ทำยังไงถึงจะอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้โดยไม่ต้องแปล
สวัสดีครับ
สำหรับคนไทยโดยทั่วไป บ่อยครั้งก็แยกยากระหว่างการอ่านและการแปล
ถ้าเอาตามความรู้สึกส่วนตัว ผมขอแยกอย่างนี้แล้วกันครับ
การอ่าน:
เมื่อเราอ่านภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจ มันเป็นความเข้าใจที่เข้าใจไปเลย โดยสมองของเราไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทย เช่น ที่ประตูโบสถ์ตามวัดซึ่งมีคนต่างชาติไปเที่ยวเยอะ มีป้ายติดไว้ว่า Please take off your shoes. เมื่ออ่านเราก็เข้าใจทันทีเลยว่า เขาให้เราถอดรองเท้าก่อนเข้าโบสถ์ เราเข้าใจได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีประโยคภาษาไทย “ถอดรองเท้า” ปรากฏในสมอง หรือถ้าประโยคนี้จะปรากฏในสมองเรา มันก็ปรากฏหลังจากที่เราเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ต้องนึกเป็นภาษาไทยก่อนว่า “ถอดรองเท้า” ถึงจะเข้าใจ – นี่แหละครับคือการอ่าน
พอมาถึงตรงนี้ก็มี 2 คำถาม ที่เกี่ยวข้องกัน
คำถามที่ 1: จะฝึกอ่านอย่างไรให้สามารถอ่านและเข้าใจได้โดยไม่ต้องแปล หรือแปลน้อยที่สุด? คำถามนี้ตอบได้ง่ายมากครับ คือ เราต้องฝึกอ่านมานานพอสมควร และต้องอ่านเป็นประจำทุกวัน โดยเมื่อแรกฝึกจะต้องอ่านเรื่องที่ง่ายมาก ๆ ที่เราสามารถอ่านได้ไหลลื่น ถ้าตอนนี้ท่านเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 1 และรู้สึกว่าท่านอ่านตำราภาษาอังกฤษได้แย่มาก และที่ผ่านมาตอนเป็นนักเรียนชั้นประถมและมัธยม ท่านก็แทบไม่ได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษเลย ท่านอาจจะต้องย้อนไปเริ่มฝึกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษสำหรับชั้น ป.1 ซึ่งท่านน่าจะอ่านได้ลื่น แล้วก็ฝึกอ่านเพิ่มระดับมาเรื่อย ๆ โดยหยิบหนังสือของชั้น ป.2, ป.3, ป.4, ป.5, ป.6 และ ม.1, ม.2, ม.3, ม.4, ม.5, ม.6 ขึ้นมาอ่านตามลำดับ และอย่าลืมว่าต้องอ่านเป็นประจำ, ต้องอ่านทุกวัน
จุดที่ขอเน้นในเรื่องนี้ก็คือ ถ้าท่านฝึกอ่านเรื่องง่าย ๆ ที่ท่านเข้าใจได้ทันที มันก็จะลื่นไหลโดยท่านไม่ต้องแปลเป็นไทยในสมอง แต่ถ้าท่านอ่านเรื่องที่ยากเกินไป ที่ท่านเข้าใจไม่ได้ทันที สมองก็จะชะงักและพยายาม “แปล” เป็นภาษาไทย เพราะมันไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีเป็นภาษาอังกฤษ
ผมคิดว่า ถ้า ณ นาทีนี้ ท่านไม่สามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างไหลลื่น และต้องอ่านไป-แปลไปตลอดเวลา และแม้กระทั่งตอนที่จะพูดภาษาอังกฤษ ก็ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อนที่จะปั้นและเปล่งเป็นประโยคภาษาอังกฤษออกไป ถ้าท่านมีอาการอย่างนี้ ท่านไม่ต้องไปสะสางหาสาเหตุให้ปวดหัวหรอกครับ คิดเล่น ๆ ว่ามันเป็นเวรกรรมแต่หนหลัง หรือเป็นการบ้านที่ในอดีตลืมทำส่งครูก็ได้ และ ณ นาทีนี้ ก็start ใหม่เพื่อชดใช้กรรมหรือทำการบ้านย้อนหลังก็ได้ ขอให้ท่านเชื่อผมเถอะครับว่า ท่านทำได้ถ้าท่านฝึกใหม่ต่อเนื่องอย่างอดทน พยายาม และใจเย็น
คำถามที่ 2: ทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่สามารถอ่านและเข้าใจโดยไม่ต้องแปล? ถ้าอยากรู้คำตอบและการแก้ไข ขอให้กลับขึ้นไปอ่านคำถามที่ 1 ครับ
การแปล:
การแปลมี 2 อย่าง คือ
1- แปลเป็นภาษาไทยให้ตัวเองเข้าใจ การแปลอย่างนี้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ เพราะจะแปลยังไงก็ได้ให้ตัวเองเข้าใจก็แล้วกัน
2 – แปลเป็นภาษาไทยให้คนอื่นอ่านหรือฟัง การแปลอย่างนี้แหละครับที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้ภาษาไทยที่กระชับ ชัดเจน สวยงาม และสอดคล้องกับระดับและอารมณ์ของต้นฉบับ
ตอนนี้เราสนใจเฉพาะข้อ 1 ก็พอ คือแปลให้ตัวเอง ซึ่งก็ไม่ยากนักถ้าเราอ่านและเข้าใจ, →ซึ่งก็ไม่ยากนักถ้าเราฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ คืออ่านทุกวัน, โดยยอมเริ่มจากระดับง่าย ๆ ที่เราสามารถอ่านได้อย่างลื่นไหล, โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเสียเกียรติเพราะไปเอาหนังสือของลูกมาอ่าน แต่ท่านเชื่อผมเถอะครับ เราจะอ่านได้เก่งขึ้นเร็วกว่าลูก เมื่อเราฝึกอ่านอย่างนี้สม่ำเสมอ เราก็จะอ่านได้และแปลได้ แต่เราก็จะค่อย ๆ ลืมเรื่องการแปลไปเลย เพราะเราจะเข้าใจได้โดยไม่ต้องเสียเวลาแปล
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมมีความรู้สึกว่า ได้พาท่านผู้อ่านมาหยุดอยู่ที่ตีนเขา และผมก็บอกท่านผู้อ่านว่า นี่แผนที่ท่านรับไปเถอะครับ มันบอกเส้นทางการเดินขึ้นไปถึงยอดเขาอย่างชัดเจน ท่านเดินไปเถอะครับ รับรองว่าไม่หลงทางแน่ และถ้าท่านไม่หยุดเดิน (และไม่ย้อนกลับ) ท่านไปถึงยอดเขาแน่ ๆ
ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านแหละครับ ว่าจะเดินขึ้นไปหรือไม่ หรือเมื่อเดินขึ้นไปแล้ว จะหยุดเดินหรือย้อนลงมาหรือเปล่า
พิพัฒน์