อยากพูดได้-เขียนได้, ต้องขยันอ่าน-ขยันฟังภาษาอังกฤษ, มากกว่าเอาแต่อ่าน-เอาแต่ฟัง คำอธิบายเป็นภาษาไทย
สวัสดีครับ
ภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 ทักษะ คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ในการฝึกทักษะใดให้ได้ผลต้องฝึกอีก 3 ทักษะด้วย เช่น อยากพูดเก่ง ก็ไม่ใช่เอาแต่ฝึกพูดอย่างเดียว แต่ต้องฝึกฟัง-อ่าน-เขียนด้วย เพราะทุกทักษะมันเสริมกันและกัน เหมือนอาหารประจำวัน 5 หมู่ต้องกินให้ครบ แม้บางหมู่เช่นผักท่านอาจจะไม่ชอบกินเลย แต่ถ้าหวังสุขภาพดีก็ต้องฝืนกิน ในทำนองเดียวกัน ถ้าท่านอยากพูดเก่งแต่เกลียดการอ่านก็ต้องฝืนฝึกอ่านด้วย
มีเว็บไทยมากมายที่ให้คนไทยเข้าไปเรียนสนทนาภาษาอังกฤษ เนื้อหายอดนิยมก็เช่น ศัพท์/วลี/ประโยค ที่สอนให้จดจำนำไปใช้ และแกรมมาร์สามัญที่ควรรู้ เนื้อหาพวกนี้มีประโยชน์อ่านแล้วก็เข้าใจ แต่การเข้าใจมิได้แปลว่าใช้เป็น
การใช้เป็น คือพูดได้และเขียนได้ ซึ่งความสามารถนี้ต้องมาจากการได้อ่านข้อความที่คนอื่นเขียนและฟังเสียงที่คนอื่นพูดเป็นประจำจนคุ้นเคย คืออ่านจนคุ้นตาและฟังจนคุ้นหู การคุ้นเคยจึงเป็นสิ่งที่สูงเหนือความเข้าใจ เพราะเข้าใจแต่ไม่คุ้นเคยก็ทำอะไรไม่ได้ คือพูดไม่ได้-เขียนไม่ได้ เพราะฉะนั้นการฝึกอ่านภาษาอังกฤษทุกวัน-ฝึกฟังภาษาอังกฤษทุกวัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นและขอให้ถือเป็นครูคนที่ 1, ส่วนการอ่านและฟังคลิปที่เป็นคำอธิบายด้วยภาษาไทยนั้น ก็มีประโยชน์แต่ขอให้ถือเป็นครูคนที่ 2 รองจากครูคนแรกที่เราต้องเข้าไปเรียนด้วยก่อน
สรุปก็คือ การอ่านและฟังภาษาอังกฤษจนคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นจำเป็นอันดับ 1, ส่วนการอ่านคำอธิบายเป็นภาษาไทยให้เข้าใจนั้น แม้จำเป็นแต่ก็อยู่ในอันดับ 2
และเพราะคนไทยที่อยากเก่งอังกฤษ เอาแต่ฟิตเรื่องอันดับ 2 มากกว่าเรื่องอันดับ 1 จึงไม่เก่งภาษาอังกฤษซะที
พูดง่าย ๆ ก็คือ คนไทยชอบดึงศัพท์และแกรมมาร์ออกมาท่องหรือเรียนแยกต่างหาก แทนที่จะลุยเข้าไปเรียนด้วยการอ่านหรือฟังเนื้อหาจริง ๆ หากเปรียบเทียบก็เหมือนชอบดูสัตว์ป่าในกรงที่สวนสัตว์ แทนที่จะเข้าป่าไปดูสัตว์ป่าในป่าจริง ๆ เราจึงไม่เคยรู้จักสัตว์ป่าตามธรรมชาติของมันจริง ๆ อุปมานี้หมายคววามว่า เมื่อเราดึงศัพท์มาท่องเป็นคำ ๆ หรือดึงแกรมมาร์มาศึกษาเป็นเรื่อง ๆ เราจึงไม่ค่อยรู้จักศัพท์หรือแกรมมาร์ใน “ป่า” คือ context ของมันจริง ๆ ผลก็คือ เราก็เลยไม่เก่งภาษาอังกฤษซะที
ท่านอาจจะบอกว่า อ่านแล้ว-ฟังแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง จึงต้องแยกศัพท์มาท่อง-แยกแกรมมาร์มาเรียนต่างหาก เพราะมันช่วยให้รู้เรื่องง่าย ๆ ถ้าท่านพูดอย่างนี้ผมก็ไม่เถียงหรอกครับ แต่ผมขอยืนยันว่า ถ้าท่านอยากเก่งภาษาอังกฤษ การฝึกแบบนี้ที่ท่านชอบขอให้ทำเป็นอันดับ 2, แต่การฝึกโดยลุยเข้าไปอ่าน-เข้าไปฟัง เนื้อหาภาษาอังกฤษตรง ๆ ขอให้ฝึกก่อน-ฝึกมาก-และฝึกบ่อยเป็นอันดับ 1 เพราะความสำเร็จและความเก่งมันรออยู่ตรงนั้นครับ
โดยวิธีฝึกที่ผมขอแนะนำมีอยู่ 3 ข้อ คือ
❶ฝึกเรื่องที่ยาก-ง่ายให้เหมาะสมกับท่าน, อันนี้ท่านต้องลงทุนหาเอาเองว่า เนื้อหาใดที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับท่าน ท่านจะรอคนอื่นบอกให้ไม่ได้หรอกครับ และท่านต้องยอมรับความจริงด้วย เช่น สมมุติว่าถ้าตอนนี้ท่านเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ปี 1 แต่ English reading skill อยู่แค่ระดับ ม.1 หรือ ป.1 ท่านก็ต้องไปหาหนังสือภาษาอังกฤษระดับมัธยมหรือประถมเก่า ๆ มาอ่านเพื่อปรับพื้นทักษะไปเรื่อย ๆ เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องอายตัวเองหรืออายคนอื่น เพราะนี่คือความกล้าหาญที่จะเดินไปสู่ความก้าวหน้า
❷ฝึกเรื่องที่ท่านชอบ, หรือสนใจ, หรือมีความรู้ในเนื้อหานั้น ๆ เพราะเมื่ออ่านหรือฟังเรื่องพวกนี้ และเกิดปัญหาหรือไม่รู้เรื่อง ท่านก็จะไม่ท้อ ไม่เบื่อง่าย ๆ มีแรงลุยอ่าน ลุยฟัง ต่อไปเพราะเป็นเรื่องที่ท่านชอบ แต่เนื้อหาพวกนี้ท่านต้องยอมลงทุนหาเอง เพราะท่านรักเรื่องอะไรใครจะไปรู้นอกจากตัวท่านเอง และท่านคงต้องเตรียมสะสมใส่สต็อกไว้เยอะ ๆ เมื่อเบื่อเรื่องหนึ่งจะได้ย้ายไปอีกเรื่องหนึ่งได้
ในเว็บ e4thai.com นี้ ผมได้พยายามสรรหาเนื้อเรื่องมากมายมาให้ท่านเลือก ท่านลองคลิกเข้าไปดูที่ปุ่มข้างล่างนี้ ใช้เวลาหาสักพักเชื่อว่าต้องเจอ, ถ้าไม่เจอก็ลองใช้ช่อง Search ของเว็บค้นดู, ถ้ายังไม่เจอที่เหมาะที่ชอบใจ ขอให้บอกครับ ผมจะช่วยหาให้
❸ฝึกทุกวัน ถ้าไม่ติดขัดจริง ๆ อย่าขาดฝึก ในการฝึกทุกวันเช่นนี้ เราจะเป็นทั้งนักเรียนและครูในคน ๆ เดียวกัน เพราะแต่ละวันที่ฝึกเราจะเจอทั้งการเรียนรู้ใหม่ ๆ และปัญหาใหม่ ๆ ทีละน้อย ๆ และการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับนั้นจะเป็นครูสอนให้เราแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่เจอ และถ้าเราฝึกไม่หยุด ขบวนการพัฒนานี้ก็จะไม่หยุดเช่นกัน คือ เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ,→ เจอปัญหาใหม่ ๆ,→ ได้แก้ปัญหาใหม่ ๆ จากความรู้ที่ได้เรียน, พอแก้ปัญหาได้คราวใดก็เกิดความรู้ใหม่คราวนั้น, และเมื่อฝึกอ่าน-ฝึกฟังไม่หยุดก็จะได้ความรู้ใหม่→เจอปัญหาใหม่→แก้ปัญหาใหม่ ... เวียนพัฒนาก้าวหน้าอย่างนี้ขึ้นไปไม่รู้จบ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ อย่าหยุดเรียน อย่าหยุดฝึก และความรู้ของเราก็จะพัฒนาขึ้นไปไม่หยุดเช่นกัน
ท่านผู้อ่านครับ ผมขออนุญาตพูดอะไรที่มันไม่ค่อยไพเราะสักนิดนะครับ คือบางครั้งผมนำภาษาอังกฤษมาให้ลองอ่าน ลองแปล บางท่านพูดว่า ไม่มีคำแปลไว้ให้จะอ่านรู้เรื่องหรือ และจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่แปลเองนั้นถูกต้อง คือเขาพูดราวกับว่า เขาไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาเลยในชีวิต เมื่อจะอ่านภาษาอังกฤษสักประโยคก็ต้องมีคนอื่นแปลเป็นภาษาไทยแนบไว้ให้จึงจะรู้เรื่อง หรือถ้าจนใจก็ต้องไปให้ Google Translate แปลให้ ทำราวกับว่าตัวเขาเองง่อยเปลี้ยเสียขาโดยสมบูรณ์ทั้ง ๆ ที่เรียนจบปริญญาตรีมาแล้ว (ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยราชการหลายคนก็เป็นอย่างนี้ ต้องให้ลูกน้องแปลเป็นภาษาไทยแนบต้นฉบับภาษาอังกฤษให้ทุกประโยค เหมือนกับว่าอ่านไม่ออกแม้แต่ A.. B.. C.. D..)
การเรียนภาษาอังกฤษชนิดไม่ยอมออกแรงอ่านด้วยตัวเอง เอาแต่รอให้ผู้รู้ป้อนด้วยคำแปลหรือคำอธิบายเป็นภาษาไทย คือนิสัยที่เป็นปัญหาของคนไทยในการฟิตภาษาอังกฤษ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนเรามาตอนเรียนอยู่ชั้นประถม-มัธยมนั้น ต่อให้มันต่ำเตี้ยหรือขาดวิ่นเพียงใด ถ้าใครใส่ใจมันก็ต่อเติมให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าไม่สนใจเอาแต่เรียนภาษาอังกฤษอย่างเด็กขี้แย มันก็ยากอยู่ร่ำไป
ผมขอยกตัวอย่างสัก 4 – 5 ประโยคข้างล่างนี้
- My name is Somchai.
- I am ten years old.
- What do you want?
- My dog was hit by a car this morning.
- He is a man who never tells a lie.
ผมเอาประโยคตัวอย่างพวกนี้มาให้ท่านดูเพื่อจะบอกว่า ไม่ว่ามันจะเป็นประโยคที่ง่ายหรือยากสำหรับท่าน แต่การได้ฝึกอ่านบ่อย ๆ สิ่งที่ท่านได้มิใช่เพียงแค่การอ่านรู้เรื่องหรืออ่านคล่องขึ้นเรื่อย ๆ แต่มันคือการคุ้นเคยกับคำศัพท์, วลี และโครงสร้างประโยคมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษ ท่านก็จะทำได้โดยอัตโนมัติ โดยในเรื่องคำศัพท์นั้นท่านก็ไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อน และในเรื่องแกรมมาร์ท่านก็ไม่ต้องคิดว่า มันจะต้องขึ้นต้นด้วยประธาน ต่อด้วยกริยา ตามด้วยกรรม อะไรทำนองนี้ ความคุ้นเคยเพราะการอ่านบ่อย ๆ -ฟังบ่อย ๆ จะทำให้ท่านก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ทั้งหมด ทีละน้อย ๆ เพราะการฝึกที่ไม่ยอมหยุด
อย่างตามประโยคตัวอย่าง ถ้าทักษะของท่านยังไม่ถึงระดับที่สามารถแปลได้โดยอัตโนมัติ ในใจของท่านอาจจะแปลอย่างนี้
- My name is Somchai.
- ของฉัน - ชื่อ - คือ – สมชาย
- I am ten years old.
- ฉัน – คือ – สิบ – ปี – แก่/อายุ
- What do you want?
- อะไร – ทำ – คุณ – ต้องการ ?
- My dog was hit by a car this morning.
- ของฉัน – สุนัข – คือ/ถูก - ตี/ชน - โดย – หนึ่ง – รถยนต์ – นี้ – เช้า
- He is a man who never tells a lie.
- เขา(ผู้ชาย) – คือ – หนึ่ง – ผู้ชาย – ผู้ - ไม่เคย – บอก – หนึ่ง – โกหก
ท่านผู้อ่านครับ การฝึกอ่านหรือการฝึกฟัง มันก็เหมือนกับการเดินขึ้นเนินเขาหรือภูเขานั่นแหละครับ ในครั้งแรก ๆ มันอาจจะตะกุกตะกัก, งก ๆ เงิ่น ๆ, ผิด ๆ พลาด ๆ, มึน ๆ งง ๆ, ล้มลุกคลุกคลาน ฯลฯ แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท่านต้องยอมผ่านด้วยตัวเอง ด้วยขันติและวิริยะ และท่านก็จะเก่งมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย อย่าง 5 ประโยคข้างบน เมื่อฝึกผ่านไปสักห้วงเวลาหนึ่ง ท่านก็จะสามารถแปลได้โดยอัตโนมัติเลยว่า
- My name is Somchai. ฉันชื่อสมชาย
- I am ten years old. ฉันอายุ 10 ปี
- What do you want? คุณต้องการอะไร
- My dog was hit by a car this morning. สุนัขของฉันถูกรถยนต์ชนเช้านี้
- He is a man who never tells a lie. เขาเป็นคนที่ไม่เคยโกหก
และจริง ๆ แล้วเมื่อฝึกอ่านภาษาอังกฤษทุกวัน ท่านจะค่อย ๆ สามารถเข้าใจประโยคที่อ่านโดยไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทยในสมองด้วยซ้ำ และนี่แหละครับคือความคุ้นเคย... ความคุ้นเคยที่เหนือกว่าความเข้าใจ ที่ทำให้ท่านพูดได้-เขียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ คือ เป็นความคุ้นเคยทุกวัน ท่านคุ้นเคยกับศัพท์คำนั้นคำนี้ และกับโครงสร้างประโยคแบบนั้นแบบนี้ และท่านจะค่อย ๆ สามารถนำคำศัพท์และโครงสร้างประโยคเช่นนี้ ไปแต่งประโยคอื่น ๆ เป็นเนื้อหาอื่น ๆ ตามที่ท่านต้องการจะพูด แต่ขอย้ำว่า ความคุ้นเคยเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อฝึกทุกวันไม่หยุด
ประโยคที่ยกมานี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ แต่แม้เป็นประโยคอื่น ๆ ที่ยากกว่านี้ เราก็สามารถฝึกจนคุ้นเคย – เข้าใจ – ใช้เป็น ได้แน่ ๆ โดยผมขอย้ำอีกครั้งว่า การฝึกให้คุ้นเคยนั้นจะต้องเป็นการฝึกอ่าน-ฝึกฟังเนื้อหาภาษาอังกฤษด้วยตาและหูของเราเอง และฝึกตีความทำความเข้าใจด้วยสมองของเราเอง ไม่ใช่เอาแต่รอรับคำอธิบายหรือคำแปลเป็นภาษาไทยที่ผู้รู้ย่อยมาให้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับว่า เราไม่เคยฝึกด้วยตัวเองสักที
เมื่อตะกี้ ผมให้ท่านเข้าไปลองหาเรื่องอ่านและฟังจากเว็บ e4thai.com ตอนนี้ผมขอแถมเว็บที่ท่านสามารถเข้าไปอ่านเนื้อหาไทย ๆ ได้ เนื้อหาพวกนี้อ่านแล้วคงจะรู้สึกคุ้นเคยมากกว่าเรื่องของต่างประเทศที่เรารู้จักน้อยกว่า
เว็บข่าวไทย
เว็บท่องเที่ยว
บล็อก/เว็บ ที่เขียนเกี่ยวกับเมืองไทย ในเรื่องราวต่าง ๆ
- Paknam Web Network (เว็บใหญ่ที่สุด เข้าไปแล้วคลิกเลือกบล็อกที่สนใจ)
- The Paknam Web Forums
- http://www.thai-blogs.com/ (ผู้เขียน 10 คน)
- http://www.thaitravelblogs.com/ (Richard Barrow)
- http://www.richardbarrow.com/ (Richard Barrow)
- https://www.lonelyplanet.com/thailand
- http://www.thaiphotoblogs.com/
- http://www.travelblog.org/Asia/Thailand/
https://www.facebook.com/En4Th
https://www.facebook.com/EnglishforThai