Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

10 วิธีในการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

 3NU pic
 หลังจากที่ผมเขียนบทความนี้จบแล้วหลายวัน ก็ไปเจอคลิปนี้ ซึ่งเขาให้คำแนะนำในการฝึกพูดภาษาอังกฤษในทำนองเดียวกับที่ผมแนะนำ ท่านจะลองฟังดูก็ได้ครับ     

How to improve your English speaking skills (by yourself)


        ถ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โอกาสมากมายเสนอหน้ามาให้เราได้เรียน ได้ฝึก ได้ใช้ ได้พูดภาษาอังกฤษ และเราก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว และมั่นใจ ก็ถือว่าโชคดี

       แต่ถ้าเราไม่มีโอกาสอย่างนั้น ก็ใช่ว่าเป็นโชคร้าย เพราะถ้าเราพยายาม เราก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เช่นกัน อาจจะพูดได้ไม่ถูกต้องคล่องแคล่วเท่ากับคนที่โอกาสป้อนโชคใส่ปาก แต่การแสวงหา ขยัน และอดทน คือโชคแท้ของชีวิต และถ้าเราแสวงหาไม่หยุด ขยันไม่หยุด และอดทนไม่หยุด เราจะได้รับความสำเร็จเพราะโชคดีที่เราเสกใส่ตัวเอง เป็นมนตร์แท้ที่ทั้งขลังและศักดิ์สิทธิ์

       และต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรทำบนเส้นทางเดินในการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ยิ่งทำได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

⑴ ฝึกพูดทีละประโยค

       มีคุณครูหลายท่านสอนพูดภาษาอังกฤษผ่านคลิป เช่น อ.อดัม, ครูเชอรี่, ครูมิสหลิง ๆ หรือครูฝรั่งก็มีหลายท่าน เช่น ครู Jennifer, ครู Rachel  ท่านออกคลิปใหม่ มีประโยคใหม่ ๆ ออกมาสอนเรื่อย ๆ และโดยทั่วไปก็มักเป็นประโยคที่เราสามารถนำไปใช้พูดได้จริง ๆ หน้าที่ของเราคือฟังและพูดตาม
       ฟัง: ควรฟังหลาย ๆ เที่ยว โดยสังเกตตรงที่ stress, เสียงขึ้น-ลง, สูง-ต่ำ ฟังจนคุ้นหู และนี่แหละครับที่ผมบอกว่าควรฟังหลาย ๆ เที่ยว เพราะถ้าฟังเที่ยวเดียวมันก็คงไม่คุ้นหู เมื่อเปิดคลิปก็ใช้วิธี ฟัง-หยุด-พูดตาม-ย้อนฟัง หรือ play-pause-repeat-กดแป้น ◄
      พูด: จะพูดได้ต้องได้พูด และต้องพูดหลาย ๆ เที่ยวจนชินปาก ไม่ใช้พูดเที่ยวเดียวแล้วเลิก แต่การจะพูดโดยไม่ผิดหรือเพี้ยนน้อย ก็ต้องมาจากการฟังหลาย ๆ เที่ยว ท่านจะเห็นว่าการฟังและพูดจึงเป็นการฝึกฝาแฝด ต้องทำคู่กันไปอย่าทำอย่างเดียว คือฟังอย่างเดียวแต่ไม่ยอมเปล่งเสียงพูด หรือฝึกพูดอย่างจริงจังแต่ฝึกฟังแค่หวัด ๆ การฟังและพูดอย่างบรรจงจะช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ แม้ว่าเราจะเรียนจากครูคลิปไม่ใช่ครูคนจริง ๆ ก็ตาม
       ผมอยากจะบอกประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่บางคนไม่ได้มอง คือการฝึกพูดทีละประโยคอย่างนี้ นอกจากศัพท์-สำนวน-วลี ที่ประโยคสอน เรายังได้เรียนรู้แกรมมาร์ที่เป็นโครงสร้างประโยคโดยไม่รู้ตัว เช่นครูสอนให้พูด I love you. หลังจากที่ฝึกพูดจนชินปาก เมื่อถึงเวลาที่จะพูดอย่างอื่นเราก็จะสามารถเอาโครงสร้างประโยคอย่างนี้ไปพูดได้โดยไม่รู้ตัว เช่น พูดว่า I love my mom (คือ mother), I love chocolate หรือครูสอนว่า บอกให้เขาช่วยกดสวิตช์เปิดไฟให้หน่อย ให้พูดว่า Could you switch on the light? เราจะพูดเรื่องอื่นอย่างทำนองนี้เราก็พูดได้ เช่น Could you close the window ?, Could you tell me....?, Could you give me....?, Could you ask him....? และนี่แหละครับ คือประโยชน์ของการฝึกพูดทีละประโยค โดยฝึกฟังให้คุ้นหู และฝึกพูดให้คุ้นปาก

⑵ ศึกษา list คำศัพท์และฝึกพูดทีละคำ

       คือว่า ในการพูดภาษาอังกฤษนั้น ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ถาม ตอบ หรือเล่าเรื่อง เราจะต้องพูดเต็มประโยค บางครั้งแม้แค่พูดเป็นคำ ๆ ก็สามารถทำให้การสนทนาดำเนินไปได้ เช่น เราจะบอกว่า มะม่วงหวาน, อร่อยดี, ลองกินซิ เราก็พูดเป็นคำ ๆ ได้ เช่น Sweet mango. Yummy. Try it. หรือเขาถามเราว่า ห้องน้ำไปทางไหน Where's the toilet? เราอาจจะตอบแค่คำเดียวว่า มันอยู่ชั้นล่าง Downstairs.
       แต่ปัญหาที่ผมสังเกตก็คือ หลายคนรู้คำศัพท์หรือท่องจำคำศัพท์ได้มากมาย ถ้าอ่านเจอก็รู้ความหมายหรือแปลออกทันที แต่เขาไม่เคยเปล่งเสียงคำศัพท์ผ่านปากของตัวเอง ผลก็คือกล้ามเนื้อมุมปากที่จะพูด และกล้ามเนื้อสมองมัดที่ใช้สั่งให้ปากพูด จึงไม่เคยทำงาน ศัพท์เยอะแยะจึงรู้ไว้เพื่อการอ่านผ่านตาหรือการฟังผ่านหูเท่านั้น ไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้พูดผ่านปาก จึงเกิดภาวะรู้ศัพท์เยอะแต่พูดไม่ได้ เพราะไม่ได้ถูกฝึกให้พูด ทั้ง ๆ ที่ก็อาจจะพูดแค่เป็นคำ ๆ นี่แหละก็ไม่อยากจะพูด   
       ผมจึงขอเน้นว่า การรู้ศัพท์แค่ความหมายหรือคำแปลนั้นยังไม่พอ ต้องฝึกให้คุ้นเคยกับการเปล่งเสียงผ่านปาก อาจจะเปรียบเทียบอย่างนี้ก็ได้ครับ คำศัพท์ก็เหมือนของกิน ของอะไรที่ไม่เคยกินเราก็อาจจะไม่อยากกิน ยิ่งของกินที่หน้าตา รสชาติ หรือกลิ่นแปลก ๆ ยิ่งไม่อยากแตะ คำศัพท์ก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าไม่คุ้นปากหรือเสียงแปลก ๆ ก็ไม่อยากจะเปล่ง ก็เลยไม่ต้องพูดกัน ทั้ง ๆ ที่คำนั้นควรจะพูดเพราะมันเหมาะกับสถานการณ์ เพราะฉะนั้นการรู้ศัพท์และฝึกเปล่งเสียงออกมาให้คุ้นปาก จึงจำเป็นมากเท่า ๆ กับการรู้คำแปล

  • ศัพท์พื้นฐาน Longman 2000 คำ - เข้าไปแล้ว คลิก www. ... เพื่อฟังเสียงอ่านคำศัพท์ & ประโยคตัวอย่าง และฝึกพูดตามคลิก 
  • ฝึกเปล่งเสียงคำศัพท์พื้นฐาน  & ประโยคตัวอย่าง จากดิก Longman แยกตาม: VerbAdjectiveNounAdverb
  • คลิกคำศัพท์ และเมื่อเข้าไปแล้วคลิกประโยคเพื่อฟังเสียง จากเว็บ talkenglish.com: รวม 2000 คำ  Verb Adjective Noun Adverb Preposition Pronoun
  • คลิปสอนคำศัพท์ โดย อ. อดัม คลิก

⑶ ฝึกพูดประโยคสนทนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่บางเว็บ หรือ eBook บางเล่ม หรือ YouTube playlist รวบรวมไว้

       ในข้อ ⑴ ผมได้แนะนำให้ท่านฝึกพูดทีละประโยคตามที่คุณครูนำมาสอน ซึ่งมักจะมีประโยคใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ แต่ว่ามีบางเว็บ, eBook หรือ YouTube playlist ที่ได้รวบรวมหลาย ๆ ประโยคสนทนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งมันจะมีประโยชน์มากถ้าเราได้เข้าไปสำรวจว่า (1)มีสถานการณ์ไหนบ้างที่เราเองมีโอกาสได้พูด (ในภาวะปัจจุบันหรืออนาคต) และ(2)หลาย ๆ ประโยคที่เขาให้ไว้ในแต่ละสถานการณ์ มีประโยคใดบ้างที่เหมาะกับการใช้งานของเรา เราก็ฝึกฟัง-ฝึกพูดประโยคพวกนี้ให้มากเป็นพิเศษ ส่วนประโยคอื่น ๆ ที่ดูท่าทางมีโอกาสน้อยที่จะพูดก็ฝึกน้อยหน่อยก็ได้ การฝึกอย่างที่ที่เว็บหรือคลิป YouTube จะดีกว่า eBook ตรงที่เรามีโกาสฟัง(ซ้ำ ๆ หลายเที่ยว)และพูดตาม แต่ถ้าเป็น eBook เราก็อ่านและฝึกพูดแต่ไม่ได้ฟัง

       เป็นการดีครับถ้ารวบรวมประโยคที่จะเน้นฝึกไว้ที่ folder ซึ่งทำเป็น Favortites/Bookmarks
เว็บ

YouTube

  • เข้าไปที่ลิงก์นี้ และเลือกคลิกคลิปในข้อ [1]ครูสมคิด Chris และข้อ [2] ครูเชอรี่ -  คลิก

eBook

⑷ ศึกษาโครงสร้างประโยคพื้นฐาน และฝึกพูดให้คุ้นเคย

       โครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษนั้นมีเป็นร้อย ๆ แบบ แต่ที่ผมจะแนะนำก็คือ 5 sentence patterns ถ้าเราคุ้นเคยกับ 5 รูปแบบนี้ เรื่องต่อยอดคือพูดให้ยาวหรือยากขึ้นก็ไม่น่ายั่น  

  • ศึกษาและฝึกโครงสร้างประโยคพื้นฐาน 5 แบบ (The 5 Basic Patterns)→ ที่นี่ 
  • หรือถ้าต้องการอ่านคำชี้แจง ก็คลิก→ ที่นี่ 

⑸ ฝึกอ่านออกเสียงชัด ๆ ดัง ๆ ให้ได้ยินเสียงของตัวเอง

       นี่เป็นวิธีฝึกพัฒนาการพูดที่ได้ผลดีซึ่งหลายคนไม่ได้คิดถึง และยังแก้ปัญหาของคนที่ไม่รู้จะฝึกพูดเรื่องอะไร หน้าที่ของเราก็เพียงหาเนื้อเรื่องที่มันเป็น story หรือ passage สั้น ๆ ที่เราชอบ,คุ้นเคย, เข้าใจ หรือสนใจ มาอ่าน โดยพยายามทำความเข้าใจคำศัพท์และเนื้อหาไปในเวลาเดียวกัน
       ผมขอแนะนำบางเว็บซึ่งมีเนื้อหาสั้น ๆ ให้เราฝึกอ่านออกเสียง และสามารถคลิกฟังเสียงอ่านได้ด้วย ท่านจะเริ่มด้วยการฟังเขาอ่านสัก 1 - 2 เที่ยวก่อนก็ได้ โดยสังเกตการ stress, ระดับเสียงขึ้น-ลง, ต่ำ-สูง และจึงตามด้วยการฝึกอ่านชัด ๆ ดัง ๆ
      ท่านอาจจะสงสัยว่า การฝึกอ่านอย่างนี้มันจะช่วยให้พูดเก่งขึ้นได้ยังไง? อย่ากังวลเลยครับ มันมีประโยชน์แน่ ๆ และยังได้หลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน เช่น การเปล่งเสียงเป็นคำ ๆ, เป็นประโยค, คำศัพท์, วลี, สำนวน, การสร้างประโยค, การคิดเป็นภาษาอังกฤษขณะที่พูด, การฝึกให้กล้ามเนื้อปากแข็งแรงขณะที่เปล่งเสียงภาษาต่างชาติซึ่งเราอาจจะไม่คุ้นเคย ฯลฯ สรุปก็คือได้เยอะครับ

       คราวนี้ถ้าหากว่าท่านมี story หรือ passage สั้น ๆ ที่ต้องการฝึกอ่านออกเสียง และก็อยากจะฟังเสียงอ่านก่อนที่จะอ่านออกเสียงด้วยตัวเอง ก็ทำได้ครับ โดยไปที่หน้า Google Translate และ Copy+Paste ข้อความภาษาอังกฤษนั้นลงไปที่ช่องด้านซ้ายมือ, คลิกปุ่มข้างบนให้เป็น "ภาษาอังกฤษ" และคลิกไอคอนรูปลำโพงที่มุมล่างซ้าย, ก็จะได้ฟังเสียงอ่านตามต้องการ, แต่เมื่อกดฟังซ้ำหลาย ๆ ครั้ง มันจะอ่าน normal speed สลับกับ slow speed, ถ้าท่านไม่อยากฟัง slow speed ก็ให้คลิกซ้ำ 1 ครั้ง, มันจะกระโดดข้ามไปยัง normal speed
        ขอแนะว่า ข้อความที่ paste ลงไปแต่ละครั้ง เพื่อฝึกฟังและอ่านออกเสียงตามนั้น อย่าให้ยาวเกินไป ให้ช่วงเวลาที่ฟังและฝึกพูดกับพอเหมาะกัน

⑹ อ่านแล้วฝึกพูด และ ฟังแล้วฝึกพูด ด้วยสำนวนของตัวเอง

       นี่เป็นการฝึกที่ค่อนข้างโหดแต่ได้ผลดี อันดับแรกสุด ให้ท่านหาเรื่องภาษาอังกฤษมาอ่านหรือฟัง ที่ไม่ยากหรือยาวเกินไป ท่านเข้าใจได้ทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ ให้อ่านหรือฟังหลายเที่ยวจนเข้าใจซึมลึก เสร็จแล้วให้ท่านพูดเล่าเรื่องนั้นออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำนวนของท่านเอง โดยสำนวนนี้ท่านจะ copy มาจากของเดิม หรือย่นย่อดัดแปลงก็ได้ หรือจดโน๊ตสั้น ๆ เพื่อดูลำดับหรือประเด็นก็ได้ แต่ขณะที่พูดห้ามดูต้นฉบับ ถ้าพูดไม่ได้จะกลับไปอ่านหรือฟังซ้ำก็ได้ และก็เริ่ม retell โดยไม่ต้องดูต้นฉบับ

       ในการฝึกอย่างนี้ ในครั้งแรก ๆ แม้ท่านจะถ่ายทอดเนื้อเรื่องเดิมได้นิดเดียว หรือติด ๆ ขัด ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ ก็ไม่เป็นไรครับ อนุญาตให้ท่านกลับไปอ่านซ้ำหรือฟังซ้ำอีกกี่ครั้งก็ได้ และกลับมา retell อีก โดยขอให้นึกว่า ท่านกำลังเล่าเรื่องนั้นให้เพื่อนสนิทฟัง ท่านไม่ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ซึ่งต้องใช้ภาษาที่งดงามถูกต้องสวยหรู ถ้าท่านพูดสื่อความให้เพื่อนฟังรู้เรื่องก็ถือว่าใช้ได้ ทำนองเล่าเรื่องรถชนกันว่า One car go. One car come. Two car โครม! แต่ถ้าก็ท่านพยายามพูดให้มันดีกว่านี้อีกสักหน่อย ผมเชื่อว่าท่านก็จะพูดเล่าเรื่องได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต้องให้โอกาสแก่ความพยายามครับ อย่าปิดโอกาสของตัวเอง

⑺ เขียนไดอะรี่แล้วฝึกพูด

       การเขียนไดอะรี่เป็นการฝึกถ่ายทอดเรื่องราวที่รู้เห็น และความรู้สึกนึกคิดต่อเรื่องนั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น เราควรจะเขียนให้ครบทั้ง 2 อย่าง ในเรื่องนี้ผมเองก็ทำได้ไม่ค่อยดี เพราะมักจะเขียนว่ารู้สึกอย่างไร อย่างเช่นต่อเรื่องที่เกิดเป็นข่าว แต่ไม่เขียนสรุปประเด็นของข่าวเพราะคิดว่าตัวเองก็รู้อยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการเขียนไดอะรี่เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ เราควรเขียนให้ครบทั้ง 2 อย่าง คือ (1)สรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะเป็นเรื่องของคนอื่นหรือเรื่องชีวิตของเราก็ตาม และ (2)สรุปความรู้สึกนึกคิดของเราต่อเรื่องราวนั้น ๆ
       เวลาที่เราเขียนไดอะรี่เป็นภาษาอังกฤษ ก็คือเวลาที่เราได้ค้นพบว่า มีอะไรที่เราแหว่งและต้องเติมให้เต็ม เช่น ไม่รู้คำศัพท์, วลี, สำนวน ที่จะใช้สื่อความ, ติดขัดในการเรียงข้อความเป็นประโยค, ไม่ถนัดที่จะสรุปเรื่องยาว ๆ หรือความคิดเห็นที่ฟูฟุ้งกระจัดกระจายให้สั้น-ตรง-และชัด แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นการเขียนที่ต้องฝึก และฝึกเขียนเป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย การฝึกในข้อ (7) นี้แม้จะต่างจากข้อ (6) เพราะข้อ (6) เป็นการเล่าให้คนอื่นฟัง แต่ข้อ (7) นี้เป็นการเล่าให้ตัวเองฟัง แต่มันก็คือการเล่าเรื่องเหมือนกัน และก็ต้องหมั่นฝึกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อฝึกแล้วก็จะเขียนได้ดีขึ้น
       เมื่อเขียนจบแล้วในแต่ละวัน ก็พูดหรืออ่านออกมาเสียงดัง ๆ ให้ตัวเองได้ยิน(ในห้องนอนที่ตัวเองอยู่คนเดียว) เราจะ read หรือ retell ไดอะรี่ที่ตัวเองเขียนก็ได้ครับ และนี่ก็เป็นการฝึกพูดภาษาอังกฤษอีก 1 วิธี เป็นวิธีฝึกพูดแบบเงียบ ๆ

⑻ ฝึกแปลคำศัพท์ไทย▬►อังกฤษ และ "แปลข้อความไทยเป็นไทย " ▬►อังกฤษ

การฝึกแปลคำศัพท์ไทย▬►อังกฤษ
       เป็นวิธีที่คุณครูหลายท่านแนะนำมาเนิ่นนานแล้ว คือไม่ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหน เห็นอะไร กำลังทำอะไร ติดต่ออยู่กับใคร ถ้าเวลานั้นสมองปลอดจากการคิดเรื่องอื่น หรือพักคิดงานประจำได้ เราก็ลองมองไปรอบ ๆ หรือคิดไปทั่ว ๆ ถามตัวเองว่า "ภาษาไทยคำนี้/วลีนี้/ประโยคนี้ ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร?" เราอาจจะคิดคำตอบออกมาได้ทันที, หรือมีสมุดเล่มจิ๋วจดคำนั้นเพื่อไปค้นต่อ, หรือลง apps ใน smartphone เพื่อเปิดดิกดูความหมายหรือคำแปลได้ทันที, หรือมีดิกเล่มจิ๋วติดกระเป๋าไว้พลิกดูเล่นหรือค้นคำที่สงสัย, หรือเก็บไปถามผู้รู้  นี่ก็เป็นนิสัยฝึกที่ดีครับ
การแปลข้อความไทย ▬►ไทย ▬►อังกฤษ
       นี่เป็นการ "แปล" อีกแบบหนึ่งที่น่าจะฝึกไปพร้อม ๆ กัน สมมุติว่าท่านอ่านข่าวหนังสือพิมพ์หรือดูทีวีช่องภาษาไทย ไมว่าจะเป็นข่าว ละคร การแข่งขัน เกมโชว์ โฆษณาขายสินค้า สารคดี ภาพยนตร์ ฯลฯ ที่เป็นภาษาไทย ถ้าท่านต้องเล่าเรื่องที่ท่านได้อ่าน หรือฟัง หรือชม ไมว่าจะความยาว 1 หน้า, หรือ 5 นาที, 10 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ให้เพื่อนฟังอีกต่อหนึ่งเป็นภาษาไทย ท่านทำได้ไหม? ท่านทำได้แน่ ๆ ครับ โดยทักษะที่ต้องใช้ก็คือ ย่อความและสรุป ถ้าท่านย่อแบบผิด ๆ ถูก ๆ หรือสรุปได้ไม่ครบประเด็น ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าได้ฝึกเรื่อย ๆ ทักษะนี้ก็จะพัฒนาขึ้น
       สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ถ้าท่านได้นั่งคุยกับชาวต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการ ท่านสามารถเล่าอะไรให้เขาฟังได้เยอะแยะเลย ถ้าท่านสามารถย่อเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทย และถ่ายทอดเรื่องที่ย่อแล้วสั้น ๆ นั้นออกไปเป็นภาษาอังกฤษ ในกรณีนี้ท่านจะเห็นได้ว่า ปัญหาของการพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นั้นเรื่องเล็ก แต่เรื่องใหญ่กว่าคือเป็นคนไทยแต่ใช้ภาษาไทยสื่อความได้ไม่ดี คือขาดทักษะในการแปลไทยเป็นไทย, สรุปเรื่องยาวให้สั้นไม่เป็น, สรุปเรื่องยากให้ง่ายไม่เป็น  ถ้าพยายามฝึกจนทำเป็น การสื่อความเป็นภาษาอังกฤษก็จะง่ายขึันเยอะ แต่นี่ก็ไม่เป็นไรเช่นกันครับ เพราะถ้าได้ฝึกเรื่อย ๆ ทักษะนี้ก็จะพัฒนาขึ้น

⑼ ทำสมุดจดบันทึก คำศัพท์, วลี, สำนวน, ประโยค ภาษาอังกฤษ ที่ตัวเองมีโอกาสใช้พูด

       นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำการบ้านมากสักนิดครับ คือในเน็ตนั้นมีศัพท์, วลี, สำนวน, ประโยคภาษาอังกฤษมากมาย ที่ทั้งครูไทยและครูฝรั่งสอนให้เราพูด แต่ว่าใครจะเอาอะไรไปใช้พูด อันนี้คงต่างกันและไม่เท่ากัน เพราะแต่ละคนมีชีวิตและอาชีพที่ต่างกัน และอีกอย่างหนึ่งก็คือ บางเรื่องอาจจะเจาะจงมากและไม่มีใครสอน ประโยคอย่างนี้เราหรือทีมงานคงต้องช่วยกันคิดหรือแต่งขึ้นมาเองเพื่อใช้พูดในงานที่ทำ
      Set ของคำศัพท์, วลี, สำนวน, ประโยค ภาษาอังกฤษ ที่เราจดบันทึกไว้ในสมุดนี้ เราต้องฝึกพูดให้คล่องปาก และมันจะเป็นฐานให้เราก้าวได้สูงขึ้นไปในชีวิตและการงานของเรา แต่ถ้าเราไม่จัด Set ไว้ในสมุดบันทึกนี้ การฝึกพูดภาษาอังกฤษของเราก็จะกระจัดกระจาย ไม่ focus เพื่อการใช้งาน

⑽ ตั้งหัวข้อให้ตัวเองฝึกพูดใน 4 อิริยาบถ คือ นั่ง-ยืน-เดิน-นอน

       การฝึกพูดภาษาอังกฤษทั้ง 9 วิธีที่พูดมาข้างต้น ต้องใช้อุปกรณ์คือหนังสือ, ebook, คอมฯ, smartphone-apps, ฯลฯ แต่ข้อสุดท้ายนี้เป็นการฝึกด้วยปากเปล่าล้วน ๆ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม นั่นคือ การฝึกพูดโดยจินตนาการว่ามีผู้ฟัง ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อน, เพื่อนร่วมงาน, แฟน, ลูกค้า, คนต่างชาติที่เจอในสถานที่ท่องเที่ยว, ฝรั่งที่มาติดต่องาน, คนในที่ประชุมที่พูดภาษาอังกฤษ, ฯลฯ เรื่องนี้ต้องอาศัยจินตนาการมากเป็นพิเศษ แม้ว่าในชีวิตจริงท่านอาจจะมีโอกาสไม่มากในการได้พูดกับบุคคลเหล่านี้ แต่เพื่อการฝึกภาษาอังกฤษท่านสามารถสร้างเขาขึ้นมาในจินตนาการ และพูดภาษาอังกฤษกับเขา ในทั้ง 4 อิริยาบถ
นั่ง:
       ลองคิดดูซิว่ามีใครบ้างที่ท่านจะนั่งพูดภาษาอังกฤษกับเขา ในเรื่องนี้ท่านจินตนาการ 3 เรื่อง คือ (1)ท่านจะพูดกับใคร เป็นสองต่อสอง หรือเป็นกลุ่ม (2)ท่านจะพูดที่ไหน และ (3)จะพูดเรื่องอะไร เมื่อได้ข้อมูลในจินตนาการครบ 3 อย่างนี้แล้ว ท่านก็ฝึกพูดกับเขาออกมาเสียงดัง ๆ  (ฝึกพูดในห้องนอนของท่านก็ได้) โดยเรื่องที่พูดอาจจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง สั้นบ้างยาวบ้าง, หรือสมมุติว่าเขาถามหรือขอความเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านจะตอบเขาว่าอย่างไร หรือท่านอาจจะขอร้องเขาให้ช่วยทำอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจะพูดอย่างไร จินตนาการในทำนองนี้ท่านสามารถสร้างได้ไม่สิ้นสุด และท่านก็จะมีเรื่องที่จะฝึกพูดภาษาอังกฤษได้ไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกัน และข้อดีก็คือ ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด ๆ ถูก ๆ เพราะนี่คือการฝึกกับ partner ในจินตนาการแต่สามารถเป็นจริงได้ ท่านสามารถพูดเร็ว-พูดช้า, พูดซ้ำไปซ้ำมา, พูดแก้ไขสิ่งที่พูดไปแล้ว, หยิบหัวข้อที่โน้ตไว้ขึ้นมาดูก่อนพูด ฯลฯ ท่านทำได้ทุกอย่างครับ เป็นการฝึกที่สะดวกสบายไร้ข้อจำกัด
ยืน-เดิน:
      โอกาสที่จะพูดภาษาอังกฤษด้วยอิริยาบถยืนและเดินก็มีไม่น้อยเช่นกัน และในขณะที่ท่านฝึกพูดเช่นนี้ก็ขอให้ท่านยืนและเดินจริง ๆ (อย่านั่ง) เช่นจินตนาการว่า  ท่านกำลัง present เสนอข้อมูลอยู่หน้าห้องประชุม, ท่านเดินพาเพื่อนหรือแขกของที่ทำงานไปชมสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทยและถือโอกาสเป็นไกด์สมัครเล่น, ท่านลองสมมุติว่ามีฝรั่งมาถามว่าจะไปที่....จะขึ้นรถเมล์สายอะไรหรือจะไปยังไง และท่านก็ฝึกพูดตอบเขาในอิริยาบถยืน, หรือว่าท่านไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งกับเพื่อนสนิท 2 - 3 คน แล้วก็นัดแนะกันว่าจะพูดกันเป็นภาษาอังกฤษขณะที่เดินเที่ยวไม่ว่าจะเป็นตอนที่ช็อปปิ้ง, ชมสถานที่ หรือเลือกซื้อของที่ระลึก, หรือถ้าท่านนั่งรถเมล์กลับบ้านตอนเย็นหลังเลิกงาน ท่านอาจจะลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายประจำสัก 1 กิโลเมตร และฝึกเล่าเป็นภาษาอังกฤษให้เพื่อนในจินตนาการฟังขณะที่เดินในเส้นทาง 1 กิโลฯนี้ ว่าวันนี้ท่านทำอะไร - เจออะไรบ้างในที่ทำงาน จินตนาการทำนองนี้ทำได้ไม่จำกัดครับ และมันก็ไม่ใช่การเพ้อฝัน เพราะมันเกิดขึ้นจริงได้และก็มีประโยชน์ด้วย แต่เราต้องกล้า ๆ หน่อย... กล้าคิดนอกกรอบ!
นอน:
       นี่ผมไม่ได้พูดเล่น เพราะผมกำลังแนะนำให้ท่านฝึกพูดภาษาอังกฤษในอิริยาบถนอนขณะที่ท่านนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของท่าน ถ้าท่านนอนคนเดียวท่านอาจจะจินตนาการว่า ท่านเล่าเรื่องอะไรก็ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือสนุก ๆ ในขณะที่นอนคุยก่อนหลับกับเพื่อนคนที่ท่านรักใคร่คุ้นเคยที่สุด ถ้าท่านนอนกับแฟนก็ชวนเขาฝึกคุยเป็นภาษาอังกฤษสัก 5 - 10 นาทีก่อนหลับก็ได้

      มีคนพูดว่า ถ้าได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษในอิริยาบถที่ผ่อนคลายมากเท่าไรก็ยิ่งได้ผลมากเท่านั้น ก็คือท่านอนนี่แหละครับ ฝรั่งที่มีเมียไทยจึงพูดไทยได้คล่อง และสาวไทยที่ได้สามีฝรั่งก็พูดฝรั่งได้คล่องก็เพราะความผ่อนคลายในขณะที่พูดนี่แหละครับ และสำหรับเราที่ฝึกภาษาอังกฤษ เราก็สามารถฝึกให้คล้อยไปในแนวนี้ได้
       ท่านผู้อ่านครับ 10 วิธีในการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตนเองที่พูดมาทั้งหมดนี้ บางอย่างอาจจะเป็นวิธีที่ครูไม่ได้สอน แต่ผมเชื่อว่าเป็นวิธีที่ฝึกแล้วได้ผล ขอเพียงท่านฝึกด้วยความเชื่อในศักยภาพของตัวเอง, อย่างใจเย็น, ขยัน และอดทน
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th 

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com