Google WWW Blog e4thai www.e4thai.com

You are what you eat. - You learn what you read.

 eatLEARNสวัสดีครับ

       วันนี้วันอาทิตย์ผมอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน  ขออนุญาตนำเรื่องหนหลังสมัยเด็กมาคุยสัก 1 เรื่องนะครับ

       ตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถม  เมื่อก่อนนั้นเขามี “พุทธศาสตร์วันอาทิตย์”  คือโรงเรียนวัดที่ผมเรียนอยู่เขาจัดหาพระมาสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก ๆ ผมก็ไปเรียนกับเขาด้วย

       มีพระท่านหนึ่ง ท่านชอบพูดเรื่อง “มีเหมือนไม่มี 4 อย่าง” คือท่านสอนบ่อยมาก จนผมจำได้ขึ้นใจ สิ่งที่ท่านสอน มีสั้น ๆ ไม่กี่คำข้างล่างนี้ครับ

“มีเหมือนไม่มี 4 อย่าง คือ มีเงินให้เขากู้, มีความรู้อยู่ในตำรา, มีเมียไม่อยู่บ้าน, มีงานแต่ไม่ทำ”

       อันที่จริงสิ่งที่ท่านสอนนี้ ต่อมาผมก็เคยได้ยินคนอื่นสอนเหมือนกัน  แต่มันไม่ครบถ้วนคล้องจอง 4 วรรคอย่างที่ท่านสอน

       ผมเข้าใจว่า คำสอนพวกนี้มีรากมาจากสังคมไทยในอดีตกว่าร้อยปีที่ผ่านมา สรุปง่าย ๆ ก็คือ 4 อย่างนี้ถ้ามีแล้วไม่ทำอะไรกับมัน  หรือทำอย่างผิด ๆ มันก็เหมือนไม่มี   คือไม่มีประโยชน์แม้ว่าจะมีอยู่

  • มีเงินให้เขากู้ – คือกะจะรวยเพราะดอกเบี้ยเงินกู้  แต่ถ้าถูกเบี้ยวไอ้เงินที่มีก็เหมือนไม่มี
  • มีความรู้อยู่ในตำรา – มีหนังสือแต่ไม่อ่าน ต่อให้มีเต็มตู้ มันก็ไม่ช่วยให้เราฉลาดขึ้นมาได้
  • มีเมียไม่อยู่บ้าน  - สมัยก่อนที่ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ทำงานบ้าน โดยสามีออกจากบ้านไปทำงานตามเรือกสวนไร่นา แต่ถ้ามีเมียแล้วเมียไม่ยอมอยู่เฝ้าบ้านทำงานบ้าน เอาแต่ออกไปนั่นไปนี่ทั้งวัน อย่างนี้มีเมียก็เหมือนไม่มี
  • มีงานแต่ไม่ทำ – อันนี้เขาคงหมายถึงสามีซึ่งต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว  งานนั้นมีอยู่แต่ไม่ทำ มันก็เหมือนคนไม่มีงานทำเพราะไม่ยอมทำงานที่มี

       ณ วันนี้ผมเป็น webmaster แก่ๆ แล้วหวนนึกถึง  “มีเหมือนไม่มี 4 อย่าง”  ที่หลวงพ่อสอนสมัยเด็ก  อดคิดไม่ได้ว่า แม้บ้านเมืองและเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปมาก   แต่ปัญหาของคนก็ดูเหมือนจะซ้ำซากอย่างเดิม

       อย่างเช่นตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นตอนปลายเมื่อแรกเข้ามหาวิทยาลัย   คนไทยมีปัญหาว่า หาตำราหรือสื่อการเรียนภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ทุกวันนี้ปัญหานี้หมดไปแล้ว เพราะอินเทอร์เน็ตเข้ามาแก้ปัญหาให้

       แต่....  แต่ปัญหาเดิมที่เคยมีอย่างไร ก็คงมีอยู่อย่างนั้น

       อย่างเช่นการจะเก่งภาษาอังกฤษ  ถ้าเราพูดง่าย ๆ ว่า มันต้องมี 3 step คือ (1)สะสม (2)ศึกษา และ (3)success  แต่เท่าที่ผมเห็น คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังอยู่แต่ step ที่ (1) คือ สะสม เราสะสมไฟล์ ตำรา โปรแกรม หนังสือ สื่อการเรียน-การสอนภาษาอังกฤษไว้มากมาย

       แต่สะสมก็ยังอยู่แค่สะสม, ไม่เลื่อนไปเป็นการศึกษา, ไม่ล่วงไปถึงขั้น success

       ไอ้เรื่องการศึกษาภาษาอังกฤษนี่มันต่างจากการกินนะครับ ในเรื่องของการกินนั้น มันมีประโยคที่เราอาจจะได้ยินจนชินหู คือ You are what you eat. คุณเป็นอย่างที่คุณกิน คือ อาหารนี่มันไม่เหมือนหนังสือ เพราะของกินพอเราซื้อมาเราก็กินได้เลย และเราก็เป็นอย่างที่เรากิน  อ้วนหรือผอมก็เห็น ๆ กันอยู่

       แต่หนังสือ หรือไฟล์หนังสือ มันต่างกันโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้ You are what you buy หรือ You are what you download  คือต่อให้ซื้อหนังสือหรือดาวน์โหลดไฟล์ไว้มากมายมหาศาลปานใด มันก็เป็นเพียง step ที่ (1) คือสะสม มันมิได้ไหลไปโดยอัตโนมัติ เป็น step ที่ (2) คือศึกษา และ step ที่ (3) คือ success ถ้าเราไม่ทำมัน

       นี่แหละครับ ผมถึงได้บอกว่า “มีเหมือนไม่มี” สมัยก่อนกับสมัยนี้ มันไม่ต่างกันเลย

       ตอนที่คนไทยเพิ่งรู้จักอินเทอร์เน็ตใหม่ ๆ เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเองรู้สึกว่า คนไทยส่วนใหญ่คงจะใช้ประโยชน์ในการศึกษาอังกฤษจากอินเทอร์เน็ตได้ไม่เท่าไหร่ เพราะเราอ่านภาษาอังกฤษล้วน ๆ ไม่ค่อยได้ หรืออ่านได้แต่ก็ไม่รักที่จะลุยเข้าไปอ่าน แต่ต่อมาไม่นานก็เกิดเว็บไซต์สอนภาษาอังกฤษมากมายที่ webmaster ชาวไทยจัดทำขึ้น  

       ณ วันนี้ ผมมีความหวังเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวว่า ถ้าคนไทยที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ  ทำกับหนังสือเหมือนของกิน คือ ยึดหลัก You learn what you read. แล้วก็อ่านไม่หยุด เหมือนที่เรายึดหลัก You are what you eat. แล้วก็กินไม่หยุด นั่นแหละครับ เราจึงจะไปได้ครบ 3 step คือ คือ (1)สะสม (2)ศึกษา และ (3)success 

พิพัฒน์

This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

Google
Search WWW Search Blog e4thai Search www.e4thai.com