ความสำเร็จเริ่มที่ใจซึ่งเชื่อมั่นในตัวเอง
สวัสดีครับ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนยากเท่าใจที่ไม่ยอมเปลี่ยน แต่หากทำอะไรไม่สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องเปลี่ยนยิ่งไปกว่าใจ
คนทั่วไปในโลกทุกวันนี้ขยันเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น ด้วยตัวช่วยคืออินเทอร์เน็ตทำให้การเรียนง่ายขึ้น เมื่อ 7 ปีที่แล้วผมจึงทำบล็อก “เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านเน็ต” เพราะเชื่อว่าเน็ตช่วยได้ ณ วันนี้ผมก็ยังเชื่อเหมือนเดิมว่าเน็ตช่วยได้จริง ๆ แต่สิ่งที่ประจักษ์ก็คือ เน็ตเป็นเสมือนเทพเจ้าเฮอร์คิวลิสในนิทานอีสปที่ช่วยเฉพาะคนที่ช่วยตัวเอง มีบทเรียนมากมายมหาศาลในเน็ตที่เป็นอัครมหาห้องสมุดให้คนเข้าไปใช้ฟรี แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าคนไทยยังได้รับประโยชน์จากห้องสมุดโลกที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงแห่งนี้น้อยเกินไป
นี่ตัดสินจากรายงานการศึกษาต่าง ๆ ที่ได้ยินได้อ่าน, จากเพื่อนฝูงที่รู้จัก, และจาก feedback ที่ได้รับในเว็บ ผมพยายามอธิบายให้ตัวเองฟังถึงสาเหตุด้านลบเรื่องนี้ และขอนำมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่าน
[1]ภาษาอังกฤษมีประโยชน์และจำเป็นต่อทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า
ดูเหมือนว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่ซึ้งถึงประโยชน์ข้อนี้ ผมขอยกตัวอย่างย้อนยุคตามประสาคนแก่อย่างนี้ครับ สมัยอยู่ชั้นมัธยมคนรุ่นผมก็จะเลือกเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ คนที่เรียนสายศิลป์จะมี 2 กลุ่มย่อย คือ 1)พวกที่เรียนสายวิทย์ไม่ไหว 2)พวกที่ชอบภาษา(อังกฤษ) เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนจนจบออกมาได้งานทำ ดูเหมือนว่าพวกเรียนวิทย์ที่อ่อนหรือเกลียดอังกฤษ ก็สามารถมีชีวิตการทำงานที่ไม่ต้องยุ่งกับมัน และเอาดิบเอาดีได้โดยไม่ต้องสปี๊กอิงลิช นี่ผมกำลังเล่าความจริงสมัยโบราณให้ท่านฟัง
แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว คุณที่เป็นนักศึกษารุ่นใหม่ไม่ว่าจะเรียนสายใด คุณต้องอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจและพูดได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตการทำงานที่ก้าวหน้าของคุณอาจจะไม่โชติช่วงเท่าที่ควร และการหาความรู้ก็ทำได้จำกัด ส่วนคนรุ่นเก่าถ้าคุณเป็นผู้บริหารในออฟฟิศ ถ้าเวลาที่ต้อนรับฝรั่งคุณพูดได้แค่ Nice to meet you. และ Yes, No, Hello, OK ก็คงไม่สง่างาม และอาจจะต้องตามหลังรุ่นน้องที่สง่างามกว่าซึ่งเพิ่งมาใหม่
การอ่านก็สำคัญไม่แพ้การพูดแม้จะ show off ไม่ได้ เพราะการอ่านภาษาอังกฤษคือเข้าถึงความรู้ที่กระจายอยู่ทั่วโลก แต่น่าแปลกที่เมื่อพูดถึงภาษาอังกฤษเรามักได้ยินเฉพาะเรื่องการสนทนา มันชวนให้สงสัยว่า ทุกวันนี้ตามหน่วยราชการต่าง ๆ ซึ่งมีคนจบปริญญาทั้งนั้น เขาได้เข้าไปดึงความรู้ที่เป็นภาษาอังกฤษในเน็ตออกมาใช้ปรับปรุงงานเพื่อประชาชนมากน้อยเพียงใด
ถ้าความก้าวหน้าคือการสู้รบที่ต้องใช้อาวุธ เราคนไทยจำนวนไม่น้อยก็กำลังรบด้วยมือเปล่า ในขณะที่คู่ต่อสู้มีภาษาอังกฤษเป็นอาวุธครบมือ ผลการรบเป็นอย่างไรคงไม่ต้องเดา แต่ถ้าในวันนี้เริ่มสะสมและซ้อมมือ โอกาสชนะย่อมมีแน่ ๆ
[2]เราเรียนภาษาอังกฤษเพื่อตัวเอง ลูกหลาน และประเทศไทย
ถ้าท่านมีลูก ท่านสอนลูกด้วยวิธีใดให้รักการเรียนภาษาอังกฤษ หรือท่านไม่ได้สนใจเรื่องความรัก ท่านสนใจเฉพาะแต่เรื่องความเก่งซึ่งหมายถึงการสอบผ่านได้เกรดสูง เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ เด็กไทยที่ได้เกรด A วิชาภาษาอังกฤษ อาจจะไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการพูดและอ่านในชีวิตการทำงานจริง ๆ เพราะการบ้านที่ครูให้กับงานที่หัวหน้าให้มันไม่เหมือนกัน ความเก่งในห้องเรียน อาจกลายเป็นความอ่อนแอและการละเลยภาษาอังกฤษเมื่อพ้นวัยนักศึกษา แต่ความรักนั้นยืนยงทนฟ้าทนดิน ท่านควรทำให้ลูกหลานของท่านรักภาษาอังกฤษ เพื่อให้เขาใช้ความรักสร้างความเก่ง แต่ถ้าท่านทำให้เขาเก่งโดยไม่มีความรัก เขาคงเก่งได้ไม่นาน
วิธีที่ดีที่สุดที่จะให้ลูกหลานรักภาษาอังกฤษ คือท่านต้องเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ไม่ใช่แบบอย่างของความเก่ง แต่เป็นแบบอย่างของความรัก (ฉันทะ), ของความพยายาม (วิริยะ), ของความตั้งใจมั่น (จิตตะ) และของความขวนขวายหาสิ่งที่ดีกว่า (วิมังสา) ทำให้เขาประทับใจในเรื่องนี้ของท่านในการฝึกภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษให้เขาเห็นและเรียนกับเขา, สอนภาษาอังกฤษเขาหรือให้เขาสอน นี่คือความรักในภาคปฏิบัติที่ท่านสามารถให้แก่ลูกหลาน โดยท่านไม่จำเป็นต้องเก่ง
ไม่ต้องพูดต่อก็พอสรุปได้ว่า ถ้าทุกครอบครัวเป็นอย่างนี้ ทั้งประเทศจะเป็นอย่างไร ในขณะที่เราทำเพื่อตัวเองและเพื่อลูกหลานที่เรารัก เราก็ได้ทำเพื่อประเทศชาติด้วย เพราะเรากำลังทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศของคนเก่ง
[3]การเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองคือกระแสโลกที่อาจจะฝืนกระแสใจคนไทยหลายคน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดค่อนข้างยาก คือการศึกษาของไทยตั้งแต่โบราณกาล คือการเรียนกับครู จนเมื่อปี พ.ศ. 2514ได้กำเนิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปี พ.ศ.2521ได้กำเนิดมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นตลาดวิชาโดยไม่ต้องสอบเข้า นักศึกษาถ้าไม่ได้ไปเข้าเรียนตามชั้นเรียนที่กำหนดก็สามารถอ่านตำราเรียนและเรียนกับสื่อวิทยุ-โทรทัศน์อยู่กับบ้านได้ การเรียนแบบนี้ฉีกแนวประเพณีการเรียนที่ครูกับศิษย์ต้องเจอกันตัวเป็น ๆ เฟสทูเฟส โดยส่วนตัวผมเห็นว่าอุดมการณ์อันหนึ่งของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ : ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" สะท้อนวิธีการเรียนที่ครูกับศิษย์ไม่เจอหน้ากันได้ดีที่สุด นักศึกษาซึ่งสามารถมีความรู้เรียนจนจบได้ต้องขยันเป็นพิเศษ คือต้องมีอิทธิบาท ๔ ครบทุกข้อ
ผมกำลังจะบอกว่า การเรียนด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่คนไทยหลายคนทำใจไม่ได้ และไม่ถนัด มีคนจำนวนไม่น้อยที่เรียนไม่จบ บางคนเปลี่ยนที่เรียน เพราะจะได้เรียนแบบเจอหน้าครู โอกาสเรียนจบมีมากกว่า
แต่การเรียนภาษาอังกฤษกับเน็ต ถ้ามองในแง่นี้ต้องถือว่า “ยากสุด ๆ” เพราะสาเหตุอย่างน้อย 2 ข้อนี้
{1}คนไทยจำนวนไม่น้อย ภาษาอังกฤษ “ไม่แข็งแรง” แม้จะเรียนจบวิชาภาษาอังกฤษมาได้ ก็อยู่ในลักษณะล่อแล่หมดแรงไร้สภาพ ถ้าเข็นให้ไปเรียนกับเน็ต มันอาจจะคล้ายกับเอาคนเพิ่งฟื้นไข้ไปวิ่งมาราธอน คำเปรียบเทียบอย่างนี้อาจจะเกินเลยไปบ้าง แต่มันก็ทำนองนี้แหละ
{2} นักเรียนนักศึกษาไทย เคยชินกับการให้ครูบอก, ให้ครูสอน, ให้ครูมอบการบ้าน, ให้ครูเฉลยการบ้าน, ให้ครูพูดเสริมกำลังใจ, ให้ครูแก้ปัญหาให้, ให้ครูเสนอแนะทางออก ฯลฯ พอไม่มีครูก็เหมือนโลกมืด
การเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย นอกจากมีครูแล้วยังมีเพื่อน ๆ หลายอย่างที่ได้จากครู ก็ยังได้จากเพื่อนอีกด้วย
แต่การเรียนภาษาอังกฤษกับเน็ต ไม่มีทั้งครูและเพื่อน ทุกอย่างต้องพึ่งตัวเอง และในความเห็นของผม ทักษะในการเรียนแบบพึ่งตัวเองเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาไทยไม่ได้สอนเด็กอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คำศัพท์ 2 คำนี้ คือ DIY – Do It Yourself และ Self-Study เป็นศัพท์ใหม่มาก ๆ สำหรับคนไทย หลายคนแม้จะได้ยินมานานแต่ก็ไม่ได้ฟัง
จากประโยชน์และปัญหาที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมจึงเชื่อว่าสิ่งแรกที่ต้องทำ คือปรับเปลี่ยนใจในการเรียนภาษาอังกฤษ
คือว่า...
เมื่อมองย้อนหลังเราก็เห็นว่า มีปัญหามากมายที่ทำให้คนไทยซึ่งอาจจะรวมเราด้วยคนหนึ่ง ไม่เก่งภาษาอังกฤษ และไม่มีความสามารถในการเก่งภาษาอังกฤษ แต่ผมกำลังจะบอกท่านว่า อย่ายอมให้ปัญหามาทำให้ท่านท้อ ขอเพียงท่านปรับเปลี่ยนใจ ก็ไม่มีสถานที่ใดซึ่งไกลเกินเดินทางถึง เราเห็นชัดอยู่แล้วว่า ภาษาอังกฤษมีประโยชน์อย่างมหาศาล และเน็ตก็มีอยู่พร้อมให้เราหยิบฉวยมาใช้ในการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อคนทั้งโลกเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้
ไม่มีอะไรเปลี่ยนยากเท่าใจที่ไม่ยอมเปลี่ยน แต่หากทำอะไรไม่สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องเปลี่ยนยิ่งไปกว่าใจ
ถ้าท่านต้องการก้าวต่อไป ท่านต้องเปลี่ยนใจว่าท่านทำได้ เมื่อท่านเปลี่ยนใจให้เชื่อว่าท่านสามารถ ท่านก็จะสามารถอย่างที่ใจท่านเชื่อ แต่ถ้าท่านยังปักใจว่าท่านทำไม่ได้ ท่านก็จะไม่ทำและก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจท่านปักไว้
ความสำเร็จเริ่มที่ใจซึ่งเชื่อมั่นในตัวเอง
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.