นเป็นนายกฯ ควรหัดให้พูดภาษาอังกฤษคล่อง ๆ ตั้งแต่วันนี้
- ฝึกภาษาอังกฤษแบบสบาย ๆ ตามสไตล์ของผม
- ทำไมเวลาเราพูดผิด เพื่อนฝรั่งไม่ช่วยแก้ให้ถูก
- "นักเรียน" ที่ผมอยากเห็น...
- ฝึกอังกฤษในวันที่ไม่มีเวลา เหนื่อย เบื่อ และ “ฝนตก”
- แนะนำ เว็บเรียนภาษาอังกฤษฟรี กับ อาจารย์อดัม
- ข้อแนะนำเรื่อง การศึกษา “คำศัพท์-คำแปล-คำนิยาม-ประโยคตัวอย่าง”
- 20 วิธีที่ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น
- คลิปเก่า e4thai.com ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะประเด็น”
- เว็บ e4thai มี Double-click dictionary ให้บริการแล้วครับ
- How to speak English? / กฎ 10 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้
- ฟิตภาษาอังกฤษโดยการดูหนังฝรั่ง ได้ผลมากน้อยแค่ไหน? และวิธีฝึกให้ได้ผลมากฝึกยังไง ?
- ป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นภาษาอังกฤษที่ติดไว้ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอ่าน
- ขอเชิญชวนให้ อ่าน-ท่อง-ทบทวน ศัพท์ทุกคำในดิกเล่มนี้ – Longman Basic English – Thai Dictionary
- ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
- คำแนะนำสั้นสุด ในการฟิตอังกฤษ
- อยากให้มีหน่วยราชการที่รับผิดชอบ รวบรวมสื่อการเรียนภาษาอังกฤษผ่านเน็ตไว้ในที่เดียวกัน
- "เด็กไม่ชอบเรียนหนังสือ..."
- ช่วยแจ้งลิงค์ตายในบล็อกเดิมด้วยนะครับ
- ขอลางาน 5 วัน