Home
ชีวิตกับแอปเปิ้ล 1 ลูก
♥ แต่ละชีวิตก็ไม่ต่างจากแอปเปิ้ลลูกนี้ การมองเห็นความจริงเช่นนี้ช่วยให้จิตใจสงบ
สามารถใช้ชีวิตได้อย่างรอบคอบ ปล่อยวาง ร่าเริง และรู้ว่าควรทำอะไรก่อนที่จะ "เน่า"
เพราะวันคืนที่ผ่านไปแก้ไขและย้อนกลับไม่ได้
https://www.youtube.com/watch?v=ajay1tq_roU
ฝึกภาษาอังกฤษด้วยหัวใจ สมอง และสายตา ที่แจ่มใส
สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านครับ จากการที่ผมเป็น blogger และ webmaster มาหลายปี มีหลายคำถามที่คนเขียนมาให้ตอบ แต่มีอยู่หนึ่งคำถามที่ดูเหมือนตอบง่าย แต่จริง ๆ แล้วตอบยาก หรือตอบไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือเมื่อคิดดูอีกทีอาจจะไม่ต้องตอบ เพราะคนที่จะตอบได้ชัดเจนที่สุดก็คือคนที่ถามคำถามนั้นแหละ คำถามมักจะออกมาลักษณะนี้
.... เรียนจบมาหลายปีแล้ว แต่ภาษาอังกฤษอ่อน อยากจะฟิตภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน จะท่องศัพท์หรือฟิตแกรมมาร์ก่อน หรือฝึกพูดฝึกฟังก่อน มี eBook - มีเว็บ - มีแอปป์ให้เรียนมากมายจนเลือกไม่ถูก แต่เรียนไปพักใหญ่แล้วก็ไม่เห็นผลดีขึ้นสักเท่าไหร่ พูดก็ไม่ได้ ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง อ่านก็เข้าใจลำบาก น่าจะหมดหวังซะแล้ว ฯลฯ ....
ถ้าท่านเป็นผมและเจอคำถามทำนองนี้ ท่านจะตอบยังไง?
ถ้าไม่คิดมาก คำถามอย่างนี้ตอบได้ง่ายมาก ท่านเช็กง่าย ๆ อย่างนี้แล้วกันครับ ลองถามกูเกิ้ลด้วยคำว่า "วิธีฝึกภาษาอังกฤษ" จะมีคำตอบเป็นตัน ๆ ให้ท่านอ่าน → คลิกดู ท่านลองเข้าไปอ่านสัก 2 - 3 ลิงก์ก็ได้ครับ และก็จะเห็นว่า เออ! เขาตอบเข้าท่าแฮะ แต่ท่านลองถามตัวเองก่อนว่า ท่านอยากทำหรือเคยลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ มากน้อยเพียงใด และถ้าไม่ค่อยได้ทำ มันเพราะอะไร?
เมื่อผมมาเป็น webmaster ของ e4thai.com และเจอคำถามนี้บ่อย ๆ ผมก็ได้สำนึกว่า นี่มันเป็นคำถามที่บรมอภิมหาอมตนิรันดร์กาล และเนื่องจากผู้ถามไม่ใช่เด็กนักเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เป็นคนที่เรียนจบแล้ว และอยูในสถานะอันหลากหลายของการทำงาน มีทั้งคนกำลังหางาน, สมัครงาน, รอเรียกตัวไปสัมภาษณ์, หรือคนที่เพิ่งได้ทำงาน, ทำงานนานแล้ว, กำลังขยายงาน-ปรับงาน-เปลี่ยนงาน, ย้ายงาน และคนหลากหลายกลุ่มเหล่านี้ ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในลักษณะที่หลายหลากแตกต่างกัน การจะตอบคำถามนี้ด้วยคำตอบอันเดียว โดยคิดว่าคำตอบของตัวเองเป็นเสื้อขนาด free size ใคร ๆ ก็ใส่ได้ คิดอย่างนี้คงไม่เข้าท่านัก
ถ้าคนถามเป็นเด็กนักเรียนและคนตอบคือครู และ scope ของปัญหาอยู่แค่การสอบในโรงเรียน มันก็ง่าย เพราะครูมีเนื้อหาตายตัวอยู่แล้วที่จะสอน มีเกณฑ์การสอบ-การวัดผลที่แน่นอน และผลสำเร็จของวิชาภาษาอังกฤษก็วัดได้ง่าย ๆ ด้วยผลการสอบ แต่เมื่อคนถามไม่ใช่เด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ในห้องแคบ ๆ แต่เป็นคนที่เรียบจบแล้วและนั่ง-ยืน-เดิน-วิ่งอยู่ในโลกใบใหญ่ ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในสารพัดกิจกรรม เมื่อเขาถามคำถามนี้ จะให้ผมให้คำตอบแบบเสื้อขนาด free size ใส่ได้พอดี ไม่ว่าคนถามจะตัวเท่าช้างหรือเท่าหนู มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
แต่ยังไงผมก็ต้องตอบ และคำตอบของผมก็คือ ท่านผู้ถามกรุณาตอบคำถาม 4 ข้อของผมนี้ก่อน แล้วผมจะตอบคำถามของท่าน
คำถาม 4 ข้อของผมก็คือ
【1】ท่านจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม
【2】 อะไรคือเนื้อหาภาษาอังกฤษโดยเจาะจงที่ท่านต้องรู้ ต้องฝึก ต้องเรียน ต้องใช้
【3】ท่านชอบวิชาหรือการเรียนภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน
【4】 หากตอนนี้ท่านจะเริ่มฟิตภาษาอังกฤษ ท่านมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด
อันที่จริง ผมสามารถจบบทความนี้ตรงนี้ โดยสรุปว่า ถ้าท่านมีคำตอบที่ชัดเจนต่อคำถามทั้ง 4 ข้อข้างบนนี้ คำตอบของท่านนั่นแหละครับ คือคำตอบของผมที่จะตอบคำถามของท่าน แต่การตอบอย่างนี้ออกจะเป็นการชุบมือเปิบมากไปหน่อย ผมจึงขออนุญาตเพิ่มเติมดังนี้ครับ
【1】ท่านจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม?
นี่ดูเหมือนตอบง่ายและท่านอาจจะตอบได้ทันทีโดยอัตโนมัติ เช่น รู้ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการทำงาน, เพื่อติดต่อพูดคุยกับลูกค้า, เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ, เพื่อเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ, เพื่อมีเพื่อนเป็นคนต่างชาติต่างภาษา, เพื่อความรู้และความเพลิดเพลินอันมากมายมหาศาลที่สามารถได้จากการอ่าน-การฟังเนื้อหาที่เป็นภาษาอังกฤษ, หรือถ้าท่านมีหน้าที่ในการให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นครูให้ความรู้แก่ศิษย์, พ่อแม่ให้ความรู้แก่ลูกหลาน, หรือนักวิชาการ-ปัญญาชนให้ความรู้แก่สังคม การรู้ภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องมือให้ท่านใช้ในการทำความดีหรือทำบุญได้มากและสะดวกขึ้น ฯลฯ
ถ้าที่พูดมานี้คือคำตอบที่ท่านมีอยู่แล้วในใจอย่างชัดเจน ก็นับว่าเยี่ยมมาก แต่ถ้าคำตอบของท่านยังเบลอร์คือไม่รู้ชัดว่าจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม เห็นเขาเรียนก็เรียนตามเขา เห็นเขาชอบก็ชอบตามเขา อย่างนี้คงไม่เข้าท่าแน่ หรือท่านอาจจะมีความมุ่งหมายหลายอย่างเหลือเกินในการฟิตภาษาอังกฤษ ท่านก็ควรจะจัดความสำคัญในการเรียนเรียงตามลำดับ 1.. 2.. 3... เพราะว่าการไม่มีเป้าหมายในชีวิต หรือการมีเป้าหมายมากเกินไปจนจับต้นชนปลายไม่ถูก มันอันตรายพอ ๆ กัน และการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลก็อยู่ในลักษณะนี้ คือต้องมีเป้าหมาย และเป้าหมายต้องชัดเจน
【2】 อะไรคือเนื้อหาภาษาอังกฤษโดยเจาะจงที่ท่านต้องรู้ ต้องฝึก ต้องเรียน ต้องใช้ ?
จากข้อ 1 เมื่อเรารู้แล้วว่า เราจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม มาถึงข้อนี้เราก็ต้องรู้ให้ลึกลงไปอีกว่า เนื้อหาที่เราต้องรู้มันคืออะไร
คือเราจะต้องมองให้ออก ตีให้แตกว่า ภาษาอังกฤษที่เราต้องใช้ ซึ่งมีอยู่ 4 อย่าง คือ ฟัง - พูดคุย - อ่าน - เขียน นั้น เนื้อหาของมันคืออะไร และมากน้อยขนาดไหน ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ครับ
ถ้าท่านเป็นคนขับแท็กซี่, เจ้าของร้านขายอาหาร, ขายของที่ระลึก, พนักงานบริการประจำเคาน์เตอร์, พนักงาน call center ฯลฯ
ทักษะภาษาอังกฤษจะต้องเน้นที่การพูดคุยและฟังข้อความสั้น ๆ (ไม่ใช่ฟังข้อความยาว ๆ แบบเล็กเชอร์) ในกรณีอย่างนี้ คำศัพท์ที่ท่านใช้จะจำกัดอยู่ในแวดวงหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ท่านไม่จำเป็นต้องไปฝึกคำศัพท์ 108 - 1009 ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของท่าน และประโยคที่ท่านใช้พูด ก็สามารถใช้ประโยครูปแบบเดิม ๆ เช่น อาจจะสัก 100 ประโยค เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถทำมาหากินได้แล้วอย่างคล่องแคล่ว มีเงินทองใช้
ประมาณ 4-5 ปีมาแล้ว ผมได้รับคำขอร้องจากเจ้าของร้านขายกาแฟสดจากจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ให้ผมช่วยแต่งประโยคที่เขาจะใช้คุยกับลูกค้าซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นคนต่างชาติ ผมก็ขอให้เขารวบรวมประโยคสามัญพวกนั้นเป็นภาษาไทยมาให้ผม โดยผมบอกว่าคุณถามมาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อผมแปลเสร็จก็จะโพสต์ลงเว็บ เจ้าของร้านขายกาแฟสดที่อื่น ๆ จะได้เอาไปใช้ได้ด้วย แต่เขาก็เงียบหายไปเลย
และผมจึงได้ความคิดว่า หน่วยราชการไทยหลายหน่วย ไม่ว่าจะประจำอยู่ในส่วนกลางคือกรุงเทพ หรือส่วนภูมิภาคในจังหวัดต่าง ๆ เช่น โรงเรียนมัธยม, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานภูมิภาคสังกัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กสท ฯลฯ สามารถช่วยผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนที่ต้องติดต่อกับลูกค้าต่างชาติในลักษณะนี้ คือการช่วยจัดทำกลุ่มคำศัพท์หรือประโยค เช่น อาชีพละ 100 ประโยค เพราะว่าความจำเป็นในการใช้งานของเขามันไม่ได้ครอบจักรวาลแบบ CEO ระดับร้อยล้านพันล้านที่ต้องพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วทุกเรื่องในห้องประชุมติดแอร์
ถ้างานของท่านจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษที่กว้างขวางกว่าข้างต้น คือต้องทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน เช่น ต้องรับแขกต่างประเทศ เจรจาธุรกิจหรืองานราชการในห้องประชุม ไปประชุมต่างประเทศ หรือเขียน speech ให้ผู้บังคับบัญชา โต้ตอบอีเมล ฯลฯ งานทำนองนี้ผมเคยทำมาแล้วทั้งนั้นตอนที่ยังไม่ได้เกษียณ ผมมีคำแนะนำเล็กน้อยสำหรับท่านที่อยู่ในองค์กรและต้องรับผิดชอบให้ทำงานอย่างนี้ และรู้สึกว่ามันยาก ทำไม่ค่อยได้ และหนักใจ
ก็คือว่า ท่านเคยฝึกภาษาอังกฤษด้วยวิธีไหนที่ได้ผล ก็ฝึกต่อไปตามเดิมอย่างนั้นแหละครับ แต่ที่ผมขอแนะนำเพิ่มเติมก็คือ ให้หาตัวอย่างเนื้อหาของงานเดิมที่ดี ๆ มาศึกษา เพื่อให้รู้ศัพท์และโครงสร้างประโยคที่มักปรากฏในงาน เช่น เอกสารเก่า ๆ, อีเมลเก่า, speech เดิม ๆ, รายงานการประชุมเดิม ๆ, ระเบียบ-กฎ-กติกา-มารยาท ภาษาอังกฤษที่อยู่ในแฟ้ม, report ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคลิปหรือไฟล์ mp3 ที่เคยอัดไว้ หรือเนื้อหาใด ๆ ก็ตามซึ่งมันคล้ายกับงานที่เรารับผิดชอบที่อยู่ตามเว็บต่าง ๆ หรือ YouTube ขอให้พวกเรามุ่งไปที่เนื้อหาพวกนี้ก่อน อย่าเพิ่งไปศึกษาเรื่องอื่น ๆ อย่างสะเปะสะปะ โดยตอนศึกษาให้เพ่งใปที่ 3 เรื่อง คือ
[1] เนื้อหา
[2] คำศัพท์สำคัญ และการนำคำศัพท์ไปแต่งประโยค
[3] โครงสร้างประโยคที่มักใช้บ่อย ๆ ในการสื่อเนื้อหา
การศึกษาในลักษณะนี้ จะช่วยให้การฝึกของเราแคบลง ไม่ใช่กว้างขวางไร้ขอบเขต เพราะการไปฝึกเรื่องที่ไม่ได้ใช้เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
นี่เป็นคำแนะนำของผมต่อท่านเป็นรายบุคคล และต่อแผนกที่รับผิดผิดชอบต่อการพัฒนาบุคลากรด้วยครับ
【3】ถ้าคะแนน 10 คือ รักมากที่สุด, คะแนน 1 คือ รักน้อยที่สุด ตัวท่านเองให้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษกี่คะแนน ?
นี่เป็นเรื่องของอารมณ์ซึ่งบังคับกันไม่ได้ และครูมักจะบอกว่าให้มีฉันทะคือรักที่จะเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อมีฉันทะนำหน้า อีก 3 ตัวคือ วิริยะ(ความขยัน/อดทน), จิตตะ (ความเอาใจจดจ่อ/สมาธิ), และวิมังสา(ความใคร่ครวญ/ไตร่ตรอง) ก็จะตามมาเอง
แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้ามันไม่รัก มันเกลียดมาตั้งแต่เด็ก (ด้วยสาเหตุใดก็ตามเถอะ) ทำให้พื้นแย่มาตั้งแต่อายุเยาว์ จะข่มใจให้รัก ทำได้ยากนะ !!
ผมมีความรู้สึกว่า คำแนะนำหรือการหว่านล้อมใด ๆ ก็ตาม ให้เห็นประโยชน์ของการฝึกภาษาอังกฤษ จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงถ้าพูดกับคนที่ไม่มีใจให้ และก็ไม่ใช่ความผิดของเขาที่ไม่รักภาษาอังกฤษ มีคำพูดหนึ่งที่ท่านอาจจะคุ้นเคย "ความรักไม่ใช่ความผิด" ผมขอเพิ่มว่า "ความไม่รักก็ไม่ใช่ความผิด"
ผมเชื่อว่าตัวเองเข้าใจคนที่เกลียดภาษาอังกฤษ (และอย่างที่บอกแล้ว จะด้วยสาเหตุใดก็ตามเถอะ) เรื่องนี้ทำให้นึกถึงตัวเองตอนที่ยังทำงาน ผมเกลียดงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเลข การเงิน หรืองบประมาณ รู้สึกไม่ถูกชะตากับงานพวกนี้เลย ถ้าต้องรับผิดชอบจะหงุดหงิดขึ้นมาทันที และมักวานให้รุ่นน้อง หรือใช้ให้ลูกน้องทำแทน ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะงานการเงินหรือตัวเลขมันก็มีประโยชน์เหมือนกันถ้าทำได้
ในฐานะ webmaster ของ e4thai.com ซึ่งมีหน้าที่เชียร์แขก ให้คนเข้ามาเรียนภาษาอังกฤษ ผมก็ขอชวนเบา ๆ ว่า ท่านลองหาเรื่องเล็ก ๆ ของภาษาอังกฤษที่ท่านแตะต้องแล้วรู้สึกสนุก หรือหงุดหงิดไม่มาก เหมือนคนที่ไม่ชอบกินผัก ถ้าได้ลองหัดกินทีละหน่อย และกินเรื่อย ๆ และเริ่มกินได้โดยไม่เกลียด และสามารถกินเพิ่มได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเห็นประโยชน์ของผัก ผมอยากให้คนที่เกลียดภาษาอังกฤษได้รับประโยชน์จากภาษาอังกฤษ เพราะทนกินทีละหน่อย เพราะแท้จริงแล้วประโยชน์ของภาษาอังกฤษเป็นของจริงที่ทุกคนสัมผัสได้ ไม่ใช่ภาพลวงตา ขอเพียงเราเปิดใจให้กว้างอีกสักนิดเท่านั้นเอง
ส่วนท่านที่รักภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ผมขอลุ้นให้ท่านขยายความรักให้กว้างใหญ่ไพศาล เช่น บางคนชอบอ่านแต่ไม่ชอบฟัง, บางคนชอบฟังแต่ไม่ชอบอ่าน, บางคนชอบฟังและชอบอ่านแต่ไม่กล้าพูด, บางคนกล้าพูดชอบฟังแต่เกลียดการอ่าน .... ก็ขอให้ทุกท่านเปิดใจรักการฝึกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการอ่านด้วยตา, ฟังด้วยหู, พูดด้วยปาก, หรือเขียนด้วยมือ ให้ทุกอวัยวะที่ธรรมชาติสร้างมาได้ฝึกภาษาอังกฤษตามศักยภาพของมัน อย่าใช้เพียงแค่อวัยวะโปรดเลยครับ
【4】 หากตอนนี้ท่านจะเริ่มฟิตภาษาอังกฤษ ท่านมีความพร้อม มากน้อยเพียงใด ?
นี่เป็นเรื่องที่ผมได้ยินคนบ่นด้วยความท้อแท้หรือน้อยใจมากทีเดียว คือเขาบอกว่า ที่ภาษาอังกฤษของเขาอ่อนแอทุกวันนี้ เพราะเขาได้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่สมัยเด็กด้วยความไม่พร้อม คือ ครูก็ไม่ค่อยเก่ง, เนื้อหาก็เน้นแต่แกรมมาร์ เรื่องพูดหรือฟังสอนน้อยมาก, โอกาสที่จะได้เจอและพูดกับครูหรือชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษแทบไม่มีเลย, และก็เรียนจบมาด้วยทักษะภาษาอังกฤษอย่างแกน ๆ, ครั้นเมื่อทำงานจะไปเรียนพิเศษคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษก็ไม่สะดวกเพราะราคาแพง, ส่วนที่ทำงาน เวลาจะส่งคนไปอบรมหรือดูงานต่างประเทศก็มักคัดเลือกโดยการสอบ และคนที่ได้ไปก็คือคนที่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ทำงานเต็มเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น จะแบ่งเวลาตรงไหนไปเรียนภาษาอังกฤษได้อีก รู้อยู่หรอกว่าภาษาอังกฤษมีประโยชน์ แต่ปัจจัยสนับสนุนไม่มีเลย ไม่ใช่เพิ่งไม่มี แต่ไม่มีมานานแล้ว การเก่งอังกฤษให้ได้จึงเป็นเพียงความฝันแห้ง ๆ และแม้ทุกวันนี้จะมีเน็ตให้ฝึกภาษาอังกฤษได้จากที่บ้านฟรี ๆ หรือผ่าน smartphone ขณะเดินทาง ก็ทำได้อย่างแกน ๆ แค่น ๆ เพราะตอนสงสัยก็ไม่มีครูให้ถาม ฝึกพูดออกไปก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า เพื่อนจะร่วมเรียนด้วยพอให้มีกำลังใจก็ไม่มี .....
ท่านผู้อ่านครับ ทุกคำทุกวรรคในย่อหน้าข้างบนนี้ ถ้ามีใครพูดและรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ก็ชี้ชัดว่า เขาพร้อมจะยอมแพ้และจึงหมดแรง ไม่ใช่ เขาหมดแรงจึงยอมแพ้ คนที่ไม่ยอมแพ้จะไม่หมดแรง จริงอยู่ ทางวัตถุหรือทางกายเราอาจจะไม่พร้อม แต่ถ้าใจเราไม่ยอมแพ้ เราจะไม่หมดแรง และเราจะสร้างความพร้อมได้ใหม่ทุกเมื่อ
ผมหวังว่า ท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ จะสามารถฝึกภาษาอังกฤษด้วยหัวใจ สมอง และสายตา ที่แจ่มใส
มองโลกในแง่ดี มีความหวังดีต่อตัวเอง ต่อโลก และมีความสุขครับ
"กฎแห่งกรรม" ของการฝึกภาษาอังกฤษ
บ่อยครั้ง... ที่ผมพูดว่า ในการฝึกภาษาอังกฤษ ให้พูดได้-อ่านได้ คนฝึกจะต้องมีความรักที่จะเรียนรู้หรือมีฉันทะ แล้วความเพียรพยายามหรือวิริยะก็จะตามมาเอง ผมเคยถามรุ่นน้องหลายคนที่ "ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง" ว่าชอบภาษาอังกฤษไหม แทบทุกคนตอบว่าชอบ แต่ไม่เก่ง เลยเรียนไม่รู้เรื่อง
ท่านผู้อ่านครับ รุ่นน้องของผมโกหก เขาโกหกผม และก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาโกหกตัวเอง เพราะคำตอบที่ถูกต้องคือ เขาชอบถ้าตัวเขาเองเก่งอังกฤษ แต่เกลียดถ้าต้องพยายามเรียน ถ้าพูดภาษาพระก็ต้องบอกว่า มีตัณหาเยอะ แต่มีวิริยะน้อย ในการเรียนภาษาอังกฤษ
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ผิดแม้แต่น้อย... ไม่ผิดโดยประการทั้งปวง... เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้เรารักในทุกเรื่อง แม้เรื่องนั้นจะดีวิเศษวิเศโสปานใดก็ตาม ถ้าเราไม่รักมันก็คือไม่รัก ก็อย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละครับ ความรักเป็นเรื่องของหัวใจ บังคับกันไม่ได้
แต่เราก็ต้องยอมรับความจริง ถ้าเราไม่ได้รับของดีที่เราควรจะได้รับจากการฝึกให้เก่งอังกฤษ และเมื่อไม่ได้รับ ก็อย่าตีโพยตีพาย โทษฟ้าโทษดิน โทษแดดโทษลม โทษสังคม โทษระบบการศึกษา โทษครูบาอาจารย์ โทษนั่นโทษนี่มั่วไปหมด อีกทั้งไม่ควรอิจฉาริษยาคนที่เขาได้ดีกว่าเพราะเขาพากเพียรเรียนด้วยวิริยะ ไม่ว่าจะเป็นวิริยะที่มีฉันทะ หรือวิริยะที่ไม่มีฉันทะก็ตาม เพราะนี่มันเป็น "กฎแห่งกรรม" • "กรรม" ที่แปลว่า "ผลที่ได้รับจากการกระทำของตัวเอง"
ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกได้ และก็ควรรื่นเริงกับชีวิตที่ตัวเองเลือก ... เสมอ
ทำไมเว็บฝรั่งดี ๆ คนไทยไม่เข้าไปเรียน
♥ ทุกวันนี้มีเว็บคุณภาพดีมากมายให้เราเข้าไปเรียนภาษาอังกฤษ คือมากทั้งจำนวนเว็บ และมากทั้งจำนวนเนื้อหาในแต่ละเว็บ และเรียนได้ฟรีอีกด้วย
♣ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการวิจัยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ผมกลัวว่าเราจะพบผลการวิจัยว่า เมื่อเทียบ % คนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษกับเว็บฝรั่ง กับคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษกับเว็บไทย % คงน้อยอย่างน่าใจหาย และทั้ง ๆ ที่เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า เว็บฝรั่งดีมากทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่ทำไมคนไทยเราเข้าไปเรียนกันน้อยจัง
♠ ถ้าตัดสาเหตุข้อนี้ทิ้งไป คือ เราอ่านหรือฟังเนื้อหาภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงขอเรียนกับเว็บไทยดีกว่า มันยังมีสาเหตุสำคัญข้ออื่นอีกหรือไม่? และมันสำคัญมากจนเราไม่ยอมลุยเข้าไปเรียนกับเว็บฝรั่ง มันสำคัญขนาดนั้นจริง ๆ หรือ? ผมฝากให้ท่านคิดแล้วกันครับ
♣ และเว็บนี้ เป็นเว็บหนึ่งในจำนวนเว็บฝรั่งนับไม่ถ้วนที่น่าเข้าไปเรียน ผมไม่ขอหยิบแต่ละชิ้นมาแนะนำนะครับ เพราะมันเยอะจัด ท่านลองเดินลุยเข้าไปเรียนเองแล้วกันครับ
♥ Homepage→ https://www.usingenglish.com/
♣ Register ก่อนใช้เว็บ → https://www.usingenglish.com/forum/register.php?
♦ เข้าไปดูประเภทของเนื้อหาที่นี่
【1】https://www.usingenglish.com/testing/
【2】https://www.usingenglish.com/quizzes/
【3】https://www.usingenglish.com/comprehension/
【4】 https://www.usingenglish.com/reference/
【5】https://www.usingenglish.com/resources/
【6】https://www.usingenglish.com/articles/ (และคลิกประเภทบทความที่ลิงก์ใต้คำว่า Article Categories ที่คอลัมน์ขวามือ)
【7】https://www.usingenglish.com/esl/students/
【8】https://www.usingenglish.com/teachers/
【9】https://www.usingenglish.com/sitemap.html
【10】https://www.usingenglish.com/links/
วิธี ฝึกอ่าน-ฝึกฟัง ภาษาอังกฤษ ให้ประสบความสำเร็จ
สวัสดีครับ
ผมแนะนำท่านผู้อ่านบ่อย ๆ ว่า ให้ฝึกอ่าน-ฝึกฟังภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องทุกวัน โดยเริ่มจากเรื่องที่ชอบ หรือเนื้อเรื่องที่เราพอจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ไม่ยาวเกินไป ไม่ยากเกินไป ฝึกให้ได้ทุกวัน และทักษะของเราจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น คืออ่านรู้เรื่องมากขึ้น - ฟังรู้เรื่องมากขึ้น ฝึกไปเรื่อย ๆ อย่างนี้โดยไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องใจร้อน ไม่ต้องหวังมากเกินไป และก็ไม่ต้องท้อเมื่อไม่ได้ผลเร็วทันใจ
มันเหมือนการเดินไปยังอีกฟากหนึ่งของภูเขาโดยเดินลอดอุโมงค์ที่วิศวกรเขาเจาะไว้แล้วใต้ภูเขา และเราก็ไม่ใช่คนแรกที่เดิน มีคนอื่นเป็นหมื่นเป็นแสนนับไม่ถ้วนที่เคยเดินเส้นทางนี้มาแล้ว และก็ถึงปลายทาง แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากสักหน่อยกว่าจะเดินทะลุถ้ำและเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ขอให้เราเดินอย่างมีความหวัง เพราะมันไม่ใช่ถ้ำหรืออุโมงค์ที่ตัน ถ้าเดินไม่หยุด ทุกก้าวที่เดินก็คือทุกก้าวที่ใกล้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ผมเองเชื่อมั่นในคำแนะนำนี้ เพราะผมเองก็ฝึกภาษาอังกฤษอยู่ทุกวัน มีอะไรอีกเยอะแยะที่ไม่รู้จึงต้องเรียนเพิ่ม ถ้าไม่เรียนก็ไม่รู้
แต่วันนี้ผมขอนำคำแนะนำเดิมนี้มาพูดอีกสักหน่อย ในแง่ของกำลังใจ คือผมเห็นรุ่นน้องหลายคนที่เรียนจบออกมาด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ไม่แข็งแรง และเมื่อได้งานทำในหน่วยงานที่เคี่ยวเข็ญว่าพนักงานต้องเก่งอังกฤษ ก็รู้สึกท้อเพราะรู้สึกว่าฟิตไม่ขึ้น ถ้าหน่วยงานนั้นมีคนเก่งอังกฤษอยู่เยอะหรือเขาจัดคอร์สให้เข้าฝึก อย่างนี้ก็พอจะจูงกันไปได้ แต่ถ้าต้องฝึกคนเดียว-ฟิตคนเดียว-แก้ข้อสงสัยด้วยตัวเองคนเดียว ก็ทำให้ท้อง่าย ๆ ไม่อยากกัดฟันเดินต่อ
คำแนะนำของผมยังเหมือนเดิมครับ คือ ①ฝึกกับเนื้อหาที่รัก ที่ชอบ ②เริ่มฝึกกับเนื้อหาที่ไม่ยากเกินไป พอเข้าใจอยู่บ้าง ③เริ่มฝึกกับเรื่องที่ไม่ยาวเกินไป หรือถ้ามันยาวก็แบ่งเป็นส่วน ๆ ฝึกให้จบวันละส่วนสั้น ๆ ตามที่แบ่งไว้ จะได้เกิดความรู้สึกว่าเราฝึก "เสร็จ" ④ ฝึกตามข้อ 1-2-3 นี้ ทุกวัน อย่าขาด ให้เกิดเป็นนิสัยหรือ momentum ในการฝึก
คราวนี้มาถึงเรื่องที่ผมอยากจะพูดเป็นพิเศษในวันนี้ คือ เท่าที่ผมสังเกตเว็บไทยจำนวนมากที่สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งผลิตเนื้อหาดี ๆ ออกมาทุกวัน และผมก็นำมาแนะนำในเว็บ www.e4thai.com และหน้า Facebook บ่อยมาก เนื้อหาพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายคำศัพท์, วลี, idiom, ประโยค ที่เจอบ่อย-ใช้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนทนาภาษาอังกฤษ โดยสิ่งที่มักจะขาดไม่ได้ก็คือ มีคำแปลภาษาไทยแนบไว้ให้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อเขียนให้อ่าน หรือคลิปให้ดู(ผ่าน YouTube)
ผมอยากจะบอกว่า ข้อเขียนและคลิปพวกนี้แม้จะมีประโยชน์มาก ๆ ถึงมากที่สุด แต่ถ้าเรา "เสพติด" มากเกินไป คือ อ่านและฟังภาษาอังกฤษโดยเอาแต่พึ่งคำแปลพร้อมใช้ โดยไม่หัดพึ่งตัวเอง เราจะเหมือน "เด็กไม่รู้จักโต" ในการเรียนหรือใช้ภาษาอังกฤษ
ท่านอาจจะบอกว่า ใจจริงก็ไม่อยากพึ่งคำแปลสำเร็จรูปพวกนี้หรอก แต่มันอ่านหรือฟังไม่รู้เรื่อง หรือรู้แต่ไม่แน่ใจ จะให้พึ่งใครถ้าไม่พึ่งเขา
ผมฟังแล้วก็เห็นใจ แต่ก็อยากจะยืนยันว่า ถ้าท่านฝึกจริงจังตามข้อ ① ② ③ ④ ข้างบน ด้วยใจที่เป็นสมาธิ หนักแน่น มั่นคง ไม่ปล่อยให้ความ "กลัวภาษาอังกฤษ" เป็นผีมาหลอกมากเกินไป ท่านก็จะค่อย ๆ เก่งขึ้นจริง ๆ เป็นอิสระ เพราะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษชนิดเสพติดคำแปล
ท่านอาจจะย้อนว่า คนที่เปิดดิก อังกฤษ → ไทย ก็พึ่งคำแปลเหมือนกัน แล้วมันต่างยังไงระหว่างผู้รู้แปลให้กับเราเปิดดิกเอง
ต่างกันครับ ต่างกันแน่ ๆ ต่างกันในทางปฏิบัติ ผมขอยกตัวอย่างหน้าแรกของหนังสือเรื่องโรบินสัน ครูโซ ซึ่งมีคำแปลศัพท์เป็นไทยพร้อมใช้ไว้ให้ข้าง ๆ
→ คลิกดู
ท่านจะเห็นว่า คำแปลที่ให้ไว้มันสอดคล้องกับเนื้อเรื่องเด๊ะ ๆ พอท่านสงสัยก็เหลือบไปดูคำแปลพร้อมใช้นั้นได้ทันที แต่ว่าการจะพัฒนา reading skill นั้น เมื่อผู้เรียนเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้ การปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ อย่าเพิ่งเปิดดิก ให้ลองเดาก่อนโดยอาศัยข้อความข้าง ๆ หรือ context ถ้าเห็นว่าพอจะเดาได้ก็ผ่านไปเลย อย่าเอาแต่เปิดดิกจนทำให้การอ่านสะดุดไปตลอดทาง ต่อเมื่อติดคำศัพท์ที่สำคัญจริง ๆ ต้องรู้ทันทีและเดาไม่ออก จึงค่อยเปิดดิก
แต่เนื่องจากศัพท์คำหนึ่ง ๆ ที่ดิกโชว์อาจจะมีหลายความหมาย คนอ่านจึงต้องใช้สมองขบคิดว่า ความหมายใดนะที่มันเข้ากับเนื้อเรื่อง และยังอาจจะต้องตีความอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้มันไปกันได้สนิทกับเนื้อเรื่องที่อ่าน
ท่านคงเห็นความต่างแล้วนะครับ ระหว่างดูคำแปลสำเร็จรูปกับเปิดดิกหาคำแปลด้วยตัวเอง วิธีไหนช่วยให้สมองพัฒนามากกว่ากัน และช่วยเพิ่ม reading skill มากกว่ากัน
เนื้อหาที่มีคำแปลพร้อมใช้แนบมาให้นี้ มันยากที่ผู้เรียนจะห้ามสายตาไม่ดูมัน และทันทีที่ดู สมองก็ผ่อนคลายไม่ต้องออกกำลัง เรียนกันอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ ก็คงไปได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
นั่นคือโทษของการฝึกอ่าน แบบเสพติดคำแปลพร้อมใช้
คราวนี้มาพูดถึงการฟังบ้าง
เมื่อท่านเข้าไปที่ YouTube เพื่อหาคลิปมาฝึกฟังภาษาอังกฤษ หรือ listening skill
① วิธีฝึก listening skill ที่ได้ผลน้อยที่สุด ก็คือ ดูไป-ฟังไป พร้อมกับอ่าน subtitles ภาษาไทย
② วิธีฝึก listening skill ที่ได้ผลมากขึ้นมาหน่อย ก็คือ ดูไป-ฟังไป พร้อมกับอ่าน subtitles ภาษาอังกฤษ
③ วิธีฝึก listening skill ที่ได้ผลมากที่สุด ก็คือ ดูไป-ฟังไป อย่างตั้งใจ(ตั้งหู)ฟัง โดยไม่ต้องอ่าน subtitles อะไรเลย
เรื่องนี้ต้องชี้แจงเพิ่มอีกนิดครับ คือถ้าเป็นคนฝึกฟังที่มีศัพท์ในคลังสมองของเขาเยอะอยู่แล้ว เขาจะมีศัพท์สำนวนขนาดใหญ่เป็นต้นทุน แต่การที่เขาฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็เพราะ "สำเนียง" เพราะฉะนั้นเมื่อเขาฟังซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง "ศัพท์/สำนวน" และ "สำเนียง" ของเขาก็จะจูนเข้าหากันเอง ทำให้เขาฟังรู้เรื่องได้ในที่สุด
[ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าใครคิดว่าจะขอท่องจำศัพท์ให้ได้เป็นหลายพันหลายหมื่นคำ ก่อนจะลงมือฝึกอ่าน-ฝึกฟังภาษาอังกฤษจริง ๆ ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับทหารสะสมลูกกระสุนไว้เต็มคลังแสง แต่ไม่ยอม-ไม่กล้าออกซ้อมรบเข้าสนามจริงเพื่อยิงปืน อย่างนี้ คำศัพท์หรือกระสุนที่สะสมไว้ มันจะมีประโยชน์มากแค่ไหน ท่านคงพอมองออก ]
แต่คนที่รู้ศัพท์น้อยจะใช้วิธีที่ ③นี้ขนานเดียวก็อาจจะไม่เหมาะนัก ผมจึงได้แนะว่า ถ้าเราพื้นยังไม่ค่อยแข็ง ก็ต้องยอมถ่อมใจ ใช้วิธีฝึกไต่ง่าย ๆ ไปก่อน ตามที่ผมว่าไว้ คือ ①ฟังเรื่องที่รัก ②ฟังเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ③ฟังเรื่องที่ไม่ยาวเกินไป ④ฟังทุกวัน และอีก 1 วิธีที่ใช้ฝึกแทรกเข้าไปได้ก็คือ ถ้าคลิปนั้นมี transcript ให้อ่าน ก็ศึกษามันซะก่อนให้เข้าใจมากที่สุด หรือถ้าคลิปนั้นมี English subtitles ให้อ่านบนจอ ก็ให้เปิดอ่านให้เข้าใจตลอดโดยปิดเสียง (play ↔ pause) พอถึงเวลาดูคลิป/ฟังคลิป ก็จะได้ฝึก listening skill อย่างแท้จริง
ผมทราบดีว่า ทุกท่านที่ฝึกอ่านหรือฝึกฟังภาษาอังกฤษ ก็ต้องการ "อ่านรู้เรื่อง-ฟังรู้เรื่อง" แต่การไม่พึ่งคำแปลพร้อมใช้ที่เขาให้มา ก็อาจจะทำให้เรา "อ่านไม่รู้เรื่อง-ฟังไม่รู้เรื่อง" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็อยากให้ท่านฝึกให้ตัวเองรู้เรื่องจริง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งผู้ช่วยไปชั่วชีวิต ตามวิธีที่ได้แนะนำ
และวิธีง่าย ๆ ที่เราจะมีกำลังใจในการฝึก ก็ต้องทำให้ตัวเองรู้สึกว่า วันนี้ เราได้ฝึกอย่าง "ประสบความสำเร็จ" มีทั้ง "ปริมาณ" และ "คุณภาพ"
♠ ฝึกอย่างมี "ปริมาณ" ก็คือ กำหนดปริมาณ หรือชิ้นงาน ที่ไม่มากเกินไป ให้รู้สึกว่าตัวเอง "อ่านจบ" หรือ "ฟังจบ" อย่างน้อย 1 ชิ้น
♠ ฝึกอย่างมี "คุณภาพ" ก็คือ ฝึกกับเนื้อหาที่ไม่ยากเกินไป ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง "อ่านเข้าใจ" หรือ "ฟังเข้าใจ" อย่างน้อย 1 ชิ้น
การตั้งกติกาหรือวินัยให้ตัวเองปฏิบัติ ที่ "ไม่มาก" และ "ไม่ยาก" เกินไปเช่นนี้ ย่อมทำได้ถ้าท่านเป็น "คนจริง" และก็สามารถทำอย่างมี "กำลังใจ" อีกด้วย
ในเว็บ e4thai.com มีเนื้อหาให้ท่านฝึกมากมาย เช่น
→ หนังสืออ่านนอกเวลา
→ อ่าน story พร้อมเพิ่ม English reading skill
→ ฟังภาษาอังกฤษ ง่าย ๆ
หรืออื่น ๆ โดยคลิกที่ปุ่ม Reading หรือ Listening ในเมนูซ้ายมือของหน้าเว็บ หรือพิมพ์คำค้นในช่อง Search ก็ได้
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
วิธีฝึกศัพท์พื้นฐานเพื่อเป็นต้นทุนในการประกอบกิจกรรมภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ถ้าท่านกูเกิ้ลด้วยคำว่า ศัพท์พื้นฐานภาษาอังกฤษ ก็จะพบคำศัพท์พร้อมคำแปลไทยให้ศึกษาหลายชุด → คลิกดู และท่านก็สามารถนำคำศัพท์+คำแปล พวกนี้ไปศึกษา ท่องจำ ได้ตามอัธยาศัย
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมขอเน้นหลาย ๆ ครั้ง ก็คือ การรู้คำศัพท์+คำแปลนี้ เป็นประโยชน์ต่อการ "เข้าใจ" เมื่อเราอ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ แต่มันยังไม่พอถ้าเราต้องการ "ใช้เป็น" คือใช้ภาษาอังกฤษในการพูดหรือเขียน คือสามารถนำศัพท์ไปผูกประโยคเพื่อพูดหรือเขียนสื่อสารกับคนอื่น
และการที่จะผูกประโยคได้ นอกจากรู้คำแปล เรายังต้องรู้อะไรอีก? เราต้องรู้สิ่งเหล่านี้ครับ Ⓐสามารถพูดออกเสียงคำศัพท์ได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ Ⓑสามารถนำคำศัพท์ไปพูด ผูกเป็นวลีหรือประโยค
การจะพูดออกเสียงและผูกประโยค-ผูกวลีได้ เราก็ต้องฝึกอ่านเยอะๆ-ฝึกฟังเยอะ ๆ และเราก็จะค่อย ๆ ทำได้เองเก่งขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถ้าท่านต้องการฝึกตัวเองด้านคำศัพท์ ให้ "เข้าใจ & ใช้เป็น" อย่างเป็นกิจจะลักษณะสักหน่อย ผมก็ขอแนะนำอย่างหนักแน่นว่า ท่านก็เข้าไปที่เว็บดิก 3 เว็บนี้ คือ Oxford, Webster และ Longman เพราะว่า ทีมนักวิชาการของเขาได้วิจัยและจัด list คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ เพื่อเราจะได้ "เข้าใจ & ใช้เป็น" โดยศัพท์แต่ละคำที่เขาโชว์ไว้ในเราศึกษาที่เว็บของเขานั้น มีสมบูรณ์ทั้ง definition(ความหมาย), pronunciation(เสียงอ่าน), example sentence(ประโยค/วลี ตัวอย่าง), grammar usage(การใช้ให้ถูกต้องตามหลักแกรมมาร์), collocation(กลุ่มคำที่มักใช้ร่วมกัน), idiom(สำนวน) ฯลฯ
พูดง่าย ๆ ก็คือ ดูที่เดียวก็ได้อ่าน-ได้ฟัง-ได้ฝึก ทุกอย่าง และสามารถนำคำศัพท์ไปใช้ในการ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ได้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือ หลาย ๆ ประโยคตัวอย่างที่เขาให้ไว้นั้น จะค่อย ๆ ช่วยให้เราคุ้นเคยกับศัพท์เหล่านั้น ถ้าเราฝึกอย่างจริงจัง คือ อ่าน+ตีความ+ทำความเข้าใจ อย่างจริงจัง, ฝึกเปล่งเสียงพูดประโยคนั้น ๆ อย่างจริงจัง จนคุ้นหู-คุ้นปาก ถ้าฝึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ใน list คำศัพท์ 3000 คำที่เขาจัดไว้ให้ เราก็จะค่อย ๆ เก่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมจึงขอเชิญชวนให้ท่านได้ฝึกตัวเองดังที่ว่ามานี้ กับเว็บดิก 3 เว็บนี้
เว็บที่ 1: Oxford Dictionary มีศัพท์ 3000 คำ จาก A - Z
→ คลิก
เว็บที่ 2: Webster Dictionary มีศัพท์ 3000 คำ จาก A - Z
→ คลิก
เว็บที่ 3: → Longman Dictionary มีศัพท์ 3000 คำ จาก A - Z
→ คลิก
แต่ที่เว็บดิก Longman เขาไม่มีคำศัพท์ให้คลิกศึกษา อย่าง Oxford หรือ Webster แต่เราก็สามารถใช้ add-on ของ Longman Dictionary ให้ช่วยโชว์ข้อมูลคำศัพท์ที่จะศึกษาจากเว็บดิก Longman และต้องขอบอกว่า เว็บดิก Longman มีบริการอย่างหนึ่งที่เว็บดิกทั้งโลกไม่มี คือ สามารถคลิกฟังเสียงอ่านประโยคตัวอย่าง เพื่อฝึกฟัง- listening skill และฝึกพูดตาม - speaking skill ได้
→ คลิกดูวิธีติดตั้งและใช้งาน add-on
ผมขอแนะนำสั้น ๆ แค่นี้แหละครับ แต่ขอรับรองว่า การฝึกอย่างนี้ได้ผลแน่ ๆ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใคร promote วิธีพวกนี้ก็ตาม
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
More Articles...
- ยิ่งพึ่งความเข้าใจจากคำแปลที่คนอื่น"จัดให้" มากเพียงใด ยิ่งไปไม่ถึงไหน
- ขอแนะนำเว็บเรียนอังกฤษที่ "ไม่น่าสนใจ" - esl.about.com
- แนะนำเว็บ agendaweb.org
- ฝึกอังกฤษชนิดกินพอคำกับเว็บ Longman Dictionary
- เล่าอังกฤษ ตามอารมณ์
- ♥ อยากเก่งอังกฤษ ต้องก้าวออกมาจาก ❝comfort zone❞ ♥
- ยอมรับ ❝เราอาจจะผิดก็ได้❞
- เข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ Free Online
- ฝึกฟัฒนาภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ กับศัพท์ทีละคำ ที่เว็บดิก Longman
- วิธีฟิตภาษาอังกฤษโดยการอ่าน Story
- การเลือกคณะที่จะเรียน-เลือกงานที่จะทำ และ... ประสบการณ์ส่วนตัวของผม
- ฟิตอังกฤษกับอ.แทร์รี่ แห่ง นสพ. Bangkok Post
- แนะนำเว็บ multimedia-english.com
- "อยากพูดภาษาอังกฤษค่ะ ช่วยแนะนำตั้งแต่เริ่มเลย จะฝึกยังไง?"
- เว็บหน่วยราชการเหมือนขุมทรัพท์เรียนภาษา แต่ต้องขุดเอาเอง
- แชร์ประสบการณ์การฝึกลูกเรียนภาษาอังกฤษ
- รวมสุดยอดเทคนิคเก่งภาษาอังกฤษ
- ฝึกภาษาอังกฤษ = ❝ฝึก Search ❞ + ❝ฝึก Study ❞
- คลิกไล่ดูชื่อบทความในเว็บ e4thai เล่น ๆ
- วิธีง่าย ๆ ในการหา eBook ที่ถูกใจในเว็บ e4thai.com