Home
เข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ free online – มีประโยชน์มาก
สวัสดีครับ
การเรียนภาษาอังกฤษผ่านเน็ต รู้สึกว่าจะมี 2 อย่าง
อย่างที่ 1 คือ อยากจะรู้ -อยากจะเรียนอะไร ก็เข้าไปที่หน้า →Google Search และพิมพ์คำค้นลงไป วิธีนี้จะเรียนอะไร เรียนเมื่อไหร่ ทำได้ทั้งนั้น หรือจะดาวน์โหลด eBook หรือคลิปมาเรียนโดยไม่ต้องต่อเน็ต ก็ทำได้
อย่างที่ 2 คือ เข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษขณะต่อเน็ต ซึ่งมีคอร์สให้เรียนมากมายโดยไม่ต้องเสียเงิน
ทั้ง 2 อย่างนี้ผมรู้สึกว่า คนไทยชอบเรียนอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง... มากกว่ามาก ๆ
สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคยกับ คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ free online ผมขอเล่าให้ฟังนิดหน่อย ดังนี้ครับ
[1] คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ free online เป็นเนื้อหาที่บางเว็บไซต์จัดให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาเป็นชุด ๆ (ซึ่งมีทั้งชุดเล็ก ๆ และชุดใหญ่) ผู้เรียนต้องเรียนไปตามลำดับ ตั้งแต่ บทแรกจนจบบทสุดท้าย จึงจะเรียกว่าเรียนจบ ไม่ใช่เลือกเรียนเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สนใจจะเรียน
[2] โดยทั่วไป ทางเว็บจะให้ผู้เรียน register ก่อน เมื่อจะเข้าเรียน ก็ log in เข้าไปในวิชาที่เลือกเรียน, เดี๋ยวนี้การ register – log in ทำผ่าน Facebook ก็ได้ ง่ายมากครับ
[3] บางเว็บมีให้ผู้เรียนทดสอบระดับภาษาอังกฤษของตัวเองก่อน จะได้สามารถเลือกได้ถูกต้องว่า level ที่เว็บจัดให้เลือกเรียน คือ beginner – intermediate – advanced นั้น ตนน่าจะ start ที่ level ไหน
[4] สำหรับเว็บใหญ่ ๆ มักมีหลายคอร์สให้ผู้เรียนเลือกได้ตามความสนใจ อันนี้ถือว่าเป็นบริการที่ดีมาก แถมบางเว็บยังมี apps พิเศษให้ดาวน์โหลดเพื่อเรียนกับ smartphone หรือ tablet อีกด้วย
[5] โดยทั่วไปในแต่ละคอร์ส หลังจากที่ log in เข้าไปเรียนวันแรก ทางเว็บจะกำหนดเวลาซึ่งต้องเรียนให้จบ เช่น ต้องเรียนให้จบภายใน 1 – 3 เดือน หากเรียนไม่จบ มักจะต้องเริ่มเรียนกันใหม่
[6] สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษกับสำหรับคอร์ส online ก็คือ เนื้อหาที่จัดทำมักมีลักษณะ interactive เช่น มีวีดิโอให้คลิกดู(อาจจะมีให้เลือกคลิกว่า จะดูคลิปพร้อมอ่าน transcript หรือไม่) โดยภาพในวีดิโอนั้น อาจจะเป็นคนจริง ๆ หรือคนการ์ตูนพูดกับผู้เรียนโดยเฉพาะ ทำให้รู้สึกใกล้ชิด หรือถ้าเป็น exercise หรือ test เมื่อคลิกตอบคำถามแต่ละข้อ ก็มีเฉลยให้ดูทันทีว่าตอบผิดหรือถูก เป็นต้น
[7] หลายเว็บเมื่อเรียนจบถึงบทสุดท้าย จะมี final test ถ้าสอบผ่านก็จะได้รับ certificate print ออกมาได้เลย
ลักษณะที่น่าสนใจมาก ๆ ของการเรียนแบบเข้าคอร์สออนไลน์ก็คือ เนื้อหาที่จัดทำเป็นชุดนี้ ทำให้ผู้เรียนได้เรียนอย่างค่อนข้างสมบูรณ์ ในวิชาที่ตนเองเลือกจะเรียน แต่สิ่งที่อาจจะทำให้หลายคนไม่ชอบการเรียนแบบนี้ก็คือ ผู้เรียนจะต้องมีวินัยสูง เมื่อเริ่มเรียนแล้วก็ต้องไม่เลิกเรียน ต้องอึดเรียนไปจนจบ ซึ่งสำหรับคนที่รักเรียนนี่เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเรามีโอกาส ทั้ง train และ test ตัวเองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และการพยายามเรียนจนจบทีละหลักสูตร ๆ นี้ มันชี้ให้เห็นทั้งความสำเร็จและความก้าวหน้าไปพร้อมกัน
สำหรับท่านที่รับผิดชอบงานฝึกอบรมบุคลากรของหน่วยงาน ถ้าหน่วยงานของท่านไม่มีงบประมาณมากเพียงพอในการจัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของพนักงาน ผมขอแนะนำให้ท่านลองหาหลักสูตร free online ซึ่งมีเนื้อหาตามที่ท่านต้องการในเน็ต ถ้าโชคดีอาจจะเจอ เมื่อเจอก็มีวิธีเรียนอยู่ 2 วิธี คือ
(1)มอบหมายให้แต่ละคนเรียนด้วยตัวเองที่บ้าน และถ้าคอร์สนั้นมี final test ก็ให้ print ผลการสอบหรือ certificate มาแสดงด้วยเมื่อเรียนจบ
(2)จัดห้องเรียนที่ office ให้กลุ่มพนักงานที่ได้รับการคัดเลือกมาเข้าเรียนพร้อมกันตามเวลาที่กำหนด โดยฉายภาพขึ้นจอใหญ่หน้าห้อง และถ้าเป็นไปได้ก็จัดให้พนักงานที่เก่งภาษาอังกฤษสัก 1 คนเป็นคนอธิบายประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือจัดแจงอย่างอื่นในลักษณะนี้ ที่ใช้งบน้อย แต่ได้ผลมาก
สำหรับเว็บเมืองไทยที่ให้เข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ผมเจออยู่ 2 เว็บที่เนื้อหาน่าสนใจทีเดียว คือ
เว็บที่ 1 Thailand Cyber University
- http://www.thaicyberu.go.th/th
- http://cloud.thaicyberu.go.th/Account/login
- http://www.thaicyberu.go.th/th/taxonomy/term/31
หลักสูตรที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ มีถึง 27 หลักสูตร ดังนี้
→ คลิก
เว็บที่ 2 มสธ.
มี 4 หลักสูตรให้เรียน คือ
- English Grammar in Use-ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
- Common Grammar and Writing Problems-ปัญหาที่พบเสมอด้านไวยากรณ์และการเขียน
- Welcoming Guests-การต้อนรับชาวต่างประเทศ
- Official Correspondence in English-การเขียนหนังสือราชการภาษาอังกฤษ
→ คลิก
สำหรับการเรียนคอร์ส online กับเว็บต่างประเทศนั้น มีมากมายทีเดียว
Google Search → english language courses free online หรือ → kidrex.org Search
ในที่นี้ ผมขอยกตัวอย่างมาให้ท่านดูเล็กน้อย
- VOA Let's Learn English ถ้าจบคอร์ส จะมีทั้งหมด 52 lesson ขอแนะนำเป็นพิเศษ
- BBC Learning English •→ http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/hygiene/course-information
- MOOEC •→ http://mooec.com/courses
- http://www.cambridgeenglish.org/learning-english/free-resources/mooc/
- http://www.britishcouncil.org.eg/en/english/learn-online
- https://www.futurelearn.com/partners/british-council
- https://alison.com/subjects/11/English-Language-Skills / https://alison.com/courses/language
- http://www.english-online.org.uk/course.htm
- http://www.learn-english-online.org/
พอเขียนแนะนำมาถึงบรรทัดนี้ ผมมาคิดดูก็รู้สึกว่า คอร์สพวกนี้ถ้าคนพื้นอ่อนเรียนด้วยตัวเอง โดยไม่มีครูคอยชี้แนะหรือไม่มีเพื่อนร่วมเรียน จะต้องมีความอึดเป็นพิเศษ เพราะมันอาจจะท้อและเบื่อได้ง่าย แต่คิดดูอีกที คนที่ล้มเหลวกับคนที่ประสบความสำเร็จก็ต่างกันตรงนี้ คือท้อแล้วถอยกับท้อแล้วทน เบื่อแล้วยอมแพ้กับเบื่อแล้วยืนหยัด เราทุกคนเป็นคนธรรมดา ไม่มีใครเป็นคนพิเศษ แต่ทุกคนมีสิทธิเลือกว่าจะเป็นคนธรรมดาแบบไหน
พิพัฒน์: review 13 Jan 2018
https://www.facebook.com/En4Th
ฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง ฝึกยาก แต่ก็มีทางฝึก
สวัสดีครับ
วันนี้ผมขอพูดเรื่องการฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นฝึกยาก แต่มันก็มีทางฝึกให้สำเร็จ ผมขอยืนยัน
ประโยชน์ของการฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง
การฟังกับพูดนั้นเป็นของคู่กัน ถ้าฟังรู้เรื่องการพูดก็ง่าย แต่แม้บางท่านจะไม่มีเรื่องต้องพูดคุยกับคนต่างชาติ การฟังก็ยังมีประโยชน์อย่างมหาศาลอยู่นั่นเอง เพราะการฟังเหมือนกับการอ่านตรงที่เป็นการรับเนื้อหาผ่านทางหูเข้าสู่สมอง เพราะฉะนั้นต่อให้เราอ่านน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อย่างเข้าวัยชราสายตาไม่ดี การฟังจะช่วยนำเนื้อหาใหม่ ๆ เข้าสู่ชีวิตได้ไม่สิ้นสุด ทั้งความรู้ ความเพลิดเพลิน จินตนาการ ความเป็นไปในโลกที่แคบลงทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟังผ่านคลิป, ผ่าน TV online, ผ่านเว็บ หลายเรื่อง เช่น ข่าว, สารคดี, talk, speech ฯลฯ เป็นของใหม่ สด ฟังแล้วได้ชีวิตชีวามากกว่าสิ่งที่มีให้อ่านด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องจึงมีประโยชน์มากจริง ๆ
ปัญหาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของคนไทย... อ่อน
เมื่อเด็กเริ่มเรียนภาษา ไม่ว่าภาษาใดก็ตาม ทักษะแรกที่เรียนคือการฟัง ตามด้วยการพูด และตามด้วยการอ่าน-เขียนเมื่อเข้าโรงเรียน แต่ปัญหาของคนไทยก็คือ เมื่อเปรียบเทียบ 2 อย่างระหว่างฟังกับอ่าน (ซึ่งต่างก็เป็นการรับสารเข้าสู่สมอง) เด็กไทยอ่านมากกว่าฟัง เรานั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษจบเป็นบท ๆ เป็นเล่ม ๆ แต่เราแทบไม่เคยนั่งฟังภาษาอังกฤษเป็นชั่วโมง ๆ เราจึงพออ่านรู้เรื่อง แต่ฟังแทบไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราฟังน้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าอ่านก็รู้เรื่อง
ถ้าท่านท้อ...
ถ้าท่านใดท้อว่า มันคงสายเกินไปที่มาเริ่มฝึกตอนนี้เพราะแก่แล้ว ผมขอบอกว่า อย่าท้อเลยครับ แม้จะเริ่มออกเดินทางสายไปหน่อย แต่ถ้าตั้งใจ start และ never stop มันก็จะค่อย ๆ ถึงปลายทาง คือฟังรู้เรื่องมากขึ้น ๆ เพราะต่อให้ไม่อยากเดิน แต่ถ้าเดินไม่หยุดก็ต้องถึงปลายทาง เหมือนกับต่อให้ไม่อยากกิน แต่ถ้ากินไปเรื่อย ๆ มันก็ต้องหายหิว และอิ่ม
จะฝึกฟังยังไงให้รู้เรื่อง
ผมมีคำแนะนำอยู่ 2 ข้อเท่านั้น คือ [1] เลือกเรื่องที่ฝึก และ [2] ฝึกเรื่องที่เลือก
[1] เลือกเรื่องที่ฝึก
จะต้องเป็นเรื่องที่ ...
(A) "ง่ายและเข้าใจ" คือ เราอย่าเริ่มฝึกด้วยเรื่องที่มันยากเกินไป เรื่องที่ฟังไปงงไปตลอดการฟัง แต่ควรเลือกเรื่องที่ฟังแล้วรู้เรื่องเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนน้อยที่ฟังไม่รู้เรื่องนั้นก็ให้เดาเอาบ้าง
(B) "ชอบและสนุก" คือ ให้พยายามหาเรื่องฟังที่เราชอบ หรือสนใจ เพราะเราจะฟังได้ไม่เบื่อหรือเบื่อช้า
เรื่องที่ "ง่ายและเข้าใจ" และ "ชอบและสนุก" ตามที่ว่ามานี้ ถ้ามีคนแนะนำหรือหามาให้ท่านฝึก ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่มีท่านต้องหาเองให้เจอให้ได้ และมันอาจจะหาได้ไม่ง่ายนัก เพราะเรื่องที่ง่ายมันอาจจะเป็นเนื้อเรื่องแบบเด็ก ๆ ที่ไม่สนุก แต่เรื่องสนุกมันอาจจะเป็นเนื้อเรื่องสำหรับผู้ใหญ่ที่ฟังยาก
[2] ฝึกเรื่องที่เลือก
ถ้าท่านเจอเรื่องที่ตรงสเป๊กอย่างที่ผมแนะ ก็ฝึกฟังเรื่องนั้นไปเรื่อย ๆ อย่าหยุด แต่ในระหว่างที่ท่านยังหาไม่เจอ ผมก็ขอให้ท่าน (ก)ทำใจฝึกฟังเรื่องที่ง่ายและอย่าไปเบื่อมัน หรือ (ข) ฝึกฟังเรื่องที่ชอบแต่เข้าใจยากโดยไม่เครียดไปกับมัน และระหว่างนี้ก็พยายามหาให้เจอเรื่องที่เป็นทั้ง (A) และ (B)
แล้วเรื่องฝึกฟังที่ว่านี้จะไปหาที่ไหน?
ท่านลองคลิกเข้าไปหาที่ 2 ลิงก์นี้ซึ่งอยู่ในคอลัมน์ซ้ายมือของเว็บ e4thai.com น่าจะเจอบ้างหรอกครับ แต่ถ้าหาแล้วไม่เจอก็บอกมานะครับ ผมจะช่วยหาให้อีกแรงหนึ่ง
• Listening
• Listen & Read
ท่านที่เป็นแฟนเว็บ e4thai.com คงจะสังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอะไร ผมเน้นมากเรื่องการหาของฝึกที่สมพงศ์หรือ compatible กับตัวเอง และแม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะชอบอ่านข่าว-ฟังข่าว มากกว่าอย่างอื่น แต่ผมต้องเบรกตัวเองอยู่เรื่อย ๆ อย่ายัดเยียดสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนอื่นชอบตามไปด้วย อย่างเช่นการฝึกฟังภาษาอังกฤษนี้ มีหลากหลายที่จะใช้ฝึก เช่น
- ข่าว
- ภาพยนต์
- Audiobook
- บทสนทนา
- Story
- สารคดี ซึ่งมีเนื้อหาหลากหลายประเภท
- เพลง
- Talk
- listening test
- Speech สุนทรพจน์
- ฟังเทศน์ภาษาอังกฤษ
- ฟังภาษาอังกฤษจากประโยคตัวอย่าง
- ฯลฯ
ในเว็บนี้ผมจึงพยายามหาเนื้อหามาเสนอท่านให้หลากหลายมากที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ แม้แต่เรื่องที่ผมไม่มีความชำนาญเลยเช่นเรื่องเพลง ที่เล่ามานี้ก็เพราะอยากจะชวนให้ท่านพยายาม "เสิร์ฟ" ตัวเอง ด้วยอาหารที่ตัวเองชอบ "กิน" มากที่สุด แล้วท่านก็จะกินได้เยอะ – กินได้อร่อย อาหารเป็นอย่างไร การฝึกฟังภาษาอังกฤษก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ ผมขอแนะนำให้ท่านพยายามหาเรื่องมาให้ตัวเองฝึกฟัง โดยเป็นเรื่องที่ ฝึกได้มาก – ฝึกได้นาน – ฝึกได้สนุก
มันมีเรื่องพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งที่ขอแนะ คือ ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่ทำงานแล้ว และถ้างานนั้นบังคับให้เราต้องฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เช่น ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เข้าร่วมประชุมกับแขกต่างชาติ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะจงในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ในกรณีที่เนื้องานของท่านเป็นอย่างนี้ ผมขอแนะว่า การฝึกฟังของท่านจะต้อง tailor-made คือ ขอให้ท่านหาเอกสารภาษาอังกฤษมาอ่าน และหาคลิปภาษาอังกฤษมาฟัง ให้มีศัพท์-วลี-สำนวน-ภาษา ไปในแนวทางเดียวหรือป้วนเปี้ยนกับภาษาอังกฤษที่ท่านต้องฟังในที่ประชุมหรือพูดกับแขกต่างชาติ การอ่านให้เข้าใจศัพท์สำนวนไว้ก่อน เมื่อฟังท่านก็จะมีปัญหาเดียว คือ "สำเนียง" ส่วน "สำนวน" ท่านทำการบ้านแล้วโดยฝึกอ่านไว้ล่วงหน้า ถ้าฝึกอย่างนี้ก็จะช่วยให้การฟังง่ายขึ้น แต่การฝึกอย่างนี้จะต้องขยันหน่อย แต่ก็เป็นการขยันที่คุ้มค่า
ใจเย็น ๆ ฝึกฟังไปเรื่อย ๆ นะครับ ผลที่ได้รับคุ้มค่ามาก ๆ ผมขอรับรองครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
ภาษาอังกฤษคนไทยแย่ "เรา" จะแก้ไขยังไงดี?
สวัสดีครับ
ภาษาเป็นเครื่องมือของการสื่อสาร คำว่า "สื่อสาร" คือ "ส่งสาร" หรือ "รับสาร" หรือทั้งสองอย่าง คือ เมื่อเรามีเนื้อหาที่จะสื่อให้คนอื่นเข้าใจ เราก็สื่อโดยใช้ภาษา ที่เข้าใจได้ระหว่าง "ผู้ส่งสาร" และ "ผู้รับสาร"
ข้อความข้างบนนี้อยู่ในบทที่ 1 ของวิชา "การสื่อสารเบื้องต้น" ซึ่งผมเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 1 เมื่อ 40 ปีที่แล้ว สมัยนั้นนักศึกษาก็รู้ว่าทักษะภาษาอังกฤษมีประโยชน์ ซึ่งแปลว่า ถ้ามีก็ดี แต่ทุกวันนี้ทักษะภาษาอังกฤษจำเป็น ซึ่งแปลว่า ถ้าไม่มีก็แย่ อยู่รอดยาก คำว่ามีประโยชน์ในสมัยนั้น และจำเป็นในสมัยนี้ จึงต่างกันเยอะ
แต่สำหรับนักเรียนนักศึกษาไทย ทักษะภาษาอังกฤษมีไว้เพื่ออะไร? คำถามนี้หลายคนก็หลายคำตอบ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ต้องนำไปใช้เพื่อให้สอบผ่าน ถ้าสอบตกก็จะอดประกาศนียบัตรหรือปริญญา แต่ตอนที่เราสอบภาษาอังกฤษ เราควรจะสอบอะไรกันบ้างล่ะ?
อย่างที่พูดแล้วว่า ทักษะภาษาอังกฤษเป็นเรื่องของการสื่อสาร คือ รับสารและส่งสาร เพราะฉะนั้นเมื่อโรงเรียนจะสอบคนที่เรียนภาษาอังกฤษ ก็ควรจะทดสอบว่า
[1] เขารับสารได้ไหม? คืออ่านแล้วรู้เรื่องมั้ย และ ฟังแล้วรู้เรื่องมั้ย
การ test ว่าเขารับสารแล้วเข้าใจไหม อันนี้ test ง่าย ก็ไอ้ข้อสอบ A B C D นั่นแหละครับ ถ้าเลือกถูกก็แสดงว่าเข้าใจถูก ถ้าเลือกผิดก็แสดงว่าเข้าใจผิด อันนี้ simple มาก
[2] เขาส่งสารได้มั้ย? คือ เขียนให้คนอื่นอ่านรู้เรื่องมั้ย และพูดให้คนอื่นฟังรู้เรื่องมั้ย
การ test ว่าเขาส่งสารแล้วคนอื่นเข้าใจหรือไม่ อันนี้ต้อง test โดยวัดความสามารถในการส่งสารจริง ๆ โดยให้เขาพูดและบันทึกเสียงพูดของเขาเอาไปตรวจ และให้เขาเขียนและเอากระดาษที่เขาเขียนไปตรวจ จึงจะรู้ว่าเขามีความสามารถในการส่งสารหรือเปล่า ไอ้ข้อสอบ A B C D นั้น เอามาใช้วัดเรื่องนี้ไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้วัดอะไรเลยในเรื่องนี้
แต่คำถามก็คือ ถ้าเราจะ "ทดสอบ" ความสามารถในการรับสารและส่งสารอย่างที่ว่ามานี้ ตอนที่เรา "สอน" เขา
- เราได้สอนให้เขาสามารถอ่านแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
- เราได้สอนให้เขาสามารถฟังแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
- เราได้สอนให้เขาสามารถเขียนให้คนอื่นอ่านแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
- เราได้สอนให้เขาสามารถพูดให้คนอื่นฟังแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
เราได้สอน 4 อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้สอน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเอาเรื่องนี้ไป "ทดสอบ" เขา
เอ้า แล้วที่ teach และ test กันนานเป็นสิบปีในโรงเรียนนั้น มันมีเรื่องอะไรบ้างล่ะ?
- เรื่องอ่าน - มันช่วยให้คนไทยอ่านหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นเรื่องการอ่านที่พื้นฐานที่สุด ได้หรือเปล่า?
- เรื่องเขียน – มันช่วยให้คนไทยสามารถเขียน message ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีเนื้อหาพื้นฐานให้คนต่างชาติที่ติดต่อด้วย ได้หรือเปล่า?
- เรื่องพูด – เราพูดเรื่องพื้นฐานง่าย ๆ สื่อให้คนต่างชาติเข้าใจได้หรือเปล่า?
- เรื่องฟัง – ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดดูหนังฝรั่งเข้าใจทั้งเรื่องหรอกครับ แค่ฟังคนต่างชาติพูดสื่อสารเรื่องพื้นฐานเป็นภาษาอังกฤษ เราฟังเขารู้เรื่องหรือเปล่า?
พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมไม่ต้องการให้ท่านเกิดความรู้สึกโดยอัตโนมัติว่า ผู้ผิดคือกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็นผู้ออกคำสั่ง หรือมหาวิทยาลัย โรงเรียน หรือครูอาจารย์ ที่รับคำสั่งมาให้สอนเด็กตามหลักสูตรนั้นหลักสูตรนี้ ผมได้ยินการติเตียนด่าว่ามาตั้งแต่ตัวเองเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น จึงอยากจะสรุปว่า การด่าไม่ใช่การแก้ปัญหา ดีไม่ดีอาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาด้วยซ้ำ เพราะเมื่อมีการด่ามันก็ชวนให้เราปิดสมองจากการพยายามทำความเข้าใจ และปิดใจไม่รับความรู้สึกเห็นใจ ผมเชื่อว่า ท่านเหล่านั้นก็พยายามแก้ปัญหาตามหน้าที่และความสามารถของท่าน
พูดถึงเรื่องนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงคำของไอน์สไตน์ข้างล่างนี้
ถ้าโยงเข้ากับเรื่องที่กำลังพูด คือ เราแก้ปัญหาทักษะภาษาอังกฤษที่แย่ของเราด้วยวิธีการเดิม ๆ และมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่เราก็ยังทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วหวังว่าอะไรมันคงจะดีขึ้น อย่างนี้มันบ้าแล้ว มันเป็น insanity
นี่ผมไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ได้ว่าหน่วยราชการ ไม่ได้ว่ากระทรวงศึกษาธิการนะครับ ผมว่าพวกเรากันเองนี่แหละครับที่ไปต่อว่าเขา ซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น อาการบ้าหรือ insanity แบบนี้ เรานั่นแหละครับที่เป็น
ผมได้พูดหลายครั้งในหลายบทความที่ลงในเว็บนี้ว่า ในการฝึกภาษาอังกฤษให้ได้ผล เราต้องพึ่งตัวเอง ถ้าวิธีการที่เคยฝึกเคยทำมันไม่ได้ผล เราก็ต้องทำอะไรที่มันต่าง โดย...
♥ การหาให้พบเรื่องที่เราฝึกแล้วมีความสุข และค่อย ๆ ชิมความสำเร็จไปทีละน้อย ๆ เรื่องอย่างนี้ต้องหาด้วยตัวเอง ไม่รอให้คนอื่นหามาป้อนให้ ไม่รอให้มีครูผู้วิเศษขี่รถม้ามาเกยหน้าบ้าน และเดินเข้ามาสอนเราในบ้าน นี่เป็นตัวอย่างที่ 1 ของความต่าง
♥ การเปลี่ยนจากการฝึกอย่างเหยาะแหยะเป็นการฝึกอย่างกัดฟันก็เป็นตัวอย่างที่ 2 ของความต่าง
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
พิพัฒน์
คลิปชี้ปัญหาและโฆษณา หลักสูตรภาษาอังกฤษ ดูสักหน่อยก็ดีครับ
♦ปรากฏการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อย คือ การชี้ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทย มีบางท่านถามผมว่า มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
♥ ความเห็นของผม คือ
ดีขั้นที่ 1: → บอกว่า อะไรที่ผิด
ดีขั้นที่ 2: → บอกว่า "ใคร" ควรจะทำ "อะไร" เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดนั้น
ดีขั้นที่ 3: → ตนเอง ออกแรงลงมือทำอะไรบางอย่าง เพื่อมีส่วนช่วยแก้ไขสิ่งที่ผิดนั้น ให้แก่ตัวเอง ครอบครัว สังคม คนอื่น ๆ
♥ เท่าที่ผมเห็น ในเมืองไทย พอมีการพูดเรื่องนี้ มักจะหยุดอยู่แค่ขั้นที่ 2 บางครั้ง ทำด้วยวาจาที่รุนแรง ตำหนิ มากกว่าเห็นใจ
♥ หากคนไทยก้าวไปถึงขั้นที่ 3 เมืองไทยจะน่าอยู่กว่านี้ ไม่มากก็น้อย
พิพัฒน์
เรียนภาษาอังกฤษกับเว็บ BBC Learning English – ท่านเข้าไปดูทั่วเว็บแล้วหรือยังครับ
สวัสดีครับ
เว็บ BBC Learning English เป็นเว็บฟรี อันดับ 1 ที่ให้เราเข้าไปเรียนภาษาอังกฤษ แต่ท่านเข้าไปดูทั่วเว็บแล้วหรือยังครับว่า เว็บนี้มีเนื้อหาอะไรให้เรียนบ้าง วันนี้ผมอนุญาตแนะนำคร่าว ๆ ดังนี้ครับ
เข้าไปที่เว็บ → http://www.bbc.co.uk/learningenglish
มี 2 ปุ่มให้ท่านคลิกดูเมนูหลักและเมนูย่อย คือปุ่ม Courses และ Features ตามภาพข้างล่างนี้
Courses เลือกระดับ ยาก - ง่าย
Features เลือกประเภทเนื้อหาที่สนใจ
ถ้ายังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจ หรือยังไม่พบสิ่งที่มองหา ก็ใช้บริการ Search ของเว็บ
ยกตัวอย่าง พิมพ์คำค้นกว้าง ๆ ทำนองนี้
- http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/search?q=+grammar&submit=GO
- http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/search?q=vocabulary&submit=GO
- http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/search?q=story&submit=GO
หรือจะพิมพ์คำค้น ให้เจาะจงลงไปอย่างนี้ก็ได้
- http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/search?q=+passive+voice&submit=GO
http://www.bbc.co.uk/learningenglish/english/search?q=+tenses&submit=GO
ที่หน้า Podcasts ก็มีอะไรให้ศึกษามากมาย
นอกจากนี้ BBC Learning English ยังนำเนื้อหาไปแปะไว้ที่ social media เพื่อให้บริการและการติดต่อพูดคุยที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ข้างล่างนี้ครับ...
YouTube
- https://www.youtube.com/user/bbclearningenglish
- https://www.youtube.com/user/bbclearningenglish/playlists
- https://www.facebook.com/bbclearningenglish.multimedia/
- https://www.facebook.com/pg/bbclearningenglish.multimedia/videos/
- https://www.facebook.com/pg/bbclearningenglish.multimedia/photos/
อ้อ! มีเรื่องหนึ่งที่เกือบลืมบอก คือเว็บนี้ตั้งมานานแล้ว แต่ก็ update เพิ่มเนื้อหาใหม่ ๆ เป็นประจำ เพราะฉะนั้น ลักษณะการนำเสนอของเว็บจึงหลากหลาย บางเรื่องก็คลิกศึกษา online ได้ทันที แต่บางเรื่องก็ต้องดาวน์โหลดไฟล์เสียก่อน (pdf/mp3/คลิป/swf) แล้วจึงคลิกเปิดไฟล์นั้นเพื่อศึกษา ท่านอาจจะต้องกวาดสายตาดูสักนิดว่าปุ่มที่จะคลิกดาวน์โหลดมันอยู่ตรงไหน และโดยทั่วไปถ้าเป็น exercise ก็มักจะมีเฉลยให้ดู เว็บนี้จึงเหมาะมากสำหรับการศึกษาด้วยตัวเอง หรือคุณครูนำไปใช้เป็นบทเรียนสอนเด็กก็ได้ครับ
ลองเข้าไปค้นดูให้ทั่ว ๆ นะครับ เพราะเนื้อหามันเยอะ เราคงเรียนได้ไม่ครบทุกเรื่อง แต่ขอให้เจอเรื่องที่เราถูกใจ แล้วเริ่มเรียนเรื่องนั้นก่อน เอาอย่างนั้นดีกว่าครับ
พิพัฒน์
อันดับความนิยมของเว็บ e4thai.com ในเมืองไทย
วันนี้ผมนึกสนุก เลยให้เว็บ http://www.alexa.com/ ช่วยหาให้ว่าเว็บ www.e4thai.com เป็นเว็บที่ได้รับความนิยมอันดับที่เท่าไหร่ของเว็บในเมืองไทย ผลแสดงตามภาพ คืออันดับที่ 987 หรือคลิกดูที่ลิงก์นี้ก็ได้ครับ ▬► http://www.alexa.com/siteinfo/e4thai.com
- อันดับ 1 Google Search ;
- อันดับ 2 YouTube ;
- อันดับ 3 Facebook;
- เว็บ นสพ. Bangkok post อันดับ 193 ;
- เว็บ นสพ. The Nation อันดับ 695 ;
- เว็บกระทรวงศึกษาธิการ อันดับ 1,028
พิพัฒน์
More Articles...
- ภาษาอังกฤษไทยแย่ ... เราไม่เดือดร้อนจริงหรือ ?
- “บุญประจำ” เรื่องที่ต้องเตรียมทำก่อนเกษียณ
- ผิดเป็นครู เรียนรู้จากความผิด และไม่หยุดเรียน
- ฝึกภาษาอังกฤษทีละคำ-ทีละประโยค กับเว็บ Longman Dictionary ทั้งตอนที่ “หมดแรง” และ “มีแรง”
- สร้างพื้นฐานคำศัพท์ที่แข็งแกร่งด้วย Longman Communication 9000 พร้อมคำแนะนำวิธีฝึก
- หาให้พบหลากหลายเรื่องภาษาอังกฤษที่รักจะเรียน
- แนะนำ Facebook “เรียนศัพท์จากคำคม” และคำแนะนำในการเรียนภาษาอังกฤษกับคำคม
- เรียนภาษาอังกฤษต้องคิดอย่างนี้
- ไม่กล้าพูดอังกฤษ! ทำยังไงให้กล้า?
- ทางสุดโต่ง 2 สายที่ไม่น่าเดินในการฝึกภาษาอังกฤษ
- เรียนภาษาอังกฤษด้วยความมัก ทั้งมักง่ายและมักมาก
- ฝึก อ่าน-ฟัง-พูด วันละ 5 – 10 ประโยค กับ Longman Dictionary
- จะฝึกอังกฤษให้ได้ผล ต้องมีครบ 4 “พอ”
- ขอลางานครับ
- วิธีฝึกอ่านภาษาอังกฤษที่อ่านยาก (The Economist)
- ละเมิดลิขสิทธิ์หรือเปล่า ?
- เรื่องน่าเศร้าในการเรียนภาษาอังกฤษ
- HOW TO: "4 เทคนิคฝึกภาษาอังกฤษจากการดูซีรีส์" บอกหมดทุกขั้นตอน!
- คำแนะนำการฝึกอ่านเพื่อเตรียมตัวสอบ reading
- จะเก่งอังกฤษ: ตั้งเป้าให้ชัด และไปให้ถึง