Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

บทเรียนภาษาอังกฤษจากการเดินทางร่วมงานวันไผ่โลก

bamboo dayสวัสดีครับ
       ระหว่างวันที่ 17 - 23 กันยายน 2560 ผมร่ามเดินทางไปกับรถตู้ 3 คันซึ่งมีผู้เดินทางจากประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย, คอสตาริกา, ออสเตรเลีย และนอร์เวย์ เขามาร่วมกิจกรรมวันไผ่โลก 18 กันยายน ซึ่งจัดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งที่เมืองไทยซึ่งการเดินทางเริ่มจากเชียงราย ต่อไปที่เชียงใหม่ ลำปาง พิษณุโลก นครนายก ปราจีนบุรี และลงท้ายที่กรุงเทพ รวมเส้นทางทั้งหมด 1500 กิโลเมตร แต่ละวันที่ผ่านไปตามจังหวัดดังกล่าวก็จะเยี่ยมชมกิจกรรมในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับไม้ไผ่
       ไผ่เป็นพืชที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนานแล้ว แต่กิจกรรมนี้เขามุ่งส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกรู้จักและใช้ประโยชน์จากไผ่ได้มากขึ้นโดยการดูงาน บรรยาย สาธิต ตามจุดต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง ผมเองเข้าร่วมในฐานะอาสาสมัคร ซึ่งงานส่วนใหญ่คือช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อวิทยากรในท้องที่พูดภาษาไทย, คุยกับคนขับรถคนไทย, หรือแจ้งข้อความต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางแก่ผู้ร่วมงานจาก 6 ประเทศเหล่านี้  

bamboo bike
       เรื่องที่ผมจะเล่าไปเรื่อย ๆ ต่อจากนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นให้ความรู้เรื่องไผ่หรือพาท่านเที่ยว แต่จะเล่าเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษจากหน้าที่อาสาสมัครที่ผมทำ ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของเว็บ e4thai.com  ที่หวังให้คนไทยนำทักษะภาษาอังกฤษไปใช้งานได้
       ผมขอแนะนำคร่าว ๆ เส้นทางที่ผ่านไป พร้อมเก็บบางภาพมาให้ท่านดู ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างหรืออะไรต่ออะไรที่ทำด้วยไม้ไผ่ทั้งนั้น ดังนี้ครับ
วันที่ 1 ที่เชียงราย:
       • รับผู้เดินทางที่สนามบินเชียงราย, เข้าพักโรงแรม , ตอนเย็นพาไปที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว (คลิกดูภาพ), ตอนค่ำเดินเที่ยวที่เชียงรายไนท์บาซาร์
วันที่ 2 ที่เชียงรายและเชียงใหม่:

inovasi
 • พิธีเปิดงานวันไผ่โลกที่ Inovasi Bamboo ที่นี่เขาใช้ไม้ไผ่ปลูกบ้าน (คลิกดูภาพ)มีปลัดอำเภอและ อบต. มาร่วมพิธีเปิด เจ้าของสถานที่บรรยายเล่าเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของเขาเกี่ยวกับการสร้างศูนย์ทั้งหลังด้วยไม้ไผ่, ฟังการบรรยายเกี่ยวกับการทำโครงจักรยานด้วยไม้ไผ่ และไปดู Bamboo Log Cabin ที่เชียงดาว
วันที่ 3 เชียงใหม่
• ดูหมีแพนด้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่ (คลิกดูภาพ)
• ดู Chiangmai Life Construction (คลิกดูภาพ)และโรงเรียนนานาชาติปัญญาเด่น (คลิกดูภาพ)
วันที่ 4 ลำปาง
• ดูการทำกระดาษด้วยเยื่อไผ่ (คลิกดูภาพ)
วันที่ 5 พิษณุโลก
• ดูสาธิตการปลูก การขยายพันธุ์ไม้ไผ่ (คลิกดูภาพ)
วันที่ 6 นครนายก
• ดูศูนย์ Eco Eyes ซึ่งทำด้วยวัสดุธรรมชาติและไม้ไผ่ ในการก่อสร้าง (คลิกดูภาพ)
วันที่ 7 กรุงเทพฯ
• สรุปและทำพิธีปิดที่กรมป่าไม้ (รวมรูปหลายวัน)

✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈
       ถ้าสรุปกิจกรรมการดูงาน สาธิต พูดคุย บรรยาย ทั้งสัปดาห์นี้ก็พูดได้ง่าย ๆ ว่า ต่างชาติทั้งหมดที่มาร่วมงานมีทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ, นักธุรกิจ, นักวิชาการ งานและอาชีพของเขาเกี่ยวกับไม้ไผ่ทั้งนั้น และเขาก็มาดูว่าเมืองไทยมีอะไรบ้างเกี่ยวกับไม้ไผ่ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธ์ุ, การปลูก, การดูแลรักษา, การทำผลิตภัณฑ์จากไผ่ ทั้งการก่อสร้าง สิ่งของ อาหาร เส้นใย พลังงาน เพื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ประเทศของเขาทำอยู่
       งานนี้สำหรับผม นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาทีเดียว เพราะทำให้รู้มากขึ้นอีกเยอะทีเดียวเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากไผ่ และก็เห็นว่า หากเราจะทำให้ไผ่มีประโยชน์มากขึ้นในวงกว้าง ทั้งในการใช้ไผ่แทนไม้กระดานในการก่อสร้างและสิ่งของเครื่องเรือน การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การทำอาหาร การทำเส้นใยในธุรกิจเสื้อผ้า การใช้ไผ่เป็นวัสดุผลิตกระแสไฟฟ้า ฯลฯ เราต้องทำอะไรอีกเยอะ และทุกฝ่ายจะต้องเอาจริงกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักธุรกิจ และชาวบ้านโดยทั่วไปซึ่งรวมถึงผู้บริโภคด้วย

✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈
       เอาละครับ คราวนี้มาพูดถึงเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษจากหน้าที่อาสาสมัครที่ผมทำในงานนี้ ขอว่าโดยสรุปดังนี้ครับ
[1] ถ้าวิทยากรพูดเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็แปลเป็นภาษาไทย
[2] แนะนำข้อมูลให้ผู้เดินทาง เช่น เวลารถออก, เวลาที่จะถึงสถานที่ ฯลฯ
[3] ให้บริการทั่ว ๆ ไป ใครขอให้บริการอะไรก็ทำให้

translate       แต่เอาเข้าจริง ๆ งานที่ทำมากที่สุดก็คือ small talk กับชาวต่างประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดขำ ๆ แทรกมุกตลก การเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่รถวิ่งผ่าน, การตอบคำถามที่เขาสงสัยขณะเดินทาง, ซึ่งในการนี้อาจจะรวมถึงการเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเอง, และถามเรื่องส่วนตัวของเขาบ้าง
        ใน 1 สัปดาห์ที่ผมร่วมเดินทางไปกับคณะ World Bamboo นี้ บ่อยครั้งที่ผมคิดถึงแฟนเว็บซึ่งภาษาอังกฤษ "ยังไม่ค่อยแข็งแรง" และมีโอกาสทำคล้าย ๆ กัน เช่น พาเพื่อนส่วนตัวหรือแขกของหน่วยงานไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ในเมืองไทย, ต้องทำหน้าที่ล่ามจำเป็น, ต้อง take care แขกต่างประเทศที่มาดูงาน ซึ่งงานแรกอาจจะเริ่มตั้งแต่ไปรับที่สนามบิน, พาเข้า check in ที่โรงแรม ... เรื่อย ๆ ไปจนงานสุดท้ายคือพาส่งกลับที่สนามบิน

       งานพวกนี้ผมทำมาแล้วทั้งนั้นตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เกษียณ ซึ่งหน้าที่หลักก็มีอย่างเดียวคือ "พูด" ภาษาอังกฤษกับแขกหรือเพื่อนต่างชาติ ซึ่งก็มีทั้งฝรั่ง, จีน, แขก, คนดำ ถ้าถามว่างานพูดอย่างนี้ยากไหม? ก็ต้องตอบว่ายากอยู่เหมือนกันแต่ก็พอทำได้เพราะฝึกมาเรื่อย ๆ และผมก็เชื่อว่าสำหรับแฟนเว็บ e4thai.com ซึ่งมีพื้นฐานคล้าย ๆ ผมคือ ไม่ได้จบเอกวิชาภาษาอังกฤษ, ไม่ได้เรียนหลักสูตรอินเตอร์, ไม่ได้จบนอก, ไม่ได้ใช้ชีวิตต่างประเทศ, ไม่ได้มีแฟนเป็นฝรั่ง, และงานประจำที่ทำก็พูดภาษาอังกฤษทั้งปีไม่เกิน 20 วัน  ถ้าพยายามก็ต้องทำได้อย่างผมหรือดีกว่าผม ยิ่งคนรุ่นใหม่ในยุคอินเทอร์เน็ต โอกาสที่จะฝึกและพูดภาษาอังกฤษได้ดีก็มีเยอะ แม้ว่าเราจะเป็นคนไทยโดยเฉลี่ยที่ไม่ได้เก่งอังกฤษเข้าไส้อย่างคนไทยที่ใช้ชีวิตต่างประเทศ เรียนนอก จบนอก หรือจบโรงเรียนอินเตอร์ หรือได้พูดภาษาอังกฤษทุกวันในบริษัทฝรั่ง
       ถ้าท่านถามว่าผมพูดภาษาอังกฤษยังไงกับคนต่างชาติในช่วง 7 วันนี้ คำตอบก็คือ พูดง่าย ๆ ช้า ๆ ชัด ๆ ใช้ศัพท์ง่าย ๆ ประโยคง่าย ๆ ถ้าเป็นการชี้แจงหรือเล่าเรื่องก็เรียงเนื้อความตามลำดับก่อน-หลังให้ดี เพราะถ้าพูดสับสนอย่าว่าแต่ภาษาอังกฤษเลย พูดภาษาไทยให้คนไทยฟังก็ยังงง เข้าทำนองที่พูดกันตลก ๆ ว่า พูดได้หลายภาษายกเว้นภาษาคน คนฟังเลยไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร
        ผมมีความรู้สึกว่า ทุกวันนี้น้อง ๆ ที่อายุน้อย ๆ ก็สามารถทำงานอย่างนี้ได้เพราะสื่อที่ช่วยฝึกพูดภาษาอังกฤษมันมีมากกว่าคนรุ่นผมทั้งปริมาณและคุณภาพ เพราะฉะนั้นน้อง ๆ จึงน่าจะฝึกพูดภาษาอังกฤษได้เร็วกว่าและดีกว่า
        ต่อจากนี้ผมขอเล่าตัวอย่างไปเรื่อย ๆ ว่า การพูดอย่างเป็นงานเป็นการเล็ก ๆ น้อย ๆ และ small talk ที่ต้องพูดบ่อย ๆ ในช่วง trip นี้มีอะไรบ้าง ขอให้ท่านนึกภาพว่า มีอยู่ 2 สถานการณ์ที่ผมพูดภาษาอังกฤษ คือ (1)ตอนนั่งอยู่ในรถตู้ ผมนั่งหน้ากับคนขับ และหันไปข้างหลังเพื่อพูดกับพวกเขา และ (2)ตอนไปถึงสถานที่ดูงานเกี่ยวกับไม้ไผ่

       เมื่ออ่านตามไปเรื่อย ๆ ท่านจะเห็นว่า งานพวกนี้มันไม่ได้ยากอย่างที่เข้าใจ ท่านที่บอกว่า "ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง" ถ้าพยายามอีกสักนิดก็ทำได้แน่ ๆ ทั้งงานนี้หรืองานอื่น ๆ ที่คล้าย ๆ กับอย่างนี้

✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈  ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈
[1] พูดให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ

ส่วนใหญ่พูดขณะอยู่ในรถตู้ เป็นการพูดง่าย ๆ ไม่มีอะไรมาก ทุกท่านถ้าไปทำอย่างผมก็พูดได้ ยกตัวอย่าง...

 Tomorrow the van will leave the hotel at 9 o'clock. พรุ่งนี้รถออกจากโรงแรมเวลา 9 โมง
We will arrive at the bamboo center in Lampang at 10:30. เราจะถึงศูนย์ไม้ไผ่ที่จังหวัดลำปางเวลา 10.30 น.
Please go to the toilet ... at the next petrol station ... because there is no toilet ... during the 2-hour drive to the bamboo village. โปรดเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมันข้างหน้าให้เรียบร้อย เพราะว่าวิ่งรถอีก 2 ชั่วโมงก่อนถึงหมู่บ้านไม่มีห้องน้ำให้เข้า

bamboo translate

[2] แต่โดยทั่วไป การพูดคุยในรถตู้เป็น small talk เบา ๆ สนุก ๆ เช่น

Anyone who want to sleep, sleep! But don't snore. You snore and only you can sleep, but other people can't sleep. ใครอยากจะหลับก็หลับได้เลย แต่ห้ามกรนนะครับ เพราะถ้ากรนท่านก็จะหลับอยู่คนเดียว แต่คนอื่นตื่นหมด
In 10 minutes, we will stop for you to smoke and use the toilet. But if anyone is desperate now, I have a plastic bag. Please show your hand if you need it. อีก 10 นาทีเราจะจอดรถให้สูบบุหรี่และเข้าห้องน้ำ แต่ถ้าตอนนี้ใครไม่ไหวจริง ๆ ผมมีถุงพลาสติกให้ ใครต้องการก็ยกมือขึ้น

       การพูดในลักษณะเดินทางอย่างนี้ ทั้งขณะที่เดินทางอยู่ในรถและรถจอดพัก โอกาสพูดยาว ๆ มีน้อย ส่วนใหญ่มักจะต้องพูดให้สิ้นภายใน 2-3 นาทีหรืออย่างยาวก็ไม่เกิน 5 นาที และเป็น small talk แต่บ่อยครั้งสิ่งที่เขาถามและเราต้องตอบ ต้องเล่า ต้องชี้แจง มันเป็นเรื่อวยาว นี่จึงต้องอาศัยทักษะของวิชาย่อความที่เรียนมาสมัยชั้นมัธยม ผมขอยกตัวอย่างตามสถานการณ์ข้างล่างนี้ครับ
[1] ตอบเรื่องที่เขาถาม
       คณะของเราไปที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวที่เชียงรายและเชียงใหม่ มีหลายคนถามผมว่า ทำไมเขาถึงเอาห่วงไปร้อยคอ และเขานอนทั้งห่วงนี่หรือเปล่า นี่เป็นคำถามที่ตอบสั้น ๆ ได้ยาก แต่ผมก็พยายาม

A woman will start wearing 3 rings when she is in teenage, but this is optional, not compulsory.  ผู้หญิงเริ่มสวมครั้งแรก 3 ห่วงตอนเป็นวัยรุ่น แต่นี่เป็นความสมัครใจ ไม่ได้บังคับ
With more years in age, more rings will be put around her neck. หลายปีเข้า อายุมากขึ้น ห่วงที่คอก็เพิ่มจำนวนขึ้น
When she is older, her neck will be longer. เมื่อแก่ขึ้น คอก็ยาวขึ้น
She will wear the rings all the time, even while sleeping.  เธอจะสวมห่วงตลอดเวลา แม้แต่เวลานอน
They will be twisted a bit and collapse and it's more comfortable to sleep. แต่เขาจะบิดห่วงนิดนึง ห่วงที่ตั้งก็จะพับ และนอนได้ง่ายขึ้น

 ผมอดไม่ได้ที่จะแทรกความเห็นส่วนตัวลงไปว่า ...

She must wear the rings all the time.  เธอต้องสวมห่วงตลอดเวลา
Her neck is too weak to stand on itself without the rings. คอก็จะอ่อน ตั้งเองได้ลำบากถ้าไม่มีห่วง
I understand that this is a way for the woman to earn a regular income from tourists. ผมเข้าใจว่า นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้หญิงกะเหรียงเหล่านี้ยึดเป็นอาชีพเพื่อหารายได้ประจำจากนักท่องเที่ยว
But this is an abuse, the abuse of the tradition against the women. แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นการทำร้าย, ทำร้ายผู้หญิงโดยประเพณี

       มีอยู่วันหนึ่งรถตู้ของเราจอดพักตรงที่มีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรและรูปปั้นไก่หลายตัว เขาถามว่ารูปปั้นใครและทำไมมีไก่อยู่หลายตัว ตอนนั้นอยู่ในรถและฝนตกหนักพูดฟังกันไม่ชัด ตอนหลังเขาทวงให้เล่าเรื่องนี้อีก แต่ก็ติดขัดบางอย่างและจนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เล่า แต่ถ้าเวลาโล่งผมต้องเล่าเรื่องนี้แน่ ๆ เพราะมันเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ที่เราคนไทยภูมิใจ ผมจะบอกเขาว่า....

He was King นเรศวร the Great. นั่นคือรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
About 400 years ago, Thai kingdom was defeated by the Myanmar army.  เมื่อประมาณ 400 ปีที่แล้ว ราชอาณาจักรไทยถูกกองทัพพม่าตีพ่าย
And นเรศวร was in Myanmar as a hostage to guarantee that Thai kingdom would not rebel against the Myanmar king. และพระนเรศวรต้องไปอยู่พม่าเพื่อเป็นตัวประกันว่า เมืองไทยจะไม่กบฎต่อกษัตริย์พม่า
During that time cock fighting was a very popular sport for everyone.  ในเวลานั้นชนไก่เป็นกีฬาที่ใคร ๆ ก็ชอบ
And นเรศวร's cock defeated the cock of the son of the Myanmar king proudly.  และไก่ของพระนเรศรวรก็ชนชนะไก่ของโอรสกษัตริย์พม่าได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
The royal son said sarcastically that this hostage's cock is a good fighter indeed. โอรสพม่าจึงพูดแดกดันว่า ไก่ชนของเชลยตัวนี้ช่างเก่งจริงนะ
นเรศวร replied bravely that "This cock fighting isn't just a sport for fun.  พระนเรศวรพูดไปอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่า ชนไก่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่กีฬาเล่นสนุก
Even the cock fighting for the real kingdom, I can defeat you." ต่อให้ชนเอาบ้านเอาเมืองก็ยังชนะได้อยู่นั่นเอง
And Later นเรศวร the Great was the king who defeated the great Myanmar army and brought independence to Thai kingdom. และในเวลาต่อมา พระนเรศวรมหาราชก็ได้เป็นกษัตริย์ของไทยที่รบชนะกองทัพพม่าอันยิ่งใหญ่ นำเอกราชมาสู่ประเทศ


pipat buddha[2] ถามเรื่องที่เขาอยากเล่า

       เรื่องที่คุยกับเขา เราไม่ต้องรอให้เขาถามอย่างเดียว ถ้าเราคิดว่ามันมีบางเรื่องที่เขาเขาอยากหรือยินดีเล่า เราก็ถามได้เลย อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาหรือประเทศของเขาก็ได้ เช่น ผมถามคนสิงคโปร์คนหนึ่งซึ่งเป็นมุสลิม

ผมถาม: I've heard that a Muslim prays five times daily. The words in each time is the same or different?  ผมได้ยินมาว่าคนมุสลิมละหมาดวันละ 5 ครั้ง แต่ละครั้งบทสวดเหมือนกันมั้ย 
เขาตอบ: The same เหมือนกัน
ผมถาม: How many words are there in the prayer? มีสักกี่คำในบทสวด
เขาตอบ: Hundreds. มีเป็นร้อย ๆ คำ
ผมตั้งข้อสังเกต: I notice that you pray for only a few minutes. I understood that it is only a few sentences long. ผมเห็นคุณสวดครั้งละไม่กี่นาที เลยเข้าใจว่าบทสวดคงยาวไม่กี่ประโยค
เขาอธิบาย: No, no. We've memorized it since we were young. In the prayer, we glorify our god. ไม่หรอก. เราจำขึ้นใจมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ ในบทสวดเราสรรเสริญพระเจ้าของเรา

 [3] เล่าเรื่องที่เขาอยากฟัง

       สมัยที่ยังรับราชการ เมื่อตอน take care แขกต่างประเทศผมชอบเล่าเรื่องตลก ๆ ให้เขาฟัง และนิสัยนี้ก็ติดตัวซะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้จักกันหลายวันและชักจะเริ่มสนิทสนม ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันบางทีก็แทรกเรื่องที่ทะลึ่งนิดหน่อย อย่าง trip นี้ตอนอยู่ที่ลำปาง พวกเขาเห็นรถม้าที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองลำปาง ผมก็เล่าให้เขาฟังว่า

This carriage is the symbol of Lampang.  รถม้าที่เห็นนั่นเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดลำปาง
You will notice that they put   blinkers on both sides of the horse's eyes. คุณจะเห็นว่า เขาเอาแผ่นหนังบังไว้ทั้ง 2 ข้างตาม้า (ตอนแรกผมนึกไม่ออกว่าว่า ไอ้แผ่นหนังนี่เขาเรียกว่า blinkers โชคดีมีลุงแก่ชาวออสเตรเลียคนหนึ่งบอกศัพท์คำนี้ให้)
And the horse will run forward, not sideward. และม้าจะวิ่งไปข้างหน้า ไม่วิ่งออกข้างทาง
However, several years ago someone told me this story, but I'm not sure if it's true or not.  แต่หลายปีมาแล้ว มีคน ๆ หนึ่งบอกผมอย่างนี้ แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันจริงหรือเปล่า
He told me that the horse that pulls the wheels is male  เขาบอกว่าม้าที่ลากรถเนี่ยเป็นม้าตัวผู้
and without the blinkers  to cover its eyes, และถ้าไม่มีแผ่นป้องตา
it will run to female horses sideward, and doesn't do its job.  ม้าตัวผู้มันจะวิ่งไปหาม้าตัวเมียข้างทาง ไม่ลากรถตามหน้าที่
I'm not sure if I can believe this story or not. ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เชื่อได้หรือเปล่า

 

sankampang umbrella
       ก่อนที่จะเขยิบไปถึงคำแนะนำในการฝึกเพื่อทำงานทำนองนี้ ผมขอพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง เป็นมุกเดิมที่ผมใช้ประจำ คือสอนภาษาไทยให้แขกต่างชาติ
คำแรกคือ สวัสดี

In English, you use different words for different time ... Good morning, Good afternoon, Good evening.  ในภาษาอังกฤษ ใช้คำต่างกันในการทักทายที่ต่างเวลากัน ตอนเช้าใช้ Good morning, ตอนบ่ายใช้ Good afternoon, ตอนเย็นใช้ Good evening
But in Thai language, you use this one word "สวัสดี" for every time. แต่ในภาษาไทย ใช้คำว่า "สวัสดี" ทักทายได้ทุกเวลา
It's an easy word. When you greet Thai people with สวัสดี, everyone will understand. มันเป็นคำง่าย ๆ ถ้าคุณทักทายคนไทยว่า "สวัสดี" ทุกคนเข้าใจหมด


คำต่อไป คือ ขอบคุณ

Thank you in Thai language is ขอบคุณ Thank you ภาษาไทย คือ ขอบคุณ
And to say it more politely, a man says ขอบคุณครับ. A woman says ขอบคุณค่ะ ถ้าจะให้สุภาพหน่อย ผู้ชายให้พูดว่า "ขอบคุณครับ" ส่วนผู้หญิงให้พูดว่า "ขอบคุณค่ะ"

 พอเขาพูดตาม ซึ่งก็มักจะพูดถูกเพราะมันง่าย เราก็หยอดคำชมไปหน่อย

Correct, you learn Thai language very fast. ถูกต้องแล้ว คุณเรียนภาษาไทยได้เร็วมาก
คำต่อไปคือ ลาก่อน และ ราตรีสวัสดิ์

To say Goodbye, you can say ลาก่อน at anytime of the day. เมื่อจะกล่าวลา ใช้คำว่า "ลาก่อน" ได้ทุกเวลา
But for goodnight, you say this word ราตรีสวัสดิ์. It's a bit formal, but everyone use it. แต่ถ้าจะกล่าวลาเพราะถึงเวลาไปนอน ให้พูดว่า "ราตรีสวัสดิ์" มันเป็นคำทางการนิดหน่อย แต่คนเขาก็ใช้พูดกัน


และอีก 2 คำที่น่าสอนเขาก็คือ ราคาเท่าไหร่ กับ ลดได้มั้ย

When you ask for the price, "How much?", you say เท่าไหร่ เมื่อถามราคาของที่จะซื้อ ให้ถามว่า "เท่าไหร่"
A man says เท่าไหร่ครับ. A woman says เท่าไหร่คะ ถ้าเป็นผู้ชายก็พูดว่า "เท่าไหร่ครับ "  ผู้หญิงพูดว่า "เท่าไหร่คะ"

พอรู้ราคาแล้ว ก็อาจจะอยากต่อราคา

After you know the price, and want to ask for a discount, you say ลดได้มั้ย หลังจากรู้ราคาแล้ว และต้องการให้เขาลดราคา ให้พูดว่า "ลดได้มั้ย"

 แต่ก็เตือนเขาไปสักหน่อยก็ดี เช่น

After they tell you the price, หลังจากที่คนขายบอกราคา
you can ask for a discount by telling the lower price you are willing to pay. คุณจะต่อราคาก็ได้ โดยบอกราคาที่เต็มใจจะจ่ายเงินซื้อ
For example, they say 200 baht, you say 170 baht, and if they agree, they will  say "ได้"  or OK. อย่างเช่น เขาบอก 200 บาท, คุณก็บอกไปว่า 170, และถ้าเขายอมขาย เขาก็จะตอบคุณว่า "ได้" หรือ "โอเค"
Then you must buy it. If you don't buy or ask for a second lower discount of the same thing,  แล้วคุณต้องซื้อนะ ถ้าคุณไม่ซื้อหรือขอต่อให้ต่ำลงไปอีก
there may be a problem. อาจจะมีปัญหา

พอผมแนะนำถึงตรงนี้ บางคนในรถตู้คันนั้นก็ถามผมว่า

What is the problem?  - ปัญหาอะไร
ผมก็เลยตอบว่า

You try it yourself, and you will get the answer. - ลองทำดูซิ ก็จะรู้เอง

ก็เลยได้ฮากัน

✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈  ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈

bamboo sink       มีการสอนภาษาไทยอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งต้องพูดมากสักหน่อย แต่จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา วิธีนี้เล่นแล้วสนุกมาก คือผมบอกเขาว่า ภาษาไทยมีหลายระดับเสียง และแต่ละระดับก็มีความหมายต่างกัน
Thai language is a tonal language. There are 5 different levels of sound. And the same word with different sound has different meaning, for example, the word มา. The 5 sound levels are มา, หม่า, ม่า, ม้า, หมา

•••••

มา is come
หม่า is to prepare sticky rice to cook
ม่า is a Chinese word in Thai language. It means mother.
ม้า is horse
หมา id dog

 •••••
แล้วก็พูดออกเสียงและแปลให้เขาฟังซ้ำอีกสักเที่ยว และก็บอกว่า Now I will test you.
พอถึงตอนนี้ ก็พูด มา, หม่า, ม่า, ม้า, หมา ออกไปทีละคำ และให้เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าจะให้ดีอย่าพูดเรียง, ให้พูดกระโดดไปกระโดดมา เช่น มา, หมา, ม้า, ม่า, หม่า บางคนฟังแล้วแยกไม่ออกเลย แต่งานนี้สนุกครับ

✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈  ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈

ผมมีอีกชุดนึงที่เล่นบ่อย คือ สอนทีละคำและรวมเป็นประโยค
• มวย and หมวย. มวย is a boxer. หมวย is a Chinese lady.
• ซวย and สวย. ซวย is unlucky. สวย is beautiful.
• มาก is very
และก็ผูกประโยคพร้อมแปลให้เขาฟัง สัก 2 เที่ยว
หมวยสวยมาก is A Chinese lady is very beautiful.
หมวยซวยมาก is A Chinese lady is very unlucky.
มวยสวยมาก is A boxer is very beautiful.
มวยซวยมาก is A boxer is very unlucky.
       พอถึงเวลา test สลับไปสลับมานี่แหละครับมันมาก โดยมากกลิ้งไม่เป็นท่า แถมยังมีบางคนพูดทวนโจทย์ หมวยสวยมาก เป็น หมอ_สวยมาก, ผมกลั้นไม่อยู่ ก๊ากเลย
       และก็เพราะเห็นว่า ในรถคันนี้มีแต่ผู้ชายอายุ 30 ปลาย ๆ ขึ้นไปทั้งนั้น (มีผู้หญิงปนอยู่ 1 คน อายุ 52 มากับด็อกเตอร์ที่เป็นสามี) ผมก็เลยเตือนว่า You must be very careful. หมอ_ is pubic hair. Don't say this word in public. It isn't a polite word. แต่กลายเป็นว่า หลังจากนี้ไอ้หนุ่ม ๆ ในรถคันนี้ฝึกพูด 2 ประโยคนี้ไม่รู้จักเลิก หมวยสวยมาก ,  หมอ_สวยมาก  พูดไปหัวเราะไป ไม่รู้ว่าจะฝึกไปพูดกับใคร

bamboo dome

เรื่องนี้ขอแถมอีกสักหน่อย คือ
       [1] ถ้าบางคนพูดบางคำหรือบางประโยค และเราจับไม่ได้ว่าเขาพูดอะไร ก็บอกไปตรง ๆ เลยครับว่า เราจับไม่ทัน ให้พูดใหม่ หรือให้พูดช้า ๆ เช่นพูดว่า Say again. Say again please. I didn't catch you last sentence. Please speak a bit more slowly. Could you speak up หรือ Could you speak a bit louder. ประโยคทำนองนี้พูดได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจ อย่าทำเป็นเข้าใจทั้ง ๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง ในกลุ่มนี้มีด็อกเตอร์คนหนึ่งและเมียที่มาจากประเทศคอสตาริกา ปกติเขาพูดภาษาสเปน ต้องยอมรับว่าผมฟังสำเนียงภาษาอังกฤษของแกไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ทั้ง ๆ ที่แกพูดช้า โชคดีมีออสเตรเลียคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาเดินทางมาแล้ว 40 ประเทศทั่วโลกและฟังภาษาอังกฤษสำเนียงสเปนเข้าใจได้ดี บ่อยครั้งที่ผมหันไปมองแกเป็นเชิงถามว่าตาด็อกเตอร์นี่พูดอะไร ซึ่งแกก็ช่วยบอกให้ โชคดี!
       [2] บางครั้งศัพท์ภาษาอังกฤษบางคำเราก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือเคยรู้แต่ลืมไปแล้ว กรณีอย่างนี้หลายครั้งก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรนักหนา เพราะเราอาจจะใช้ศัพท์อื่นแทน, หรือใช้ภาษาท่าทาง, หรือถ้าเป็นสิ่งของก็พูดโดยจับอันนั้นเลยถ้าของนั้นอยู่ตรงหน้า แต่แง่ดีก็คือ เราอาจจะใช้เรื่องนี้เป็นหัวข้อพูดคุยเพื่อเพิ่มความคุ้นเคยได้โดยถามคนอื่นในกลุ่ม ดังตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ

✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈  ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈

       • วันหนึ่งเข้าไปดูหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว เขามีหนังสะติ๊กพร้อมง่ามวางขายเป็นของที่ระลึก ท่านจำได้ไหมครับว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษคืออะไร รู้สึกว่าจะเป็นคนสิงคโปร์ที่บอกผมว่ามันคือ catapult แถมยังบอกอีกด้วยว่าคนอเมริกันเรียกว่า slingshot
       • ตอนที่เจอรถม้าที่ลำปาง ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า มี 2 คำที่หมายถึงรถม้า คือ chariot กับ carriage แต่ไม่แน่ใจว่าอย่างที่ลำปางนี้ต้องใช้คำไหน ตาลุงอายุ 75 ปีที่มาจากออสเตรเลียนี่บอกว่า ใช้ carriage ถูกต้องกว่า ผมโชคดีมีครูติวให้อีกแล้ว!
       • ไหน ๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้วก็ขอแถมอีกหน่อย คือเท่าที่ผมเคยเจอ ฝรั่งบางคนเขามีความละเอียดในการใช้ภาษาของเขา อย่างออสเตรเลียคนนี้ที่เป็น roommate ของผม แกบอกว่าแกเป็นคนหัวเอียงซ้าย หรือ leftist มาตั้งแต่เด็กแล้ว, แกไม่ชอบ Donald Trump โดยบอกว่าเป็นคนน่ารังเกียจสุด ๆ หรือ despicable ผมก็พูดเสริมว่า He doesn't look a president. แกพูดช่วยปรับภาษาอังกฤษของผมทันทีเลยว่า He doesn't look presidential.
      • อีกครั้งหนึ่งที่ผมคุยกับแกในห้องก่อนนอน ผมถามแกว่าเมืองที่แกอยู่ในออสเตรเลียอากาศกี่องศาเซลเซียส How many degree Celsius is it in your town now? แกตอบโดยวิจารณ์ภาษาอังกฤษของตัวเองว่า มันทั้งแปลกและยากสำหรับคนต่างชาติที่จะรู้ได้ทะลุปรุโปร่ง อย่างเช่น How much ใช้ถามจำนวนของ uncountable noun และ How many ใช้ถามจำนวนของ countable noun แต่ถ้าถามอากาศร้อนหนาวกี่องศาอย่างนี้ต้องถามว่า What is the temperature? ไม่ใช่ถามโดยใช้ how much หรือ how many เออ! ผมก็เพิ่งสังเกต อย่างถามว่ากี่โมงแล้ว เรายังใช้คำว่า What time is it? เราไม่ได้ใช้ how many hours หรือ minutes อะไรแบบนั้น เจออย่างนี้ก็เห็นเลยว่า มีอะไรอีกเยอะที่เรามองข้ามไปไม่ได้สังเกต 

 ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈  ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈Bamboo500

       เอาละครับ ถึงตอนสุดท้ายที่ผมจะแนะนำแล้วว่า เราจะมีวิธีฝึกอย่างไรให้สามารถทำหน้าที่ทำนองนี้คือต้อนรับพูดคุยกับเพื่อนหรือแขกต่างชาติ อย่างที่ผมเล่าให้ท่านฟังใน trip นี้
       เรื่องแรกสุดที่อยากจะบอกก็คือ ท่านอาจจะคิดว่าการพูดได้สำคัญที่สุด แต่จริง ๆ แล้วการฟังออกต่างหากที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราฟังไม่ออกหรือออกแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สิ่งที่เราแจ้งให้เขาทราบหรือตอบตามที่เขาถามมันก็อาจจะผิดเพี้ยน คิดง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ครับ มีคนหนึ่งมา request อะไรสักอย่าง พูดพร่ำไปตั้ง 5 นาที และสิ่งที่เราต้องพูดตอบมีคำเดียวคือ "Yes" หรือ "No" แต่ก่อนที่จะตอบ Yes หรือ No ออกไปได้ เราต้องฟังเขาพูดซะเนิ่นนาน เพราะฉะนั้นการฟังออกจึงสำคัญที่สุด เพราะว่าเราสามารถพูดอธิบายหรือตอบคำถามแบบชัดและสั้นได้ แต่เราไม่สามารถบังคับให้คนต่างชาติพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งแขก(อินเดีย)บางคน ทั้งพูดมาก พูดรัว พูดเร็ว ฟังเผิน ๆ ไม่รู้ว่าแกพูดภาษาแขกหรือภาษาอังกฤษ

       ถ้าเจออย่างนี้วิธีแก้อย่างง่าย ๆ ตรง ๆ ก็คือขอให้เขาพูดช้าลงหน่อย, ส่วนเราเองก็อย่าไปพูดเร็วตามเขา, การที่เราพูดช้า ๆ ชัด ๆ นั่นแหละคือการบอกทางอ้อมให้เราพูดช้า ๆ อย่างเรา, และถ้าเรารู้สึกสับสนไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาอะไรกันแน่ ก็อาจจะสรุปถามสั้น ๆ เช่น คุณจะอยู่หรือคุณจะไป, คุณจะเอาอย่างนี้หรืออย่างนั้น, ฯลฯ ทำอย่างนี้อาจจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย
       อย่างไรก็ตาม การฟังให้รู้เรื่องไม่ใช่ทักษะที่จะเกิดได้ในชั่วข้ามคืน มันยากกว่าการอ่านตรงที่ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็อ่านซ้ำ, ซ้ำกี่เที่ยวก็ได้, แต่ถ้าฟังไม่รู้เรื่องและขอให้เขาพูดซ้ำ ๆ หลายเที่ยวจนเราเข้าใจมันก็กระไรอยู่ และคนเดียวกันแม้พูดซ้ำมันก็สำเนียงเดิมที่เราฟังยากนั่นแหละ การฟังจึงอาจจะยากกว่าการอ่านตรงนี้ คือเมื่ออ่านเราต้องเข้าใจศัพท์+สำนวน แต่เมื่อฟังมันมีทั้งศัพท์+สำนวน+สำเนียง ที่เราต้องจับให้ได้
       เมื่อการฝึกให้ฟังรู้เรื่องไม่มีเทคนิคปาฏิหาริย์หรือทางลัด เราก็ต้องฝึกฟังทุกวันซึ่งเป็นเทคนิคสามัญและเส้นทางตรง อาจจะฟังไต่ไปตามลำดับคือ ฟังทีละคำ, ฟังทีละประโยค, ฟังทีละท่อน, ฟังทีละเรื่อง, หรือฟังยาว ๆ ต่อเนื่อง เช่นดูหนังเรื่องยาวหรือดูข่าว live online หรือจะสลับไปมา ง่าย ↔ ยาก, สั้น ↔ ยาว ก็ทำได้ตามใจชอบ  และในเว็บ e4thai.com  ก็มีของพวกนี้มากมายให้ท่านฝึก ขอเพียงท่านฝึกทุกวัน listening skill ก็จะดีขึ้นเอง ขอแนะนำนิดหน่อยที่ 4 ปุ่มข้างล่างนี้

rodmalampang11

       เรื่องต่อไปที่หลายท่านคงสงสัยก็คือ จะฝึกยังไงให้พูดภาษาอังกฤษคล่อง พอนึกจะพูดประโยคนั้นประโยคนี้ก็ติดอยู่ 2 ติด คือ 1.ติดศัพท์ - นึกศัพท์ไม่ออก 2.ติดแต่ง - คือนึกศัพท์ออกแต่แต่งเป็นประโยคไม่ได้ บางคนก็แก้ปัญหาโดยท่องศัพท์ตุนไว้เยอะ ๆ เพื่อแก้ปัญหาข้อ 1. คือติดศัพท์ให้ได้ก่อน โดยหวังว่าเมื่อรู้ศัพท์แล้ว, step ต่อไปคือนำศัพท์ไปแต่งประโยคใช้พูดคงจะง่าย
       ผมอยากจะบอกว่า การฝึกเป็นส่วน ๆ ก็ดีอยู่แต่ดีน้อย แต่ที่ดีมากกว่าก็คือฝึกทุกส่วนไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฟังอย่างที่พูดมาแล้ว และการฝึกอ่านซึ่งผมขอแนะนำ 2 อย่าง คือ
       [1] อ่านหนังสือประเภท graded reader ซึ่งแบ่งเป็นหลาย Level ง่าย → ยาก ในหนังสือพวกนี้เราจะได้เห็นทั้งคำศัพท์, การนำศัพท์ไปใช้ในประโยค, ซึ่งมีทั้งประโยคสนทนาและประโยคเล่าเรื่องหรือบรรยายความ เมื่อฝึกอ่านหนังสือพวกนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะได้ทักษะในการพูด, เล่าเรื่อง, สรุปความ นาน ๆ เข้าเราจะมีสไตล์ของตัวเองในการพูด ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น 

                • หนังสือ   graded reader ท่านอาจจะรู้จักในชื่อหนังสือภาษาอังกฤษอ่านนอกเวลา ซึ่งเว็บ www.e4thai.com มีให้ท่านดาวน์โหลดฟรีมากมาย แถมบางเล่มมีไฟล์ mp3ให้ฟังอีกด้วย → คลิก
       [2] อ่านข่าว ซึ่งมีทั้งข่าวปกติและข่าวที่เขียนให้ง่ายขึ้น(คลิก) การอ่านข่าวภาษาอังกฤษบ่อย ๆ ช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษเก่งขึ้นแน่นอน นี่เพราะเหตุใด? ก็เพราะว่า ข่าวนั้นมักจะเขียนด้วยศัพท์-สำนวน ที่ทันสมัย-ร่วมสมัย ซึ่งเราจดจำมาใช้พูดได้ และเนื้อข่าวก็เป็นเรื่องราวสากลที่หยิบมาเป็นหัวข้อการสนทนา หรือ  smal talk ได้ คนที่อ่าน world news เป็นประจำเวลาต้อนรับแขกต่างประเทศจึงมักไม่อับจนเรื่องที่จะคุย  จริงอยู่ สำนวนการเขียนข่าวคงไม่เหมาะที่เราจะ copy ทั้งแท่งมาพูด แต่ว่าหลายสำนวนข่าวก็เป็นสำนวนพูดได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก
       เรื่องนี้ผมขอเน้นสักหน่อยนะครับ คือทักษะทางภาษานั้นมันมีอยู่ 4 อย่าง ได้แก่ ฟัง(listen), อ่าน(read), พูด(speak), เขียน(write) สองอย่างแรกคือฟังกับอ่านเป็น passive skill คือฝึกแล้วไม่ต้องแสดงออก เราฟังอยู่คนเดียว, อ่านอยู่คนเดียว, ไม่ต้องมี partner ก็ฝึกได้,  ส่วนอีกสองอย่างที่เหลือคือพูดกับเขียนเป็น active skill ซึ่งตามปกติต้องฝึกกับ partner คือมีคนให้เราพูดด้วย หรือส่งข้อความไปถึงให้เขาอ่าน แต่การฝึกพูดหรือฝึกเขียนภาษาอังกฤษยุคนี้เราสามารถทำได้โดยไม่ต้องมี partner การจะฝึกทำยังไงผมได้แนะนำไว้แล้วหลายครั้งในเว็บนี้ ท่านที่เป็นแฟนเว็บคงทราบดีหรือจะ search ก็ไม่ยาก
       และเรื่องที่ผมอยากจะเน้นอีกเป็นครั้งที่ 500 ก็คือ การฝึก passive skill (คือฟังกับอ่าน) จะเป็นพื้นฐานที่จำเป็นและดีเยี่ยมให้เรามี active skill คือพูดได้-เขียนได้ หลายคนอยากจะพูดได้-เขียนได้ โดยไม่สนใจที่จะฝึกฟัง-ฝึกอ่าน, มันก็ไปได้ครับ แต่ไปได้ไม่ไกล, ไปได้ไม่นาน, ไปได้ไม่สวย

bamboo trail✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈  ✈ ✈ ✈ ✈ ✈ ✈
       เดิมผมกะว่า จาก bamboo trip ครั้งนี้คงมีแค่นี้ที่จะคุยด้วย แต่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีอีก 2 เรื่อง ที่น่าจะสำคัญเหมือนกัน จึงขอเล่าตรงนี้เลย
       เรื่องที่ 1 จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแทบทุกครั้งที่ผม take care แขกต่างประเทศ มักจะถูกคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนถามในเรื่องที่คำตอบสามารถเป็นทั้งแง่บวกและแง่ลบต่อเมืองไทย เช่น เขาถามผมว่า กษัตริย์ไทยในอดีตมีฮาเร็มกันทั้งนั้นใช่มั้ย, ปัญหาคอรัปชั่นในเมืองไทยเป็นยังไงบ้าง เป็นต้น หรืองวดนี้คนที่เป็นเมียของด็อกเตอร์ที่มาจากคอสตาริกาก็ถามผม แต่เป็นคำถามเบา ๆ ว่า หญิงไทยมีโอกาสในการได้งานทำและเงินเดือนเท่าผู้ชายมั้ย ผมคิดว่าสิ่งที่ผมตอบก็จริงแม้อาจจะไม่สมบูรณ์
       In Thailand, by laws and in reality, males and females have the same opportunities for getting jobs and incomes. And I notice that nowadays there are more females in higher management positions in both public and private sectors.
       และผมก็แถมตลกเข้าไปหน่อยว่า ...
       In some professions such as university lecturers, I have heard that there are more females than males. Some people say that there it is like a nunnery.
       เรื่องที่ 2 ในการต้อนรับแขกต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาเป็นกลุ่ม เราต้องเปิดใจให้กว้างสักหน่อย เพราะบางคน(เน้น เฉพาะบางคน)อาจจะแสดงท่าทางหรือนิสัยที่เราไม่ชอบโดยเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรก็ได้ เช่น ใน trip ของผมนี้ ขณะที่กำลังให้บริการหรือ serve อะไรบางอย่าง บางคนออกท่าชัด ๆ เลยว่า ต้องได้ก่อนหรือได้มาก หรือจะขออะไรก็ต้องเอาให้ได้ทันที, รอไม่ได้, แถมยังไม่ตรงต่อเวลา, นึกจะทำอะไรก็ทำ ครั้งนี้ผมเจอหลายคนจากประเทศหนึ่งเป็นอย่างนี้ คนอื่นในรถตู้ก็คงเห็นเหมือนกัน มีคนหนึ่งถึงกับมาวิจารณ์กับผมว่า...
       I'm not comfortable with Xxx people. They are strange and desperate. I prefer to stay with Thai and Malaysian people than  with Xxx people. It may be my racial prejudice.
        สรุปก็คือ นอกจากทักษะภาษาอังกฤษแล้ว การเป็นเจ้าของบ้านที่ดีก็จำเป็นไม่น้อยกว่ากัน อะไรพอจะอภัยได้ก็ให้อภัย
        หวังว่าทุกท่านคงได้รับความเพลิดเพลินจากการเล่าเรื่อง bamboo trip ครั้งนี้บ้างนะครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/

 

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com