Home
สวัสดีปีใหม่วันสงกรานต์ครับ
สวัสดีครับ
สงกรานต์ปีนี้ผมไปไหว้แม่และพ่อ และพี่สาวที่แม่กลอง ตามที่เคยทำมาทุกปี
เพลงนี้ผมชอบมากเป็นพิเศษ มันเอา 2 ประเพณีมารวมกันได้อย่างวิเศษ จึงขอฝากให้ท่านร่วมฟังครับ
https://www.youtube.com/watch?v=xvdPskoPlHw
อ่านเรื่องของวันสงกรานต์
http://human.uru.ac.th/ThaiStudies/Songkran%20Festival%20PP.pdf
พิพัฒน์
วิธีฝึกภาษาอังกฤษในวันที่ขี้เกียจ – วันที่ไม่มีแรง, ไม่มีเวลา, ไม่มีอารมณ์จะฝึก
สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านครับ ในแต่ละวันท่านมี “กิจวัตร” อะไรบ้างที่ท่านต้องทำทุกวัน ไม่ทำไม่ได้ ทุกคนก็มีกิจวัตรเช่นนี้ เช่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ขับถ่าย กินข้าว ออกจากบ้านไปทำงานหรือทำอยู่ที่บ้าน รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารสุนัข กวาดบ้าน ล้างจาน ฯลฯ
และท่านคงเคยสังเกตว่า กิจวัตรพวกนี้บางวันเราก็ทำได้ดี มีใจจะทำ แต่บางวันเราก็ขี้เกียจทำ และในวันที่ขี้เกียจนั้น ถ้าเลี่ยงได้เราก็จะเลี่ยง ไม่ทำ เพราะมันขี้เกียจ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องจำใจทำทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจ เช่นขี้เกียจกินก็ต้องกินเพราะมันหิว ขี้เกียจถ่ายก็ต้องถ่ายเพราะมันจะออก ตัวอย่างที่ยกมานี้อาจจะเกินไปสักหน่อย แต่ยกมาเพื่อให้ท่านเห็นชัด ๆ
แต่ถ้าเป็นกิจกรรมที่เลี่ยงได้ในวันที่เราขี้เกียจ เราก็อาจจะไม่ทำ ขอเลื่อนไปก่อน เช่น วันนี้ขี้เกียจกวาดบ้านก็อาจจะยกยอดไปกวาดพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ เป็นต้น
คราวนี้มาถึงเรื่องที่ผมต้องการจะถาม คือ ท่านถือว่าการฝึกภาษาอังกฤษเป็น “กิจวัตร” ประจำวันของท่านหรือเปล่า ถ้าเป็น, ผมขอถามว่า ในวันที่ขี้เกียจ – วันที่ไม่มีแรง, ไม่มีเวลา, ไม่มีอารมณ์จะฝึก, ท่านฝึกหรือเปล่า? หรือว่าท่านมักจะยกยอดไปฝึกวันถัดไป สัปดาห์ถัดไป เดือนถัดไป
ที่คุยมานี้ผมมิได้มีเจตนาจะตำหนิ เพราะความขี้เกียจเป็นอาการปกติ หรือ normal ของคนทั่วไป คนที่ไม่ขี้เกียจเลยคงมีน้อย และเราควรเรียกเขาว่าเป็นกลุ่ม special, ไม่ใช่เรียกเขาว่าเป็นพวก abnormal เพราะเขาต่างจากเราที่เป็นพวก normal
คำถามก็คือ พวกเราคนปกติในวันที่ขี้เกียจ เรางดทำกิจวัตรที่ตั้งไว้ หรือเราก็ยังทำมันทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจทำ คำตอบก็คงเป็นว่า ถ้าขี้เกียจมากก็ทำน้อย ถ้าขี้เกียจน้อยก็ทำมาก
แต่ถ้าจะพูดกันอย่างถูกต้องแล้ว เราควรทำอย่างนี้ คือ กิจวัตรประจำวันอันสำคัญนั้น ถ้าขยันก็ทำ แต่ถ้าขี้เกียจก็ควรทำเช่นกัน ทำไปทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจ ผมขออนุญาตยกตัวอย่างของตัวเองแล้วครับ ท่านอย่าว่าผมขี้โม้เลยนะครับ เพราะถ้ายกตัวอย่างของคนอื่น มันพูดไม่เต็มที่
ในกิจวัตรประจำวันเกี่ยวกับการออกกำลัง ผมมีเรื่องทำอยู่ 2 เรื่อง คือ (1)ออกกำลังกาย โดยการเดินเร็ว ๆ วันละ 1 ชั่วโมง และ (2)ออกกำลังใจ โดยการออกแรงสำรวมใจให้อยู่นิ่ง ๆ วันละประมาณ 10 นาที ที่เรียกว่านั่งสมาธินั่นแหละครับ แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า บ่อยมากที่ผมขี้เกียจ ไม่อยากจะออกกำลังอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรือออกกำลังใจ
วิธีแก้ไขโดยไม่ต้องใช้ศิลปะของผมก็คือ ฝืนใจทำไปทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจ อย่างเช่นตอนเย็นเมื่อถึงเวลาออกไปเดินออกกำลังกาย ผมก็ใส่รองเท้าผ้าใบออกไปเดิน เดินไปทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจนั่นแหละ เดินไปอย่างเสียไม่ได้ ถ้าเดินเร็วไม่ได้ก็เดินช้าลากขาไปอย่างนั้นแหละ เดินไปให้ครบ 60 นาทีแล้วก็เลิกเดิน ส่วนเรื่องการออกกำลังใจโดยการนั่งสมาธิ อันนี้ยิ่งหนักข้อยิ่งกว่าการเดินเสียอีก เพราะบ่อยครั้งที่ทั้งขี้เกียจและง่วง ผมก็นั่งทั้ง ๆ ที่ขี้เกียจ แม้คนอื่นจะเรียกว่า “นั่งสมาธิ” แต่จริง ๆ แล้วเป็นการ “นั่งบังคับใจ” ซึ่งผมก็รู้ว่า แม้ผมจะบังคับใจให้เป็นสมาธิไม่ค่อยได้ แต่ผมก็จะบังคับกายให้นั่ง ทั้งหมดนี้ผมถือว่า กิจวัตรประจำวันอันใดที่ดีก็ควรทำ ทำไปแม้จะขี้เกียจ ทำให้เป็นนิสัยที่เคยชิน เพราะผมเชื่อว่า ปริมาณจะนำไปสู่คุณภาพ เพราะการที่เราจะทำได้ เราจะต้องได้ทำก่อน เมื่อได้ทำมากเท่าใด ก็จะค่อย ๆ ทำได้มากเท่านั้น แต่ถ้าไม่ได้ทำก็จะทำไม่ได้ นี่เป็นเหตุและผลง่าย ๆ ที่ทุกคนต้องยอมรับ
คราวนี้มาพูดถึงการฝึกภาษาอังกฤษในวันที่ขี้เกียจ – วันที่ไม่มีแรง, ไม่มีเวลา, ไม่มีอารมณ์จะฝึก เราจะฝึกกันอย่างไร ผมขอให้ความเห็นและเล่าประสบการณ์ส่วนตัว ดังนี้ครับ
[1] ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ภาษาอังกฤษนั้น มีอยู่ 4 ทักษะให้ฝึก คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ผมมานั่งถามตัวเองว่า วันที่เราขี้เกียจสุด ๆ เราควรจะฝึกยังไงให้มันสอดคล้องกับความขี้เกียจ ก็ได้ข้อสรุปว่า การฝึกภาษาอังกฤษโดยการดูคลิปวีดิโอง่าย ๆ เหมาะที่สุดสำหรับเวลาที่ขี้เกียจและไม่ค่อยมีสมาธิในการฝึก เพราะเวลาที่ขี้เกียจสุด ๆ และไร้สมาธินั้น สมองคงจะปิดและจะให้ไปฝึกอ่าน-พูด-เขียน คงไม่มีแรงทำไหว
[2]คลิปที่จะเลือกมาเพื่อการฝึกฟังภาษาอังกฤษ เวลาที่เราขี้เกียจ ควรจะมีลักษณะ ดังนี้
- -มีเนื้อหาที่เราชอบ สนใจ ไม่รังเกียจ หรือเป็นเรื่องที่เราพอรู้อยู่บ้าง
- -เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปสำหรับเรา หรือไม่ยาวเกินไป
- -ถ้ามี subtitle เป็นภาษาอังกฤษบนจอด้วยยิ่งดี ตอนดูคลิปถ้าเราต้องการก็อ่านได้ แต่ถ้าจะดูอย่างเดียวโดยไม่อ่านก็ทำได้เช่นกัน
[3] เพราะฉะนั้น ผมจึงขอแนะนำว่า ถ้าท่านเจอคลิปที่มีลักษณะตามข้อ [2] ให้ท่านทำ Favorites หรือ Bookmarks ไว้เลย และพอถึงเวลาที่จะฝึกภาษาอังกฤษอันเป็นกิจวัตรประจำวัน จะได้คลิกเข้าไปฝึกชมได้ทันที จะได้ไม่ต้องออกแรงหา เพราะเวลาที่ขี้เกียจเช่นนี้คงไม่มีแรงไปหา เพราะฉะนั้น ก็ให้ตุนไว้ตอนนี้เลย ตอนที่ขี้เกียจจะได้คลิกเข้าไปชมได้ทันที
[4] ขอให้ท่านคลิกฟังจนครบตามเวลาที่ตั้งใจไว้ เช่น ตั้งไว้ 30 นาทีก็ต้องฟังให้ครบ 30 นาที มันจะรู้เรื่องมากหรือน้อยก็ช่างมัน ขอให้ครบตามเวลาก็เป็นอันใช้ได้ แม้ฟังในครั้งแรก ๆ จะรู้เรื่องน้อย แต่ถ้าฟังไปบ่อย ๆ ทุกวัน ก็จะรู้เรื่องมากขึ้น ๆ เอง ดังที่บอกแล้วว่า ปริมาณนำไปสู่คุณภาพ
[5]ในเว็บ www.e4thai.com ในเมนูซ้ายมือของหน้า ที่ปุ่ม Watchingได้รวบรวมคลิปไว้มากพอสมควรให้ท่านเลือกคลิกชม ผมขอยกตัวอย่างสักเล็กน้อย ข้างล่างนี้
- AutoMagic English Speaking Lessons
- https://www.youtube.com/watch?v=lV1ikaNI0c8&list=PL03B1D8E42488C386
- https://www.youtube.com/watch?v=COofcJhuiW4&list=PL6DACA6F38EE2F1DD
- https://www.youtube.com/watch?v=vAi1JlMIQVM&list=PL63FB966A10363FAF
- https://www.youtube.com/watch?v=p73aCip8tg4&list=PLpCR8mo8DkOzwhhTg7aO1B1TzikBA4YGa
ท่านผู้อ่านครับ ผมขอชักชวนให้การฝึกดูคลิปภาษาอังกฤษเป็น 1 กิจวัตรประจำวันของท่านเถอะครับ และให้ท่านทำมันทุกวัน ทั้งวันที่ขี้เกียจและไม่ขี้เกียจ ผมขอรับรองว่า ผลดีที่ได้รับจากการฝึกนั้นคุ้มค่าครับ
พิพัฒน์
อย่าปิดหูปิดตาฝึกพูดภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
คนไทยจำนวนมากที่แทบไม่เคยพูดภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติ พอมีโอกาสจะพูดจึงไม่กล้า กลัวไปสารพัดอย่าง และก็คิดว่าจะพูดได้ต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ เมื่อเรียนมาแล้ว บางคนก็พูดได้ดีขึ้นเยอะ บางคนก็พูดได้ดีกว่าเดิมนิดหน่อย แต่บางคนก็พูดไม่ได้เหมือนเดิม วันนี้ผมจะคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้
พอท่านเดินเข้าประตูโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ และบอกเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ว่าจะมาสมัครเรียนคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษ สิ่งแรกที่เขาจะให้ท่านทำก็คือทดสอบวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษของท่าน ซึ่งมักจะมี grammar, reading และ listening เมื่อรู้ผลแล้วเขาก็จะแนะนำคอร์สที่เหมาะสมที่ท่านควรเริ่มเรียน
จุดที่หลายคนอาจจะผิดหวังเริ่มจากตรงนี้
เรื่องที่ 1: เขาอาจจะจำกัดจำนวนผู้เรียนไม่เกิน 10 – 15 คนต่อ 1 ห้องต่อการเรียน 1 ครั้งประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง ท่านลองคำนวณดูด้วยตัวเองก็ได้ครับว่า เมื่อหักเวลาที่อาจารย์พูดอธิบายออกไป จะเหลือเวลาให้ผู้เรียนฝึกพูดกี่นาที และเมื่อหารด้วยจำนวนคนเรียนทั้งห้อง แต่ละคนจะได้ฝึกพูดกี่นาที ถ้าการอยู่ในห้องเรียน 1 ครั้งท่านได้พูดประมาณ 15 นาที รวมทั้งคอร์สกี่ครั้ง ท่านจะได้พูดรวมแล้วทั้งหมดกี่นาที ถ้าท่านฝึกพูดเฉพาะเวลาที่อยู่ในห้อง โอกาสพูดคล่องจะมีไหม?
เรื่องที่ 2: ตามหลักการนั้น โรงเรียนจะจัดกลุ่มผู้เรียนที่เก่ง-อ่อนใกล้เคียงกันให้เรียนในห้องเดียวกัน เพราะถ้าคนเก่งไม่เท่ากันเรียนห้องเดียวกันครูจะสอนลำบาก แต่หลักการนี้หลายโรงเรียนอาจจะไม่ได้ปฏิบัติ เพราะว่าจำนวนผู้เรียนที่มีผลการ test ในระดับนั้นระดับนี้มันไม่พอดีกับจำนวนห้อง และถ้าโรงเรียนต้องจัดโดยยึดผู้เรียนเป็นหลัก ก็อาจจะได้ผู้เรียนไม่เต็มห้องตามยอดที่ตั้งไว้ ไม่คุ้มกับค่าครูที่โรงเรียนต้องจ่ายและค่าโสหุ้ยอื่น ๆ บางโรงเรียนก็แก้ปัญหา(ของโรงเรียน)ด้วยวิธีง่าย ๆ คือจัดให้ผู้เรียนที่มีทักษะคนละระดับอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อจะได้มีนักเรียนเต็มห้อง และให้ครูผู้สอนแก้ปัญหาเอาเองเมื่อถึงเวลาสอน ท่านลองจินตนาการเอาเองแล้วกันครับว่า ถ้าท่านไม่ค่อยเก่งแล้วต้องไปเรียนร่วมห้องกับคนเก่งพูดคล่องหรือช่างพูด มันจะเป็นยังไง
เรื่องที่ 3: ชาวต่างชาติที่โรงเรียนจ้างเป็นผู้สอนคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษนั้น หลายคนก็ไม่ได้จบการศึกษามาทางด้านการสอน และไม่มีประสบการณ์ในการสอนภาษา แม้ว่าจะเป็นภาษาของเขาก็ตาม บางคนก็เป็น backpacker มารับจ้างสอนชั่วคราว เพราะฉะนั้น ในข้อเท็จจริงอย่างนี้ การหวังมากเกินไปคงไม่ดีนัก
เอาละ อาจจะมีโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษบางแห่งที่โฆษณาว่า ปัญหาทั้ง 3 เรื่องที่ว่ามานี้ที่โรงเรียนของเขาไม่มี เพราะเขาเรียนเป็นกลุ่มย่อยไม่เกิน 3 – 4 คน และทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน และครูต้องได้รับ certificate รับรองความรู้ความสามารถในการสอน นอกจากนี้โรงเรียนของเขายังจัดสิ่งแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นเร่งเร้าให้ผู้เรียนพูดภาษาอังกฤษทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงเรียนหรือห้องเรียน มีครูที่ปรึกษาประจำตัวคอยถามไถ่ แก้ปัญหา ให้กำลังใจผู้เรียนทุกคน และยังมีบริการอีกสารพัดอย่างเสิร์ฟให้ คำถามของผมคือ ท่านพอจะเดาได้ไหมว่า ค่าเรียนที่โรงเรียนคิดต่อ 1 คอร์สนั้นเท่าไหร่ ท่านจะมีเงินสู้ไหวไหมสำหรับตัวท่านเองที่อยากเรียน หรือสำหรับลูกหลานที่ท่านอยากส่งเขาเข้าไปเรียน
ผมขอชี้ให้ท่านดูอีกภาพหนึ่ง ท่านอาจเคยได้ยินเพื่อนบอกว่า ไปเรียนที่นั่นที่นี่ซี ไม่เครียด อาจารย์สอนสนุก ฮาทั้งชั่วโมง ผมขอถามหน่อยว่า ท่านต้องการไปเรียนฝึกพูดภาษาอังกฤษหรือต้องการไปฟังทอร์คโชว์ ท่านได้หลักเกณฑ์ที่สามารถนำมาฝึกพูดด้วยตัวเองบ้างไหม หรือทุกครั้งที่จะฝึกพูด จะต้องไปฝึกพูดกับครู ไปฟังครูพูด ไปพูดให้ครูฟัง ชีวิตนี้ขาดครูไม่ได้เลยหรือ
เพื่อนผมคนหนึ่งลาออกจากราชการมาทำธุรกิจส่วนตัว เขาจะต้องพูดกับเอเย่นต์และลูกค้าต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็พูดได้กระท่อนกระแท่นมาก จึงแก้ปัญหาด้วยการให้หลานที่เรียนจบสหรัฐฯมาช่วยพูดติดต่อให้ แต่มันก็ไม่ได้ดังใจ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไปเข้าคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษยาวหลายเดือนพร้อมกับอยู่กับครอบครัวฝรั่งที่เมืองนอก เขาหวังว่าเมื่อจบคอร์สกลับมาเมืองไทยจะพูดฝรั่งได้คล่อง การตัดสินใจของเพื่อนคนนี้มีเพื่อนหลายคนเห็นด้วย ในความเห็นของเขา ถ้าไม่มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษพูดจาในชีวิตจริงก็ไม่มีทางพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง
ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ที่พูดมายืดยาวทั้งหมดนี้ผมต้องการจะบอกอะไร ผมต้องการจะบอกอย่างนี้ครับ:
[1] ทุกคนรู้แล้วว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยเปิดตัวติดต่อกับโลกทั้งโลก และเราจำเป็นต้องพูดกับชาวโลกให้รู้เรื่องด้วยภาษาสากลของโลก คือ ภาษาอังกฤษ
[2] พวกเราทุกคนรู้ และชาวโลกก็รู้ ว่าทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของคนไทยอ่อนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านสามัญ คนที่ยังเรียนหนังสือ คนที่ทำงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตัว งานราชการ งานเป็นลูกจ้างบริษัท ถ้างานนั้นต้องพูดภาษาอังกฤษที่ยากสักหน่อย คนไทยจะเดี้ยง
[3] และเมื่อจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้พูดเป็น พูดคล่อง สิ่งแรก (และสิ่งเดียว)ที่คนไทยส่วนมากมักนึกถึง ก็คือครูสอนภาษาอังกฤษ และโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ถ้าไม่มีครูผู้สอนและไม่มีโรงเรียน การเรียนก็เกิดขึ้นไม่ได้
[4] แต่ปรากฏการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ เกี่ยวกับการฝึกพูดภาษาอังกฤษของคนไทยเพื่อให้มีทักษะนี้รับกระแสโลก กลับมีแต่เรื่องน่าผิดหวัง เพราะว่า ดูเหมือนมันไม่มีคำตอบเอาซะเลย ทำไมล่ะ ?
- แม้ว่าโรงเรียนสอนภาษาเอกชนบางแห่งที่พอสู้ราคาไหวจะเป็นที่พึ่งได้บ้าง แต่หลายแห่งก็พึ่งไม่ได้อย่างที่คุย และเสียเงินอย่างไม่คุ้มค่า
- โรงเรียนสอนภาษาเอกชนที่มีชื่อว่าสอนดี ก็แพงจนหูฉี่สู้ค่าสอนไม่ไหว
- จะไปเรียนเมืองนอก ก็ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา
จึงมาถึงข้อสรุปเดิม ๆ ที่ผมพูดไว้หลายครั้งในเว็บนี้ ว่า
[1] ท่านฝึกเองเถอะครับ แต่อย่าปิดหูปิดตาฝึกพูดภาษาอังกฤษ คำว่า “ปิดหู” คือไม่ยอมฝึกฟัง และคำว่า “ปิดตา” คือไม่ยอมฝึกอ่าน เมื่อไม่ได้ฝึกฟังและไม่ได้ฝึกอ่าน ก็ไม่ได้สำเนียง ไม่ได้สำนวน และไม่ได้ศัพท์ ก็ยากนักที่การฝึกพูดจะได้ผลดี ตาและหูคือครูที่แท้จริงของปาก ปากจะพูดได้ดีเพราะมีตาและหูเป็นผู้ช่วย สิ่งที่เราอ่านผ่านตาและฟังผ่านหู จะเป็นครูที่บอกเราว่า พูดอย่างไรให้ผิดน้อยหรือไม่ผิดเลย
[2] ท่านอย่ารอครูเลยครับ อย่าทำเหมือนกับว่า ครูเป็นบ๋อยที่นำอาหารคือบทเรียนมาเสิร์ฟท่านถึงที่โต๊ะ ท่านต้องเสิร์ฟตัวเองครับ และในเน็ตก็มีบทเรียนมากมายให้ท่านเลือก โดยเฉพาะบทเรียนจากเว็บฝรั่งที่มากกว่าเว็บไทยทั้งปริมาณและคุณภาพ ลูกเล่น เทคนิค รายละเอียดดี ๆ ต่าง ๆ มากมาย ท่านต้องลงทุนสืบค้นและเสิร์ฟตัวเอง อย่ารอครูเลยครับ เมื่ออยู่ในโรงเรียนท่านอาจจะเป็นนักเรียนที่ขยัน ครูสอนให้ทำอะไรก็ทำหมด แต่ตอนนี้ที่ท่านไม่ได้เป็นนักเรียนแล้ว ไม่มีครูมามอบการบ้าน ท่านจึงต้องเป็นครูมอบการบ้านให้ตัวเอง และเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ทำการบ้านนั้น
[3] ในการฝึกพูด ถ้ามีคนจริง ๆ ให้ฝึกพูดด้วยก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้ายังไม่มีก็ฝึกอย่างอื่นแทนไปก่อนได้ การฝึกเปล่งเสียงคำศัพท์เป็นคำ ๆ, ฝึกพูดประโยคสนทนาทีละประโยค โดยเลือกประโยคที่มีโอกาสใช้นำมาฝึกพูดก่อน, การฝึกอ่านออกเสียงวันละ 1 หน้า, การฝึก present ต่อกลุ่มผู้ฟังในจินตนาการวันละ 1 เรื่อง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นบทฝึกพูดด้วยตัวเองที่ได้ผลโดยไม่ต้องมี partner เป็นคนจริง ๆ
[4] การฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผล จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าความอยากเยอะแต่ความพยายามน้อย, สมาธิสั้นแต่ความกังวลยาว ก็คงทำอะไรไม่สำเร็จ
พูดมาถึงตรงนี้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเพลงเก่าเพลงนั้นของวงแฮมเมอร์ ท่านลองคลิกฟังดูก็ได้ครับ
4 วรรคแรกของเนื้อเพลงบอกว่า....
ทำไมครูที่นี่มีน้อยนัก
เด็กๆมักถามถึงครูอยู่เสมอ
ครูคนใหม่อยู่ไหนกันเล่าเออ
เด็กชะเง้อคอยครูอยู่ทุกวัน
ทุกวันนี้เมื่อเราต้องการฝึกพูดภาษาอังกฤษ เราไม่ต้อง “ถามถึงครูอยู่เสมอ” และไม่ต้อง “ชะเง้อคอยครูอยู่ทุกวัน” หรอกครับ เพราะครูก็คือตัวเราเอง คือปากที่เปิดพูด คือหูที่เปิดฟัง และคือตาที่เปิดอ่าน
ตัวเราเอง ใจของเราเอง ปาก-หู-ตาของเราเอง เป็นห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เราเปิดประดูเข้าไปฝึกได้ทุกวัน
พิพัฒน์
ฝึกพูดภาษาอังกฤษตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อเตรียมตัวรับ AEC 31 ธันวาฯ 58
สวัสดีครับ
วันก่อนผมไปที่ร้าน True ที่ห้างเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ มีผู้ไปรับบริการไม่มากนัก และเท่าที่ดูหน้าตาก็มีแต่คนไทย ไม่มีคนต่างชาติ หรืออาจจะมีแต่ผมไม่เห็น
ผมกำลังคิดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ซึ่งเขาประกาศให้เป็นวันเริ่มต้นของ AEC ซึ่งหมายความว่า ผู้คนและแรงงานใน 10 ประเทศอาเซียนจะเดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่ายขึ้น และก็คาดกันว่าคนและทุนจากประเทศอื่นนอกเขตอาเซียนก็จะไหลเข้ามามากกว่าเดิมเช่นกัน นี่หมายความว่าอย่างไร? ผมคิดถึงภาพในเมืองไทย ตามเคาน์เตอร์บริการลูกค้าในห้าง, โรงพยาบาล, ธนาคาร, ร้ายขายอาหาร, ขายของที่ระลึก, โรงแรม, คนขับพาหนะรับจ้าง, สถานที่ท่องเที่ยว จะต้องบรรจุคนที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเข้าไปทำงาน หรือจะต้องฝึกให้คนงานเดิมสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น เพราะลูกค้าจากนอกประเทศจะไหลเข้ามามากขึ้น
แต่ถ้าคนไทยไม่สามารถทำงานอย่างนี้ได้ คืองานที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ หรือทำได้แต่ไม่ดี ไม่คล่อง นายจ้างชาวไทย หรือนายจ้างต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจในเมืองไทย เขาก็สามารถจ้างคนอาเซียนจากประเทศอื่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่า แถมบางคนไม่เพียงพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเท่านั้น ยังพูดภาษาไทยได้อีกด้วย ก็จะกลายเป็นว่า วันเริ่มยุค AEC คือวันที่คนไทยหางานได้ยากขึ้นในประเทศของเราเอง และเพื่อนบ้านที่เข้ามาแย่งงานเรานี้ เขาก็เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายซะด้วย แล้วเราเองล่ะสามารถเดินทางไปประเทศอาเซียนอื่น เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน เพื่อแย่งงานกับคนต่างชาติหรือคนในชาตินั้นที่ประเทศนั้น ๆ ได้หรือไม่?
ทำไปทำมาก็ต้องย้อนกลับมาที่คำถามเดิม คือ เราคนไทยสามารถพูดจาสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ดีมากพอที่จะรับมือกับยุค AEC หรือไม่?
ผมกำลังคิดถึงคนไทย 2 กลุ่ม:
กลุ่มที่ 1 คือนักเรียนนักศึกษาที่ขณะนี้ยังเรียนไม่จบ ท่านได้ประเมิน speaking skill ของท่านหรือยังว่า เมื่อท่านเรียนจบ ท่านสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษหรือไม่? ถ้าคำตอบตอนนี้คือ ทำไม่ได้! หรือทำได้แต่ไม่ดี! ท่านมีแผนฝึกตัวเองให้ทำได้ หรือทำให้ดีกว่าเดิม หรือไม่?
กลุ่มที่ 2 คือท่านที่ประกอบอาชีพแล้ว ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจของตัวเอง หรือเป็นพนักงานลูกจ้างในหน่วยราชการหรือบริษัท เมื่อ AEC มาถึง ท่านมีงานเพิ่มขึ้นคือการพูดสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ หรือไม่? นี่เป็นคำถามที่ท่านต้องตอบตัวเองในวันนี้ไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นแล้วถูกมอบหมายงานโดยกะทันหัน งานที่ท่านอาจจะทำไม่ได้ถ้าไม่ได้เตรียมตัวฝึกฝนไว้ก่อน ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อถึงวันนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ในบริษัทมากน้อยเพียงใดที่ถูกไล่ออก ปลดออก หรือลดงาน ลดตำแหน่ง เพราะไม่สามารถทำงานเฉพาะหน้าที่บริษัทมอบหมาย งานที่ต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ
คราวนี้มาถึงคำถามสำคัญ:
- ถ้าโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยที่ท่านศึกษาอยู่ขณะนี้ เขาไม่ได้มีกิจกรรมหรือหลักสูตรอะไรพิเศษเพื่อตระเตรียมตัวท่านให้พูดภาษาอังกฤษได้เมื่อเรียนจบ ท่านเองล่ะ ได้ตระเตรียมตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งอาจารย์ ไม่ต้องพึ่งมหาวิทยาลัย อย่างไรบ้างหรือเปล่า?
- ถ้าที่ทำงานของท่าน เขาไม่ได้มีกิจกรรมหรือคอร์สฝึกอบรมอะไรพิเศษเพื่อตระเตรียมตัวท่านให้พูดภาษาอังกฤษได้เมื่อ AEC มาถึง ท่านเองล่ะ ได้ตระเตรียมตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งที่ทำงานอย่างไรบ้างหรือเปล่า?
ถ้าคำตอบคือ ท่านได้เตรียมฝึกตัวเองไว้บ้างแล้วเกี่ยวกับ speaking skill ก็เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ถ้าคำตอบคือ ไม่มีเลย - ท่านยังไม่ได้คิด - ไม่ได้เตรียม - ไม่ได้ทำอะไรเลย และขอให้ผมแนะนำว่า จะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อเตรียมตัวในเรื่องนี้?
คำตอบของผมคือ ไม่รู้ครับ ผมตอบไม่ได้ ของใครก็ของมัน แต่ละคนต้องเตรียมตัวกันเอาเอง ขนาดท่านเองยังไม่รู้ แล้วใครจะไปรู้เรื่องของท่าน เช่น เนื้อหาภาษาอังกฤษที่ต้องพูด คำศัพท์ วลี ประโยค มันเป็นเรื่องเทคนิคที่ท่านต้องคุยกับลูกค้า ซึ่งท่านจะต้องตระเตรียมเอง ถ้าท่านคนเดียวคิดไม่ออกหรือทำหมดคนเดียวไม่ไหว ก็ต้องปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมเรียน เพื่อนในที่ทำงาน อาจารย์ หัวหน้า ผู้อำนวยการ ผู้เชี่ยวชาญในที่ทำงาน ฯลฯ ให้ช่วยกันคิด
ในเว็บนี้ ผมได้รวบรวมบทเรียนและแบบฝึกหัดไว้มากพอสมควรในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ที่ลิงค์นี้ Speaking
และยังมีอีกหลายเรื่องใต้หัวข้อ Lessons, Groups และ Tools ที่เมนูในคอลัมน์ซ้ายมือ ที่เชื่อว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ
แต่ผมไม่ทราบว่าเรื่องใดที่เหมาะสมกับท่านในการฝึกเพื่อการใช้งาน และคิดว่าท่านคงต้องนำไปประยุกต์เพิ่มเติม
เพื่อเตรียมตัวรับงานที่จะเข้ามาในอนาคต อะไรที่พอจะทำได้ตอนนี้ ก็รีบทำเถอะครับ ถ้าไม่ทำตอนนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง อาจจะสายเกินไป
พิพัฒน์
เว็บดีที่ขอแนะนำ esldesk.com – ทุกคำในเว็บ มีความหมายภาษาอังกฤษ และคำแปลภาษาไทย ให้ท่านศึกษา
สวัสดีครับ
วันนี้ผมขอแนะนำเว็บ www.esldesk.com ซึ่งเป็นเว็บสอนภาษาอังกฤษซึ่งมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใครเลย คือ เมื่อคลิกคำใด ๆ ก็ตามในเว็บนี้ จะได้อ่านความหมายของคำนั้นเป็นภาษาอังกฤษ และคำแปลภาษาไทย
เว็บนี้มีรายละเอียดเยอะ ผมขอแนะนำย่อ ๆ ไปตามลำดับดังนี้ครับ
[1]
ที่แถบด้านบนของเว็บ มีปุ่มเหล่านี้เป็นลิงค์ให้ท่านเลือกคลิกเรียน:ESL -Vocabulary – Grammar-Spelling-Bee-Errors-Reading-Online -Spanish ESL-Books
เมื่อท่านคลิกที่ปุ่มใดปุ่มหนึ่ง จะปรากฏหลายบทเรียนย่อยด้านล่าง อย่างเช่นตามภาพข้างล่างนี้ เมื่อคลิก Vocabulary จะมีหลายบทเรียนย่อยตามที่เห็นในวงรีสีแดง
[2]
เมื่อคลิกที่บทเรียนย่อยบทใดบทหนึ่ง เว็บจะโชว์กิจกรรมให้ฝึกที่กลางหน้า โดยด้านบนจะโชว์ภาพข้างล่างนี้
ตามหมายเลข 1. เมื่อคลิก 1 ครั้งจนเป็นไฮไลต์ที่ Definition และเลือกดิกชันนารี(ในที่นี้เลือก Oxford) เมื่อคลิกคำใดก็ตามในบทเรียน จะเกิด new window แสดงคำศัพท์นั้นจากเว็บดิก Oxford โดยใน window นี้มีทั้งความหมายของคำศัพท์, ประโยคตัวอย่าง, และปุ่มให้คลิกฟังเสียงอ่านคำศัพท์
ตามหมายเลข 2 เมื่อคลิก 1 ครั้งจนเป็นไฮไลต์ที่ Translation (ตามตัวอย่างในภาพข้างบน) และเลือก Thai เมื่อคลิกคำใดก็ตามในบทเรียน จะเกิด new window แสดงคำแปลเป็นไทยของศัพท์คำนั้นจากเว็บ Google Translate English – Thai และก็มีปุ่มให้คลิกฟังเสียงอ่านคำศัพท์ด้วยเช่นกัน
ตามหมายเลข 3 เมื่อคลิก 1 ครั้งจนเป็นไฮไลต์ที่ Usage และเลือก Google, เมื่อคลิกคำใดก็ตามในบทเรียน จะเกิด new window แสดงผลการ search คำนั้นจากเว็บ Google.com แต่ปุ่มนี้ในการศึกษาบทเรียนภาษาอังกฤษที่เว็บนี้ ท่านอาจจะยังไม่ต้องใช้ก็ได้
ตามหมายเลข 4 ซึ่งเป็นไอคอนรูปลำโพง (บางบทเรียนในเว็บนี้มีปุ่มนี้, แต่บางบทเรียนก็ไม่มี) เมื่อคลิก 1 ครั้งจนเป็นไฮไลต์ที่ไอคอนนี้ และคลิกคำใดก็ตามในบทเรียน จะได้ยินเสียงอ่านคำนั้นเป็นภาษาอังกฤษ
ท่านจะเห็นได้ว่า บริการความหมาย, คำแปล, และเสียงอ่าน เช่นนี้ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาบทเรียนต่าง ๆ ที่เว็บนี้
[3]
เมื่อได้เครื่องมืออันวิเศษอย่างนี้แล้ว ต่อจากนี้ผมขอชวนให้ท่านคลิกเข้าไปสำรวจบทเรียนต่าง ๆ โดยคลิกปุ่มที่แถบด้านบนของเว็บ บางบทเรียนก็มี test ให้ทำ แต่บางบทเรียนก็มีเฉพาะคำอธิบาย
[4]
ผมขอแนะนำบางบทเรียนที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจ – น่าฝึก ข้างล่างนี้ครับ
เรื่อง Vocabulary
เรื่อง Spelling
เรื่อง Reading
บทเรียนนี้น่าสนใจมาก ท่านสามารถ copy/paste ข้อความอะไรก็ตามที่ท่านต้องการศึกษา เช่น ข่าว, บทความ, story ฯลฯ ลงไปในช่องสี่เหลี่ยมกลางหน้า, และคลิก Click here เพียงเท่านี้ ท่านก็เหมือนมีดิกอังกฤษ-อังกฤษ และดิกอังกฤษ-ไทย อยู่ใกล้มือ เพียงคลิก 1 ครั้ง ความหมายหรือคำแปลก็ปรากฏทันที
หมายเหตุ:
1.สำหรับดิกอังกฤษ-อังกฤษ Oxford ผมเจอว่า บางที noun ที่เติม s เช่น students มันไม่ย่อมแสดงผล, ถ้าท่านเจออย่างนี้ (หรือปัญหาอย่างอื่นคล้าย ๆ กันนี้)ก็เปลี่ยนไปใช้ ดิกอังกฤษ-อังกฤษ Cambridge แล้วกันครับ
2.สำหรับดิก อังกฤษ – ไทย Google Translate นั้น ถ้าเป็นคำที่ต่อท้ายด้วย –s, -es, -ing อะไรทำนองนี้ บางทีมันก็ให้คำแปลสั้นเกินไป วิธีแก้ก็คือ ในหน้าต่างที่มันแสดงผลนั้น ท่านก็ตัดตัวที่ต่อท้ายนี้ออกไปเสีย เช่น students ตัดเหลือ student ก็จะได้คำแปลที่สมบูรณ์ขึ้น
สรุปว่าเว็บ esldesk.com มีประโยชน์จริง ๆ ขอชักชวนให้ท่านทำความคุ้นเคยกับมันสักพัก ก็จะเจออะไรดี ๆ มากกว่าที่ผมพูดในวันนี้
♥ สำหรับท่านที่ต้องการฝึก reading โดยมีผู้ช่วย เช่น ท่านที่ฝึกอ่านข่าวจาก นสพ. bangkokpost.com เป็นประจำ ขอแนะนำให้ท่านไปที่ Lite Version ของ Bangkok Post
คือที่ลิงค์นี้
และ copy ข่าวมา paste ที่หน้า ESL Reader ของ esldesk.com ที่ผมบอกอย่างนี้ก็เพราะว่า ที่ Full Version ของ Bangkok Post เขาไม่ยอมให้ท่าน copy เนื้อข่าวออกมาครับ
ลองฝึกดูนะครับ
พิพัฒน์
เลิก Facebook เก่า – ใช้ Facebook ใหม่
เรียนท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน
2 – 3 วันที่ผ่านมานี้ ผมวุ่นวายเรื่อง Facebook ทั้ง 2 หน้าเพราะ:
หน้านี้ https://www.facebook.com/e4thai
ถูก malware คลิปโป๊เล่นงาน หลายครั้ง และวันนี้ผมก็ยังเอามันออกไม่ได้
ส่วนหน้านี้ https://www.facebook.com/EnglishforThai
ผมก็ post บทความใหม่ ๆ ไม่ได้
พยายามแก้ปัญหาก็แก้ไม่สำเร็จ ที่แย่สุด ๆ ก็คือ ผม log-in ไม่ได้ จึงทำอะไรมันไม่ได้เลย
จึงขอแก้ปัญหาด้วยการเลิกใช้ Facebook เดิมทั้ง 2 หน้า
และขอใช้ Facebook ใหม่ที่หน้านี้แทน
ต่อจากนี้ทุกบทความที่เขียนไว้ในเว็บ www.e4thai.com ผมจะนำลิงค์มาลงไว้ที่หน้านี้ อย่างครบถ้วน และอาจจะมีบางอย่างที่เพิ่มเติม นอกเหนือจากที่ลงไว้ในเว็บอีกด้วย
ทุกท่านเข้าไป Add Like และดูบทความได้เลย โดยไม่ต้องขอเป็นเพื่อน จะอ่านเฉย ๆ, หรือ คลิก Like, ฝาก comment, หรือกด share ก็ทำได้ตามอัธยาศัย
ตกลงตามนี้แล้วกันครับ
พิพัฒน์
More Articles...
- วันวาเลนไทน์ของผมคือทุกวัน และท่านคือวาเลนไทน์ของผม
- รู้แกรมมาร์แต่พูดไม่ได้ รู้ศัพท์แต่อ่านไม่รู้เรื่อง – ปัญหาของคนไทย แก้ยังไงดี?
- ขอแนะนำ Everyday English (ท่านต้องชอบแน่ ๆ)
- อ่านข้อมูลหางาน แล้วจะรู้ว่า ทักษะภาษาอังกฤษ สำคัญเพียงใด
- Bookmarks – จัดบทเรียน online ให้ตัวเองเรียนทุกวัน
- ดาวน์โหลดด้วยใจรัก - วิธีทำให้การดาวน์โหลด e-book ของท่านไม่เสียเวลาเปล่า
- ออกแรงสมองอีกนิด – read แล้ว test
- สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
- แนะนำ 10 วิธีสุดเจ๋ง เรียนภาษาอังกฤษให้เก่งได้ด้วยตัวเอง!
- ดาวน์โหลด ของฝากจาก e4thai.com “เพื่อพลังใจในชีวิต และการฟิตภาษาอังกฤษ ปี 2558”
- ไฮไลท์เต็ม มาเลเซีย(Malaysia) VS ไทย(Thailand) 3-2 ผลรวม 3-4 ไทยชนะ
- คลิปไฮไลท์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ รอบชิง ทีมชาติไทย 2-0 มาเลเซีย Thailand 2-0 Malaysia
- ชีวิตนี้...
- ขอความกรุณาช่วยหาเว็บ “คำศัพท์สับสน” ให้ผมหน่อยครับ
- จำภาษาโต้ตอบจาก story – จำภาษาเล่าเรื่องจาก news
- สิ่งที่น่าจะทำได้ทันที เพื่อฉุดไทยไม่ให้เป็นประเทศบ๊วยเรื่องภาษาอังกฤษ
- หลายเรื่องเกี่ยวกับ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง (+ชีวิต คุณจ้อน)
- ทำไม“อิทธิบาท” ขาดไป เมื่อคนไทยเรียนภาษาอังกฤษ
- ขอลางานจากเว็บสัก 2 - 3 นะครับ กลับไปเยี่ยมบ้านที่แม่กลอง
- เรียนภาษาอังกฤษกับเว็บไทย และขยับไปเว็บฝรั่ง