Home
noun + preposition และ เมื่อฝึกอังกฤษต้องหัดสังเกต
สวัสดีครับ
นอกจากเรื่อง verb + preposition ที่เราเรียกว่า two-word verb หรือ phrasal verb ยังมีอีกเรื่องหนึ่งในทำนองเดียวกันที่น่าสนใจ คือ เรื่อง noun + preposition
ถ้าท่านสงสัยว่า ผมกำลังถึงพูดเรื่องอะไร ให้คลิกลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
- http://www.englishpage.com/gerunds/noun_prep_gerund_list.htm
- http://www.bedava-ingilizce.com/prepositions/noun_pre.htm
- http://advancedesl.wordpress.com/lexis/lexical-phrases/noun-preposition/
- http://www.englishpractice.com/learning/noun-preposition-combinations/
- http://www.myenglishgrammar.com/list-11-prepositions/427-prepositions-after-nouns.html
ในเรื่องนี้ สิ่งที่ผมเห็นว่ายากและทำให้คนไทยใช้ผิดบ่อยก็คือการแปลตรงตัวตามภาษาของเราซึ่งมันต่างจากภาษาอังกฤษ อย่างเช่น เราจะพูดว่า การเพิ่มขึ้นหรือ การลดลงของอะไรสักอย่าง โดยใช้คำว่า increase และ decrease เราก็พูดว่า increase of หรือ increase of something
แต่เมื่อผมเข้าไปดูในลิงค์ข้างบนก็พบว่า ส่วนใหญ่บอกว่าต้องใช้ increase in และ decrease in อ้าว! อย่างนี้ก็แสดงว่า การเพิ่มขึ้นของ หรือ การลดลงของ ที่เราแปลว่า increase of และ decrease of มันก็ผิดซี
ผมก็เลยเข้าไปดูในดิกชันนารี 3 ยี่ห้อดังระดับโลก คือ Oxford, Cambridge และ Merriam-Webster ก็ได้เห็นประโยคตัวอย่าง แสดงการใช้ increase และ decrease + preposition ซึ่งทั้ง 2 คำ มีทั้งที่ตามด้วย in และ of ดังตัวอย่างข้างล่างนี้
ผมขอให้ท่านสังเกตนะครับว่า การตามด้วย in และ of มันต่างกันยังไง
ดิก Oxford
http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/definition/english/increase_2
♦ an increase in spending
♦ an increase of 2p in the pound on income tax
♦ an increase of nearly 20%
http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/definition/english/decrease_2
♦ There has been some decrease in military spending this year.
♦ a decrease of nearly 6% in the number of visitors to the museum.
ดิก Cambridge
http://dictionary.cambridge.org/dictionary/british/increase_2
♦ Any increase in production would be helpful.
♦ There were 39,000 new cases last year - an increase of six percent.
http://dictionary.cambridge.org/dictionary/british/decrease_2
♦ There has been a steady decrease in the number of visitors.
♦ I haven't noticed much decrease in interest.
ดิก Merriam-Webster
http://www.learnersdictionary.com/definition/increase
♦ increases in sales
♦ an increase in life expectancy
♦ The employees expect some increase in wages.
♦ The construction will probably cause some increase in traffic delays.
♦ The report showed increases of between 20 and 30 percent.
♦ an increase of three dollars
http://www.learnersdictionary.com/definition/decrease
♦ Studies report a recent decrease in traffic accidents.
♦ We've had a decrease in the number of students enrolling in the school.
♦ significant decreases in activity
♦ The report showed decreases of between 20 and 30 percent.
♦ a decrease of three dollars
จากตัวอย่างทั้งหมดข้างบน ท่านจะสังเกตได้ชัดเลยว่า
ถ้าอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง เราใช้ increase in หรือ decrease in
แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นจำนวนหรือปริมาณเท่าไหร่ เราใช้ increase of หรือ decrease of
ท่านลองกลับขึ้นไปดูอีกครั้งก็ได้ครับ
ในเรื่องนี้ ข้อสรุปของผมก็คือ
1.เมื่อมีปัญหาเรื่องศัพท์ ให้ปรึกษาดิก โดยดิกคุณภาพดียี่ห้อดังระดับโลก 10 ยี่ห้อ ผมรวบรวมไว้แล้ว ที่นี่
Top-10 Learner's English Dictionaries free online
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เว็บอื่นเชื่อถือไม่ได้ แต่ผมต้องการบอกว่า เว็บดิกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องศัพท์ เว็บดี อื่น ๆ อาจจะแนะนำเราถูกต้อง แต่เว็บดิก จะมีตัวอย่างที่ทั้งถูกต้องและครบถ้วน
2.เมื่อฝึกอังกฤษต้องหัดสังเกต เพราะมันเป็นไปได้ยากครับที่จะมีคนอธิบายให้เราฟังในทุกเรื่อง เราต้องสังเกตเอาเองบ้าง การสังเกตจะทำให้การเรียนภาษามีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเรียนภาษาใดก็ตาม ถ้าเราสังเกต ภาษาที่เรารู้สึกว่าตายด้านจะกลับมีชีวิต แต่ถ้าเราไม่สังเกต เรากำลังใช้ตัวเองที่ตายด้านไปจับต้องภาษาซึ่งมีชีวิต ผมเปรียบเทียบอย่างนี้คงไม่เว่อร์เกินไปนะครับ
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
4 เรื่องที่ไวยากรณ์ไทยไม่เหมือนกับ English grammar
สวัสดีครับ
คำว่า ไวยากรณ์ พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตฯ ท่านแปลว่า “วิชาภาษาว่าด้วยรูปคําและระเบียบในการประกอบรูปคําให้เป็น ประโยค”
เราคนไทยก่อนเรียนภาษาอังกฤษ เราก็คุ้นเคยกับการสร้างประโยคแบบไวยากรณ์ไทย ซึ่งบางอย่างมันก็ไม่ตรงกับ English grammar และการที่เราก็ยังไม่สามารถสร้างความคุ้นเคยกับภาษาใหม่ จึงเป็นเรื่องธรรมดาครับที่พอพูดภาษาอังกฤษ เราก็พูดอังกฤษแบบไทย ๆ คือ นอกจากแอกเซ่นท์ไทยแล้ว เรายังผูกประโยคแบบไทย ๆ อีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าฝรั่งเขาฟังและอ่านรู้เรื่อง แต่ถ้าเขาไม่รู้เรื่องเราก็น่าจะแก้สักนิด เพื่อช่วยเขาให้เข้าใจเรา
ผมมานั่งนึกเล่น ๆ ว่า มีไวยากรณ์ไทยอะไรบ้างที่ไม่ค่อยจะตรงกับ English grammar ขอไล่เรียงไปทีละอย่างเท่าที่พอจะนึกออก
เรื่องที่ 1. การเรียงคำ
เราพูดว่าผู้หญิงสวย ผู้หญิงมาก่อน สวยตามหลัง แต่ฝรั่งบอกว่า a beautiful woman เอาสวยขึ้นก่อนผู้หญิง ผมเคยยกตัวอย่างนี้ตอนคุยกับผู้หญิงมาเลย์กลุ่มหนึ่ง เขาบอกว่าภาษามาเลย์ก็เอาผู้หญิงขึ้นก่อนเหมือนกัน ในแง่นี้ ความยากอยู่ที่ต้องเอาหลายคำมาเรียงกัน เราพอรู้อยู่หรอกว่า คำหลักต้องวางไว้หลังสุด คำขยายวางไว้ข้างหน้า แต่ถ้ามีหลายคำก็เรียงไม่ค่อยจะถูกเหมือนกัน ผมเข้าใจว่าไวยากรณ์ไทย ไม่มีกฎเกณฑ์การเรียงเป๊ะ ๆ เหมือนกับ English grammar ดูตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ
- her short black hair เราพูดภาษาไทยยังไงครับ? ผมของหล่อนดำสั้นหรือสั้นดำ
- some delicious Thai food อันนี้ง่าย อาหารไทยอร่อย
- those square wooden hat boxes ผมว่า คำนี้พอแปลเป็นไทย เราไม่จำเป็นต้องแปลเรียงตามลำดับไหล่ตามภาษาอังกฤษ ท่านคิดว่าควรจะแปลยังไงครับ?
จบเรื่องที่ 1 การเรียงคำ ซึ่งเขากับเราเรียงไม่เหมือนกัน
เรื่องที่ 2. คำนามเอกพจน์ – พหูพจน์
พอเราพูดว่าเขามีแฟน ก็จบกันแค่นี้ เราไม่ได้พูดว่า เขามีแฟนส์ เพื่อสื่อว่าเขามีแฟนหลายคน และไอ้ตรงนี้แหละครับ ที่พอเราเขียนหรือพูดภาษาอังกฤษ ต้องพะวงว่าเติม s หรือ ไม่เติม s, และเลยต่อเนื่องไปถึงว่า ต้องมี a, an, the วางไว้ข้างหน้าด้วยหรือไม่
เรื่องที่ 3. การเติม –ed หลังคำกริยาเพื่อบอกว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว หรือบางทีก็เปลี่ยนรูป verb ไปเลย
เมื่อเรากินข้าวก็คือกินข้าว กินเมื่อวานนี้ วันนี้ หรือพรุ่งนี้ มันก็คือกินข้าว เราไม่ได้พูดว่า ฉันกินข้าววันนี้ และฉันได้โกนข้าวเมื่อเดือนที่แล้วก่อนที่จะแกนข้าวเมื่อวานนี้ eat ก็ eat ตัวเดียวนี่แหละครับ ไม่ต้องมี eat – ate- eaten และไอ้นี่แหละครับที่พอคนไทยพูดภาษาอังกฤษเล่าเรื่องในอดีต เราก็ติดแบบไวยากรณ์ไทยที่จะใช้ verb ช่อง 1 ตลอดเวลา, อ้าว ก็เรามีอยู่ช่องเดียวนี่ครับ ไม่ได้มีเยอะช่องเหมือนฝรั่ง แถมตอนพูดยังต้องระวังอีก เช่น look เติม –ed ต้องลุคทึ(ลุกทื่อ?) play เติม –ed ต้องเพลดึ(เพลดื้อ?) โอ้ย! อะไรกันนักหนา
เรื่องที่ 4. preposition หรือ บุพบท
ไอ้นี่แหละครับที่เหมือนยาสมุนไพรขม ๆ กินยาก จริงอยู่ ภาษาไทยก็มีบุพบท แต่บุพบทไทย มันไม่ยุ่งและเรื่องมากเหมือน preposition ของฝรั่ง คือ การที่เอา preposition มาต่อท้าย verb มันมีทั้งความหมายไม่เปลี่ยน และเปลี่ยน เช่น
- Look + at = look at = มองดู ก็มองอะไรธรรมดา ๆ นี่แหละ
- แต่ look + in = look in ไม่ได้แปลว่า มองเข้าไป แต่แปลว่า แวะเข้าไปดูหรือเข้าไปเยี่ยม เช่น
She looks in on her elderly neighbour every evening.
หล่อนแวะเยี่ยมเพื่อนบ้านชราของหล่อนทุกเย็น
และไอ้อย่างที่ 2 นี่แหละครับ ที่เราเรียกว่า phrasal verb หรือ two-word verb ซึ่งเรียนกันไม่รู้จักจบจักสิ้น และฝรั่งชาติเดียวกันเองเขาก็ใช้ภาษาที่เป็น phrasal verb คุยกันเยอะเพราะมันเป็นภาษาที่เป็นกันเอง ถึงใจ และรีแลกซ์มากกว่า แต่ต่างชาติอาจจะไม่รู้เรื่องด้วยทั้งหมด เพราะฉะนั้นพอจะศึกษาเรื่องนี้ ก็คงหยิบมาเฉพาะที่มัน common ๆ จริง ๆ ที่มันเป็น phrasal verb ของชาวโลกไปแล้ว
และนี่ไงครับที่ผมบอกว่ามันยุ่ง ยกตัวอย่างเรื่องชั้นล่าง คือ verb+preposition ธรรมดานี่แหละครับ ยังไม่ต้องขึ้นลิฟต์ไปศึกษาเรื่อง phrasal verb หรอก
เราพูดว่า ฉันไปโรงเรียน, พูดว่า I go school ไม่ได้หรือ, ทำไมต้อง I go to school. ด้วย เอ! อันนี้ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็ฝรั่งเขาพูดกันอย่างนี้นี่ครับ
Are you listening to me? แกกำลังฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า? พูดว่า Are you listening me? ไม่ได้หรือไง คำตอบเดิมครับ ก็ฝรั่งเขาพูดกันอย่างนี้นี่ครับ จะให้ผมทำยังไง
ผมว่า เมื่อเราจะเรียนภาษาของเขา เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากพูดอย่างที่เขาพูด ผมยกตัวอย่างอันนี้แล้วกันครับ ถ้าฝรั่งคนหนึ่งเขาพูดอย่างนี้
ผู้หญิงไทยอยู่สวยมาก เด็กไทยอยู่น่ารัก ประเทศไทยอยู่ประเทศที่ดี คนไทยอยู่ใจดี ศาสนาพุทธอยู่ศาสนาประจำชาติ
โดยฝรั่งคนนี้ยืนยันว่า เขาพูดถูกแล้ว เพราะเขาแปลมาจากบทความที่เขียนไว้ว่า
Thai women are very beautiful. Thai kids are cute. Thailand is a good country. Thai people are kind. Buddhism is the national religion.
โดยเขาบอกว่า verb to be คือ is, am ,are เขาไปดูในดิกแล้วมันแปลว่า เป็น, อยู่, คือ และเขาขอแปลว่า อยู่ ทุกคำ ซึ่งมันน่าจะถูกต้อง เจอไม้นี้ ท่านจะอธิบายให้ฝรั่งคนนี้ฟังยังไง แน่นอนล่ะครับ ท่านสามารถอธิบายสไตล์วิชาการได้มากมาย แต่ลงท้ายก็ต้องบอกว่า คนไทยเขาไม่ได้พูดกันอย่างนี้ คนไทยพูดว่า
ผู้หญิงไทยสวยมาก เด็กไทยน่ารัก ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดี คนไทยใจดี ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
แล้วคุณมึงยังจะยืนยันพูดอย่างนั้นอีกหรือ?
ตัวอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับการใช้ preposition แต่มันเกี่ยวกับการแปลคำที่เป็น verb to be มากกว่า แต่ผมยกมาเป็นตัวอย่างเพื่อจะบอกว่า เมื่อเราจะพูดภาษาของเขา เราก็ต้องพูดตามเขา เหมือนกับที่เขาจะพูดภาษาของเรา เขาก็ต้องพูดตามเรา
ตอนนี้ผมนึกออกแค่ 4 เรื่อง แต่มันน่าจะมีมากกว่านี้ ผมยังนึกไม่ออก
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องที่ว่า แล้วเราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้
ผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า ไม่ต้องสนใจแกรมมาร์หรอก ขืนกลัวผิดแกรมมาร์ก็เลยไม่กล้าพูด เมื่อไม่พูดก็เลยพูดไม่ได้ ถ้ากล้าพูด พูดผิดพูดถูกก็พูดออกไปก่อน จากปริมาณมันจะนำไปสู่คุณภาพเอง คือ จะพูดผิดน้อยลง ๆ ตามลำดับ
ทฤษฏีขอให้พูดออกไปก่อน ให้เกิดความกล้า และค่อย ๆ แก้ไขความผิดนี้ ผมเห็นด้วย แต่คำถามก็คือ การแก้ไขความผิดนี้ใครจะเป็นคนแก้ให้ ถ้าเรามี native speaker อยู่ใกล้ ๆ และคอยช่วยชี้ผิดให้เราหยุด-และชี้ถูกให้เราเดินต่อ ถ้าได้อย่างนี้ดีแน่ แต่ถ้าไม่มีล่ะเราจะรู้ได้อย่างไร
ผมจึงขอพูดสิ่งที่เคยพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกในเว็บนี้ คือให้เราอ่านและค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ อย่าหยุด – ฝึกอย่างนี้จะได้ศัพท์และสำนวน, และให้เราฝึกฟังเรื่อย ๆ อย่าหยุด – ฝึกอย่างนี้จะได้สำเนียง, ทั้งสำนวนและสำเนียงที่เราได้จากการฝึกเช่นนี้ จะเป็นครูที่ช่วยชี้ถูกชี้ผิด และเป็นครูที่เป็น native speaker ซะด้วย
สรุปอีกทีก็คือ เมื่อฝึกพูดอย่าฝึกพูดอย่างเดียว ให้ฝึกอ่านและฝึกฟังไปพร้อม ๆ กันด้วย
ส่วน 4 เรื่องที่ไวยากรณ์ไทยไม่เหมือนกับ English grammar ซึ่งผมพูดมายืดยาวตั้งแต่ต้นนี้ เอาเข้าจริง ๆ ก็เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยครับ เพราะถ้าเราฝึกอ่านและฝึกฟังจนคุ้นเคยกับมัน เราก็จะรู้ใจ-เข้าใจ-และใช้มันได้ถูกต้องเอง
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
เว็บที่ webmaster ไทยสามารถใช้เป็นวัตถุสำหรับเขียนบทความตอบปัญหาภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
เว็บเรียนภาษาอังกฤษผ่านเน็ตที่เป็นภาษาไทย ทุกวันนี้มีมากพอสมควร ในเว็บ e4thai.com นี้ได้รวบรวมไว้ที่นี่
- เรียนภาษาอังกฤษกับ Facebook ไทย
- เว็บภาษาไทย เข้าไปเรียนภาษาอังกฤษ
- ตัวอย่าง blogspot.com สอนภาษาอังกฤษ
- รวมเว็บสอนภาษาอังกฤษฟรีของทางราชการ
- รวมเว็บไทยสอนภาษาอังกฤษ ที่ผมคัดเลือกแล้ว
แต่ผมก็ยังเห็นว่า เว็บพวกนี้ยิ่งมากยิ่งดี จะได้มีทางเลือกมากขึ้นให้ผู้ศึกษา และความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษจะได้กระจายออกไปมากขึ้น และผมยังเชื่ออีกว่า ในขณะที่มีหลายคนบ่นว่าคนไทยไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ แต่คนที่เก่งนั้นมีอยู่แน่ ๆ และมีเยอะด้วย และคนเหล่านี้ถ้าได้เจียดเวลามาเผยแพร่ความรู้ online ผ่านเว็บ หรือบล็อก หรือ social media ต่าง ๆ เช่น Facebook ก็จะช่วยจูงให้คนไทยที่ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรงได้เดินดีขึ้นและเร็วขึ้น จนถึงขั้นวิ่งได้
เว็บที่ให้ความรู้ภาษาอังกฤษนั้น หลายเว็บทำในลักษณะ ถาม – ตอบ ซึ่งน่าสนใจ เพราะเมื่อ start ด้วยคำถาม, พอคนอ่าน....
-ถ้าไม่สนใจก็ไม่ต้องอ่านต่อ และไม่เสียเวลา
-ถ้าสนใจก็อ่านต่อ, โดยอาจจะอ่านต่อเพราะอยากรู้คำตอบ, หรืออยากรู้ว่ามันตรงกับที่ตนเองรู้หรือเปล่า, หรือถึงขั้นอยากรู้ว่าเขาตอบเข้าท่าหรือผิดพลาดหรือเปล่า
ขอยกตัวอย่าง เว็บไทย ถาม – ตอบ ปัญหา ภาษาอังกฤษ ข้างล่างนี้ครับ
- ถาม – ตอบปัญหาภาษาอังกฤษ ที่น่าสนใจ
- บริการ ถาม – ตอบ ภาษาอังกฤษ ฟรี ที่มีอยู่ในเน็ต
- ค้นหาเรื่องที่ต้องการจากคอลัมน์ ถาม-ตอบ
หรือเว็บฝรั่ง ก็เช่นเว็บนี้ ท่านสามารถพิมพ์คำค้นที่เป็นคำถามลงในช่อง Search ของเว็บที่มุมบนขวาของหน้า มีข้อมูลในสต็อกของเว็บมากทีเดียวครับ
http://english.stackexchange.com/questions
ผมเคยสังเกต คำถาม- คำตอบ ในเว็บไทย ส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนอยู่กับคำถาม พวกนี้
- คำนี้มีความหมาย หรือ การใช้ ต่างกับคำนั้น ๆ อย่างไร ช่วยแสดงประโยคตัวอย่างด้วย
- คำภาษาไทยคำนี้ ใช้คำภาษาอังกฤษคำใดได้บ้าง และแต่ละคำต่าง-คล้าย-เหมือน กันอย่างไร
- คำ ๆ นี้ออกเสียงยังไง ต่างจากคำนั้น ๆ อย่างไร
- ภาษาไทยพูดว่าอย่างนี้ ภาษาอังกฤษจะพูดว่ายังไง
- สำนวนภาษาอังกฤษอย่างนี้ ภาษาไทยแปลว่าอย่างไร
คำถาม- คำตอบ ทำนองนี้ บอกอะไรเรา? มันบอกชัดเลยว่า…
ข้อที่ 1: คนไทยมีปัญหา และสนใจที่จะแก้ปัญหา ในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร โดยจำนวนคนที่สนใจจะใช้ปาก(พูด)สื่อสาร มีมากกว่าจำนวนคนที่สนใจในการใช้มือ(เขียน)สื่อสาร
ข้อที่ 2: คนไทยไม่ค่อย serious เรื่องแกรมมาร์, ซึ่งเป็นเรื่องที่ควร serious ในภาษาเขียน, ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนไทย ในการใช้ภาษาเขียนแบบ business หรือ official, ท่านลอง อ่าน ถาม – ตอบ ข้างล่างนี้ ก็จะเห็นได้ชัดว่า ถ้าเราจะใช้ภาษาเขียนให้ถูกต้อง เราจะไม่สนใจเรื่องแกรมมาร์คงไม่ได้
- Success or successes? Which is correct?
- Should Short Story Titles be italicized or put in quotes?
- Is “In such case” wrong?
เว็บไทยสอนภาษาอังกฤษ ที่มีอยู่ขณะนี้ มัก serve กลุ่มคนในข้อ 1 มากกว่ากลุ่มคนในข้อ 2 แต่ผมก็อยากจะเห็นมีเว็บไทยใหม่ ๆ เกิดขึ้น ที่ serve คนในข้อ 2 มากกว่าที่มีอยู่ในขณะนี้อีกสักหน่อย
สำหรับคนที่มีนิสัยชอบคนคว้า ท่านคงรู้แล้วว่า เว็บดิก อังกฤษ-อังกฤษ ที่เรียกว่า learner’s dictionary มีคำตอบอยู่มากมายต่อปัญหาของท่าน โดยส่วนตัวผมได้ใช้หนังสือพวกนี้ตอบปัญหาภาษาอังกฤษให้ตัวเอง มาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมก่อนที่จะมีเทคโนโลยีเว็บให้คนไทยใช้
ที่นี่: Top-10 Learner's English Dictionaries free online
และเรื่องที่ผมต้องการบอกเป็นพิเศษในวันนี้ก็คือ ในเว็บพวกนี้มันมีวัตถุดิบมากมายให้ท่านที่เป็น หรือตัดสินใจจะเป็น webmaster ได้ใช้ในการเขียนบทความของท่าน
ขอยกตัวอย่างให้ท่านลองคลิกเข้าไปดูข้างล่างนี้
วัตถุดิบพวกนี้มีมากมาย นำมาใช้เขียนได้ทั้งปีก็ไม่หมดไม่สิ้นครับ
ผมขอจบแค่นี้แล้วกันครับ สำหรับข้างล่างนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นคนศึกษาภาษาอังกฤษ,ครูอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ, webmaster, blogger ฯลฯ ผมขอเชิญให้ท่านคลิกเข้าไปดู มันเป็นขุมทรัพย์อัญมณีครับ แต่ท่านต้องขุดและเจียระไนด้วยมือตัวเอง
เชิญครับ...
Oxford Dictionary
- http://www.oxforddictionaries.com/ (ใช้เมาส์วางที่ Grammar หรือ Explore ในแถบเมนูบาร์)
- http://www.oxforddictionaries.com/words/questions-about-languageBritish/American
- Collocations
- Grammar point
- Language bank
- More about
- Synonyms
- Vocabulary building
- Which word?
- 3000™ Wordlist ♦ Academic Wordlist ♦ Pictures Wordlist
Longman Dictionary
Cambridge Dictionary
Merriam- Webster Dictionary
- Learner's Word of the Day
- http://www.learnersdictionary.com/word-of-the-day/archives
- http://www.learnersdictionary.com/most-popular-words
- http://www.learnersdictionary.com/3000-words
- http://www.learnersdictionary.com/qa/post/latest
Macmillan Dictionary
- http://www.macmillandictionaryblog.com/tag/language-tips
- http://www.macmillandictionary.com/buzzword/recent.html
- http://www.macmillandictionaries.com/resources/
- common errors in English
- improve your English
- language resources
- pragmatics
- learn English
- live English
- love English
- http://www.macmillandictionaryblog.com/category/language-and-words-in-the-news
Cobuild Dictionary
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
You are what you eat. - You learn what you read.
สวัสดีครับ
วันนี้วันอาทิตย์ผมอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน ขออนุญาตนำเรื่องหนหลังสมัยเด็กมาคุยสัก 1 เรื่องนะครับ
ตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถม เมื่อก่อนนั้นเขามี “พุทธศาสตร์วันอาทิตย์” คือโรงเรียนวัดที่ผมเรียนอยู่เขาจัดหาพระมาสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ๆ ผมก็ไปเรียนกับเขาด้วย
มีพระท่านหนึ่ง ท่านชอบพูดเรื่อง “มีเหมือนไม่มี 4 อย่าง” คือท่านสอนบ่อยมาก จนผมจำได้ขึ้นใจ สิ่งที่ท่านสอน มีสั้น ๆ ไม่กี่คำข้างล่างนี้ครับ
“มีเหมือนไม่มี 4 อย่าง คือ มีเงินให้เขากู้, มีความรู้อยู่ในตำรา, มีเมียไม่อยู่บ้าน, มีงานแต่ไม่ทำ”
อันที่จริงสิ่งที่ท่านสอนนี้ ต่อมาผมก็เคยได้ยินคนอื่นสอนเหมือนกัน แต่มันไม่ครบถ้วนคล้องจอง 4 วรรคอย่างที่ท่านสอน
ผมเข้าใจว่า คำสอนพวกนี้มีรากมาจากสังคมไทยในอดีตกว่าร้อยปีที่ผ่านมา สรุปง่าย ๆ ก็คือ 4 อย่างนี้ถ้ามีแล้วไม่ทำอะไรกับมัน หรือทำอย่างผิด ๆ มันก็เหมือนไม่มี คือไม่มีประโยชน์แม้ว่าจะมีอยู่
- มีเงินให้เขากู้ – คือกะจะรวยเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ถ้าถูกเบี้ยวไอ้เงินที่มีก็เหมือนไม่มี
- มีความรู้อยู่ในตำรา – มีหนังสือแต่ไม่อ่าน ต่อให้มีเต็มตู้ มันก็ไม่ช่วยให้เราฉลาดขึ้นมาได้
- มีเมียไม่อยู่บ้าน - สมัยก่อนที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ทำงานบ้าน โดยสามีออกจากบ้านไปทำงานตามเรือกสวนไร่นา แต่ถ้ามีเมียแล้วเมียไม่ยอมอยู่เฝ้าบ้านทำงานบ้าน เอาแต่ออกไปนั่นไปนี่ทั้งวัน อย่างนี้มีเมียก็เหมือนไม่มี
- มีงานแต่ไม่ทำ – อันนี้เขาคงหมายถึงสามีซึ่งต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว งานนั้นมีอยู่แต่ไม่ทำ มันก็เหมือนคนไม่มีงานทำเพราะไม่ยอมทำงานที่มี
ณ วันนี้ผมเป็น webmaster แก่ๆ แล้วหวนนึกถึง “มีเหมือนไม่มี 4 อย่าง” ที่หลวงพ่อสอนสมัยเด็ก อดคิดไม่ได้ว่า แม้บ้านเมืองและเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ปัญหาของคนก็ดูเหมือนจะซ้ำซากอย่างเดิม
อย่างเช่นตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นตอนปลายเมื่อแรกเข้ามหาวิทยาลัย คนไทยมีปัญหาว่า หาตำราหรือสื่อการเรียนภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ทุกวันนี้ปัญหานี้หมดไปแล้ว เพราะอินเทอร์เน็ตเข้ามาแก้ปัญหาให้
แต่.... แต่ปัญหาเดิมที่เคยมีอย่างไร ก็คงมีอยู่อย่างนั้น
อย่างเช่นการจะเก่งภาษาอังกฤษ ถ้าเราพูดง่าย ๆ ว่า มันต้องมี 3 step คือ (1)สะสม (2)ศึกษา และ (3)success แต่เท่าที่ผมเห็น คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังอยู่แต่ step ที่ (1) คือ สะสม เราสะสมไฟล์ ตำรา โปรแกรม หนังสือ สื่อการเรียน-การสอนภาษาอังกฤษไว้มากมาย
แต่สะสมก็ยังอยู่แค่สะสม, ไม่เลื่อนไปเป็นการศึกษา, ไม่ล่วงไปถึงขั้น success
ไอ้เรื่องการศึกษาภาษาอังกฤษนี่มันต่างจากการกินนะครับ ในเรื่องของการกินนั้น มันมีประโยคที่เราอาจจะได้ยินจนชินหู คือ You are what you eat. คุณเป็นอย่างที่คุณกิน คือ อาหารนี่มันไม่เหมือนหนังสือ เพราะของกินพอเราซื้อมาเราก็กินได้เลย และเราก็เป็นอย่างที่เรากิน อ้วนหรือผอมก็เห็น ๆ กันอยู่
แต่หนังสือ หรือไฟล์หนังสือ มันต่างกันโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้ You are what you buy หรือ You are what you download คือต่อให้ซื้อหนังสือหรือดาวน์โหลดไฟล์ไว้มากมายมหาศาลปานใด มันก็เป็นเพียง step ที่ (1) คือสะสม มันมิได้ไหลไปโดยอัตโนมัติ เป็น step ที่ (2) คือศึกษา และ step ที่ (3) คือ success ถ้าเราไม่ทำมัน
นี่แหละครับ ผมถึงได้บอกว่า “มีเหมือนไม่มี” สมัยก่อนกับสมัยนี้ มันไม่ต่างกันเลย
ตอนที่คนไทยเพิ่งรู้จักอินเทอร์เน็ตใหม่ ๆ เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเองรู้สึกว่า คนไทยส่วนใหญ่คงจะใช้ประโยชน์ในการศึกษาอังกฤษจากอินเทอร์เน็ตได้ไม่เท่าไหร่ เพราะเราอ่านภาษาอังกฤษล้วน ๆ ไม่ค่อยได้ หรืออ่านได้แต่ก็ไม่รักที่จะลุยเข้าไปอ่าน แต่ต่อมาไม่นานก็เกิดเว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษมากมายที่ webmaster ชาวไทยจัดทำขึ้น
ณ วันนี้ ผมมีความหวังเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวว่า ถ้าคนไทยที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ ทำกับหนังสือเหมือนของกิน คือ ยึดหลัก You learn what you read. แล้วก็อ่านไม่หยุด เหมือนที่เรายึดหลัก You are what you eat. แล้วก็กินไม่หยุด นั่นแหละครับ เราจึงจะไปได้ครบ 3 step คือ คือ (1)สะสม (2)ศึกษา และ (3)success
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
รู้แต่ไม่ทำ อยากแต่ไม่พยายาม กลัวแต่ไม่ป้องกัน ก็ไร้ประโยชน์
สวัสดีครับ
เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ อันที่จริงผมไม่น่าจะหยิบมาพูด เพราะมันเป็นเรื่องที่สามัญมาก ๆ ซึ่งทุกคนรู้อยู่แล้ว คือผมจะพูดว่า ถ้าอยากเก่งอังกฤษก็ต้องฝึกทุกวัน แล้วเราจะค่อย ๆ เก่งขึ้น เพราะฉะนั้น ขอให้เราได้อ่านและฟังภาษาอังกฤษบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ขอให้ฝึกทุกวัน อย่าขาด เคล็ดลับที่ไม่ลับก็มีแค่นี้แหละครับ
แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ ทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยที่แย่(ที่สุด?)ใน 10 ประเทศอาเซียน ย่อมตีความได้อย่างเดียวว่า คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ยอมใช้ ไม่ยอมฝึก ไม่ยอมเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ ถอยกรูดสุดชีวิตเมื่อเจอภาษาอังกฤษ แม้ความอยากเก่งภาษาอังกฤษอาจจะเป็นเรื่องแรก แต่ความพยายามในการฝึกภาษาอังกฤษกลับเป็นเรื่องสุดท้าย
สองย่อหน้าข้างบนนี้ จึงมาสู่ข้อสรุปว่า รู้แต่ไม่ทำ อยากแต่ไม่พยายาม กลัวแต่ไม่ป้องกัน ก็ไร้ประโยชน์
ถ้าท่านใดเป็นโรคภาษาอังกฤษอ่อนซึ่งเผลออ่านมาถึงบรรทัดนี้ และเกิดความตั้งใจว่า จะทำอย่างพยายามเพื่อให้ภาษาอังกฤษแข็ง ผมขอแนะนำวิธีทำดังนี้ครับ
©-นึกเรื่องที่ท่านอยากฟังเป็นภาษาอังกฤษ (ขอย้ำว่าต้องอยากฟัง), พิมพ์คำค้นเป็นภาษาอังกฤษลงไปใน Google, Enter, คลิก Videos, เลือกคลิกลิงค์ที่จะฝึกฟังภาษาอังกฤษ, ฝึกฟังอย่างนี้ทุกวัน ๆ ละ ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง, ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ไม่เป็นไร, แต่ขอให้ฟังทุกวัน, อาจจะเปลี่ยนเรื่องฟังไปเรื่อย ๆ, แต่ท่านต้องหาเรื่องที่ชอบให้พบให้ได้, ถ้าหาไม่พบก็หาต่อไปจนกว่าจะพบ, ให้พยายามหาหลาย ๆ เรื่อง-หลาย ๆ ประเภท ที่ตัวเองชอบจะได้ไม่ต้องฟังซ้ำซาก, แต่ฟังด้วยความตั้งใจ-เต็มใจ แม้จะไม่เข้าใจทั้งคลิปก็ไม่เป็นไร, ท่านจะคลิกดูลิงค์รวมคลิปของเว็บนี้ก็ได้ ที่นี่ครับ Watching
คำแนะนำง่าย ๆ ข้างบนนี้ แม้ไม่สร้างแรงบันดาลใจอะไรเลย แต่ผมอยากให้ท่านได้ฝึกอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกว่าตนเองเก่งขึ้น และให้ความเก่งที่สร้างขึ้นเองนี้เป็นแรงบันดาลใจให้พยายามต่อไปไม่สิ้นสุด ถ้อยคำหรู ๆ จากคนอื่นที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจนั้นมักอายุสั้น แต่แรงบันดาลใจจากของจริงที่เราสร้างขึ้นมาเองมักอายุยืน
©-อีกเรื่องหนึ่งคือการอ่าน ให้ท่านพยายามหาสัก 4-5 เว็บภาษาอังกฤษซึ่งมีเนื้อเรื่องที่ท่านชอบ เพื่อเข้าไปฝึกอ่านทุกวัน อันนี้ท่านก็ต้องลงทุนหาเองว่าท่านชอบอ่านเรื่องอะไร หรือจะคลิกดูรวมเรื่องอ่านของเว็บนี้ก็ได้ ที่นี่ครับ Reading
ทุกวันนี้ อินเทอร์เน็ต คือแหล่งการเรียนรู้ภาษาอังกฤษขนาดมหึมาที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นคว้าได้ดังใจ แต่คนรุ่นใหม่เมื่อรวบรวมเงินได้เพียงพอก็มักจะซื้อ smart phone เพื่อเช็ก Facebook หรือเล่น Line มากกว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ(ซึ่งตอนนี้ราคาถูกมาก) หรือโน้ตบุ๊ก ซึ่งเหมาะมากกว่ากับการฝึกภาษาอังกฤษโดยการอ่านผ่านหน้าจอขนาดใหญ่-หรือฝึกอื่น ๆ เมื่อต่อเน็ตและเรียนกับเว็บ
บอกตรง ๆ ครับ ผมเป็นห่วงเด็กไทยรุ่นใหม่ว่าจะตกงานมากขึ้นเมื่ออาเซียนเข้ายุค AEC ในปีหน้า แต่ก็ดูเหมือนว่ามีไม่กี่คนที่กังวลในเรื่องนี้ ผมหวังว่าคนที่ไม่เตรียมตัวจะเอาตัวรอดได้ ขอให้โชคดีครับ
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
แนะนำ เว็บไซต์ของ อ.ยุทธนา เลาหะวิสุทธ์ อีกครั้ง
สวัสดีครับ
อ.ยุทธนา เลาหะวิสุทธ์ เป็นข้าราชการทำงานอยู่ที่ ฝ่ายงานสารสนเทศ คณะบัญชีฯ มหาวิทยาลัยพายัพ มีผลงานอย่างต่อเนื่องต่อสาธารณชนที่แม้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ผมเคยเขียนแนะนำไว้ที่ 3 บทความนี้
ขอแนะนำ อ.ยุทธนา เลาหะวิสุทธ์ มหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่
ดาวน์โหลด 25 โปรแกรมช่วยจำศัพท์ โดย อ. ยุทธนา
แนะนำ โปรแกรมท่องศํพท์ TOEIC กว่า 3 พันคำ โดยอาจารย์ยุทธนา
วันนี้ผมขอแนะนำอีกสักครั้ง เพราะว่าอาจารย์มีผลงานออกมาเรื่อย ๆ ที่นี่
http://freewareacpyu.blogspot.com/
และแม้ผลงานเก่า ๆ ที่ท่านยังไม่เคยเข้าไปดู ผมก็ขอชวนให้ท่านได้เข้าไปสำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคล 3 กลุ่มที่ผมแน่ใจว่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากผลงานของอาจารย์ยุทธนา คือ 1.ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ 2.ผู้ที่สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ และ 3.ผู้ปกครองที่สามารถเป็นติวเตอร์ให้ลูกๆหลานๆ โดยผมขอแนะนำให้ท่านคลิกเข้าไปสำรวจที่ปุ่มเหล่านี้ในเมนูของเว็บ
หน้าแรก♦โปรแกรมในครัวเรือน♦Firefox♦Freeware แนะนำ♦TIP&TRICK♦GoogleWare♦Word2007♦บทความ
หรือท่านจะค้นโดยใช้ ช่อง Search ที่มุมบนซ้ายของเว็บก็ได้
อย่างวันนี้ ผมเข้าไปก็ได้เจอสิ่งที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องใหม่ เรื่องเก่า หลายเรื่อง
บทความ เดือน เมษายน 2557
โปรแกรมท่องศัพท์ ป.6 จากงานวิจัยของ อาจารย์ อัครพนท์ เนื้อไม้หอม
บทความ เดือน มีนาคม 2557
โปรแกรมท่องศัพท์ในหนังสือเรียน Projects: Play and Learn 4 ป.4
โปรแกรมท่องศัพท์ 2192 คำ Entrance
โปรแกรมท่องศัพท์ TOEIC 3420 คำ
และบางเรื่องก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม แม้อาจารย์จะเขียนไว้หลายเดือนแล้ว
Google แปลงร่างเป็นเครื่องคิดเลข
การใส่ video ลงใน powerpoint และ save รวมในไฟล์
**********
โปรแกรมท่องศัพท์ที่อาจารย์ยุทธนาจัดทำขึ้นมีหลายโปรแกรม แต่เฉพาะในส่วนที่นักเรียนระดับประถม-มัธยม สามารถหยิบไปฝึกได้ทันที ก็น่าจะมีดังข้างล่างนี้
* ศัพท์ 500 คำที่พบบ่อยที่สุดในหนังสือเรียน ป.1-3
* โปรแกรมท่องศัพท์ระดับประถมและ O-net ป.6
* โปรแกรมท่องศัพท์ ป.6 จากงานวิจัยของ อาจารย์ อัครพนท์ เนื้อไม้หอม
* โปรแกรมท่องศัพท์ ม.3 จากงานวิจัยของ อาจารย์ อัครพนท์ เนื้อไม้หอม
* โปรแกรมท่องศัพท์ 2192 คำ Entrance
* โปรแกรมท่องศัพท์ 1000 most commonly used words
* โปรแกรมท่องศัพท์ Longman Communication 3000
**********
ขอแนะนำให้ท่านตั้งเว็บนี้เป็น Favorites / Bookmarks หรือ new tab ไว้เลยครับ
แต่ถ้าท่านนึกจะเข้าไปที่เว็บของอาจารย์ และจำชื่อเว็บไม่ได้ ก็เอาง่าย ๆ อย่างนี้แล้วกันครับ ให้ไปที่ Google และพิมพ์
โปรแกรมในครัวเรือน freeware น่าใช้ ลงไป ลิงค์แรกที่ Google โชว์นั่นแหละครับ จะโยงไปยังเว็บของ อ.ยุทธนา
อนึ่ง ถ้าท่านลุยเข้าไปในเว็บของอาจารย์ยุทธนาแล้ว ยังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจในแนวที่อาจารย์เขียน ก็ให้ comment ไว้ อาจารย์ยุทธนาอาจจะเขียนเพิ่มเติมให้ท่านได้ถ้าเนื้อหาน่าจะเป็นประโยชน์ต่อหลายคน
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
More Articles...
- ขอให้ทุกท่านมีความสุขสดชื่นในวันสงกรานต์
- แนะนำ search box ดิก Oxford ที่คอลัมน์ซ้ายมือของ เว็บ e4thai.com
- แนะนำ search box ดิก Longdo ที่คอลัมน์ซ้ายมือของ เว็บ e4thai.com
- ขอลางาน 9 - 20 มีนาฯ ครับ
- ขอลางานตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 20 มีนาคม 2557
- ถาม – ตอบ การเมืองไทย ภาษาไทย – ภาษาอังกฤษ
- ภาษาอังกฤษเรื่องที่ท่านอย่าอ่าน และต้องอ่าน
- คำพูดของ "กามนิต" เนื่องในวันวาเลนไทน์
- คำขอร้องของ “คนบ้าดิก”
- เรียนภาษาอังกฤษแบบคนไม่มีเวลาและขี้เกียจเรียน
- CEK – จะเก่งอังกฤษ, พูดคล่อง ต้องฝึกที่กาย วาจา ใจ
- ฟิตการพูดด้วยการอ่าน Longman Mini-Dictionary ทั้งเล่ม 35 หน้าให้จบภายใน 1 เดือน
- ขอลางาน
- ความคิดเห็นต่อการประท้วงในเมืองไทย
- ทุกวัน ฟิตอังกฤษให้ได้ครบตามเป้า ทั้งปริมาณและคุณภาพ
- บทความที่ popular ที่สุดของเว็บ e4thai.com
- มี html code English – Thai Dictionary ฟรี ๆ บ้างไหม?
- New Year's resolution – ธรรมเนียมฝรั่งที่น่าทำตาม
- สรุปความเป็นไปของเว็บ e4thai.com ในปี 2556
- wordlist ศัพท์ภาษาไทยพื้นฐาน - สิ่งที่ผมอยากให้ราชบัณฑิตยสถานช่วยทำ