วิธีส่วนตัวที่ผมใช้ฝึกพูดภาษาอังกฤษ

ptoon

สวัสดีครับ

       ถ้าท่านให้ Google ช่วยหา วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษ ก็จะพบว่ามีคนแนะนำไว้มากมายอ่านไม่หวาดไม่ไหว

       ผมเองเคยพูดไว้บ้างแล้วในเว็บนี้ เป็นคำแนะนำที่ผมแนะคนอื่นที่ผมเห็นว่าน่าจะใช้ได้ แต่วันนี้ผมจะพูดถึงวิธีที่ผมใช้เอง  แต่ก่อนที่จะตรงไปยังจุดนั้น ขออนุญาตให้ผมพูดเกริ่นอะไรสักเล็กน้อยนะครับ

      คือเรื่องการพูดภาษาอังกฤษนี่น่าจะเป็นปัญหาจริง ๆ แม้แต่พวกที่จบนอก, หรือเรียนโรงเรียนหรือหลักสูตรอินเตอร์ ถ้าไม่ได้พูดอยู่เป็นประจำ  พอจะพูดก็ไม่คล่องเหมือนเดิม  หรือถึงขั้นพูดไม่ออกเอาเลย  แล้วพวกเราล่ะที่เรียนภาษาอังกฤษมาอย่างขลุกขลัก   แถมไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นประจำอีกด้วย พอถึงเวลาที่ต้องพูด จะให้พูดคล่องคงทำไม่ได้ หรือแค่ให้พอพูดได้ก็ยังไม่ค่อยจะได้ น่าเศร้าจัง!!

      แต่ท่านอย่าเพิ่งหมดหวังอย่างนั้นเลยครับ  หนทางมีอยู่ถ้าเราเดิน   และเส้นทางที่เราลงทุนเดินนี้ ย่อมคุ้มค่าและได้กำไรเสมอ   

ผมขอเริ่มเลยนะครับ

ptoon

     ถ้าไม่มีครูสอน การฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง มี 2 อย่าง และเราต้องทำทั้งคู่  ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้  คือ 1) ตอนที่อยู่หน้าคอมฯ  และ 2)ตอนที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมฯ

1) ตอนที่อยู่หน้าคอมฯ

       เราต้องบรรจุข้อมูลเข้าไปในตัวเรา  ผ่านการอ่านและฟังเรื่องง่าย ๆ ให้มันซึมและเข้าใจไปทีละน้อย และก็ค่อย ๆ ขยับให้ยากขึ้นตามลำดับ  แต่อะไรล่ะที่ง่าย สิ่งนี้ท่านต้องลงทุนหาเอง เพราะคนที่รู้ใจและรู้จักท่านดีที่สุดก็คือตัวท่านเอง

แต่ถ้าจะให้ผมหาบทเรียนง่าย ๆ เผื่อให้ท่านลองเลือก  ก็อยู่ที่ลิงค์นี้ครับ บทฝึกเตรียมพูดภาษาอังกฤษ

       บทฝึกหน้าคอมฯ นี้  เมื่อเรียนอย่างตั้งใจ มันจะเป็นเสมือนครูให้เรา “เลียนแบบและเรียนรู้”   ในเรื่องภาษา ตอนเริ่ม เราหลีกเลี่ยงการเลียนแบบไม่ได้หรอกครับ เมื่อเราเลียนแบบเราก็จะเรียนรู้ เมื่อเราเรียนรู้แล้ว  เราจะเลิกเลียนแบบก็ได้

       บทเรียนหน้าคอมฯ นี้ ขอให้เข้ามาเรียนทุกวัน ในระยะแรกของการเลือกบทเรียนด้วยตัวเอง ก็อาจจะสะเปะสะปะบ้าง  ท่านอาจจะถามว่า ควรเลือกเรียนอะไรก่อน-อะไรหลัง,  อะไรมาก-อะไรน้อย ก็ขอตอบว่า นี่เรากำลังเตรียมตัวเพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้ ฉะนั้น บทเรียนอะไรที่เรียนแล้วช่วยให้พูดได้ก็เรียนเข้าไปเถอะ  ถ้าเรื่องใดท่านรู้มากแล้วก็เรียนน้อยหน่อย  ถ้าเรื่องใดท่านยังรู้น้อยก็ต้องเรียนมาก ท่านต้องรู้จักตัวเองดีว่า ควรจะเรียนอะไร-เท่าไร-เวลาใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านต้องเรียนทุกวัน

       พอมาถึงตรงนี้ผมขอติงสักนิด  มีหลายคนที่ขยันดาวน์โหลดไฟล์แต่ขี้เกียจเรียนกับไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแล้ว    น่าเสียดายเวลาที่เสียไปกับการดาวน์โหลด

2)ตอนที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมฯ

       คราวนี้ก็มาถึง การนำความรู้ที่ได้จากหน้าคอมฯ เอาไปใช้ฝึกพูดตอนที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมฯ  จะฝึกยังไง?

อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านก็อาจจะเริ่มเดาแล้วว่า   เมื่อเป็นการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเองซึ่งไม่มีครูคอยแนะ ผมก็คงจะแนะนำให้ดึงหัวข้อหรือประโยคการสนทนาออกมาฝึกพูดคนเดียว ซึ่งท่านอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดในโลก 

ptoon

ผมขอบอกว่า ผมก็จะแนะนำอย่างที่ท่านนึกนี่แหละครับ และอย่างอื่นด้วย  ท่านฟังไปตามลำดับแล้วกันครับ

[1] ขอให้ท่านออกจากบ้าน  แต่งตัวสบาย ๆ เหมือนกับท่านจะไปเดินออกกำลังกาย สวมรองเท้าชนิดที่ท่านสามารถเดินติดต่อกันได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าใกล้บ้านของท่านมีสนามออกกำลังกาย  ก็ให้เดินไปที่นั่น, แต่ถ้าไม่มีก็ให้ไปยังสนามอื่น  ท่านจะขับรถส่วนตัวหรือนั่งรถสาธารณะไปก็ตามใจท่าน

[2] เมื่อไปถึงสนามนั้นแล้ว ขอให้ท่านเดินรอบสนาม โดยจับเวลาเมื่อเริ่มเดิน ท่านต้องเดินติดต่อกันประมาณ 1 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องครึ่งชั่วโมง และขณะที่เดินนี้ ก็ให้ท่านฝึกพูดภาษาอังกฤษไปด้วย

[3] ก่อนที่ผมจะพูดถึงรายละเอียดในการฝึกพูดขณะที่เดิน ผมขอตอบข้อสงสัยในใจของบางท่าน   ทำไมต้องกะเกณฑ์ให้มาเดินพูด  ขอฝึกพูดอยู่คนเดียวในห้องนอนที่บ้านไม่ได้หรือ? ขอเรียนว่าได้ครับ แต่ผลดีสู้ไม่ได้เลยกับการมาเดินพูดที่สนามออกกำลังกายนี้   การที่เดินไปพูดไปนี้  สมองของท่านจะถูก activate ให้ทำงานอย่างเร่งเร้าและรุนแรงมากกว่านั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง ยิ่งเมื่อท่านเดินไปเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออกนิด ๆ สมองของท่านจะปราดเปรียวยิ่งขึ้น  ท่านจะมีสมาธิในการฝึกพูดโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ

[4] เดินไป-พูดไป จะให้พูดเรื่องอะไรคำถามนี้มี 2 คำตอบ คือ (1) พูดเรื่องที่เตรียมมา (2) พูดเรื่องที่ไม่ได้เตรียมมา

[4.1] พูดเรื่องที่เตรียมมา - -หมายความว่า ก่อนออกมาจากบ้าน ขอให้ท่านเตรียมกระดาษแผ่นเล็ก ๆ สัก 1 แผ่นพกใส่กระเป๋าเสื้อ   ในกระดาษนี้ขอให้ท่านจดหัวข้อใหญ่ที่จะพูดพร้อมทั้งหัวข้อย่อย จะจดเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้   หัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยที่เขียนใส่กระดาษมานี้   ขอให้เป็นเรื่องที่ท่านรู้และคุ้นเคยมากที่สุด

[4.2] พูดเรื่องที่ไม่ได้เตรียมมา - - หมายความว่า ท่านนึกอยากพูดเรื่องอะไรก็พูดเรื่องนั้นได้เลย เช่น ขณะที่เดินไปสายตาท่านเห็นอะไร  หูท่านได้ยินเสียงอะไร ก็เอาเรื่องนั้นมาพูดได้, หรือท่านจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต, พูดถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต, พูดถึงคนที่ท่านรู้จักเป็นการส่วนตัว, พูดถึงคนดังหรือบุคคลสาธารณะที่ท่านไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว, พูดถึงสถานที่ที่ท่านเคยไปเที่ยวมาแล้ว, หรือพูดถึงสถานที่ที่ท่านยังไม่เคยไปแต่อยากไป  สรุปก็คือ ท่านนึกอยากจะพูดเรื่องอะไรก็พูดเรื่องนั้นได้เลย  ประเด็นสำคัญก็คือ ท่านต้องนึกเรื่องที่จะพูดให้ออก  แต่ถ้าท่านนึกไม่ออกท่านจะต้องนึกให้ออก  ขณะที่เดินนี่แหละ

[5] ท่านมีสิทธิทุกวินาทีที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด  แต่ละเรื่องท่านจะพูดเพียงประโยคเดียวก็ได้  ไม่เป็นไร เรื่องใดที่พูดแล้วเบื่อก็เลิกพูด หันไปพูดเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ

ptoon

คราวนี้มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือจะพูดยังไงขอแนะนำให้ท่านฝึกพูดยังงี้ครับ

[1] ห้ามพูดในใจ - - ขอให้พูดเปล่งเสียงออกมา จะดังหรือค่อยก็แล้วแต่ความเหมาะสม   ตอนที่เดินผ่านผู้คนก็อาจจะเบาหน่อย ตอนไม่ผ่านใครจะพูดดังขึ้นนิดก็ได้ แต่ขอย้ำว่า พูดมีเสียงดังอย่างน้อยให้ตัวเองได้ยิน

[2] อย่าหยุดพูดนานเกินไป – ให้นึกเปรียบเทียบในใจว่า ขณะนี้มีคนเอาเหรียญสิบมากองให้ท่าน  ท่านจะหยิบไปสักกี่เหรียญก็ได้ แต่ทุกเหรียญที่เอาไปจะต้องหยอดใส่กระปุกออมสิน ท่านหยอดมากท่านก็เอาไปได้มาก  ท่านหยอดน้อยท่านก็เอาไปได้น้อย  ท่านไม่หยอดท่านก็เอาไปไม่ได้ คนให้เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าท่านหยอดด้วยท่าทางที่สง่างามหรือเงอะงะ   การหยอดเหรียญก็คือการฝึกพูด ขอให้หยอดหรือพูดชนิดเอาปริมาณก่อน เมื่อทำบ่อย ๆ คุณภาพจะตามมาเอง  ถ้าหยอดน้อยหรือพูดน้อยก็จะได้น้อย ถ้าไม่ยอมหยอดหรือไม่ยอมพูด  ก็จะไม่ได้อะไรเลย ไม่ว่าจะปริมาณหรือคุณภาพ

[3]ไม่ต้องรีบพูด - ผมแนะว่าท่านอย่าหยุดพูดนานเกินไป แต่เมื่อพูดออกมาท่านก็ไม่จำเป็นต้องรีบ ท่่านพูดช้าได้ตามใจชอบ  ท่านไม่ต้องกลัวว่าคนฟังจะรำคาญเพราะรอนานกว่าท่านจะพูดจบคำหรือจบประโยค, ท่านตัดความกังวลทำนองนี้ออกไปได้เลยครับ  ท่านจะค่อย ๆ เปล่งเสียง, ค่อย ๆ pronounce, ช้าขนาดไหนก็ทำได้ตามสะดวกครับ, และเมื่อคำใด-ประโยคใด ท่านแน่ใจในการพูด ท่านก็จะพูดได้เร็วขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีใครมาเร่ง 

[4] พูดเป็นประโยค เป็นวลี, หรือเป็นคำเดี่ยวก็ได้ ไม่ต้องไปซีเรียส – เรามักถูกสอนว่าให้พูดเป็นประโยค  แต่ในการเดินฝึกพูดด้วยตัวเองนี้ ถ้าพูดเป็นประโยคไม่ได้ จะพูดครึ่งประโยคหรือเป็นวลีก็ได้,  ถ้าวลีก็ยังพูดไม่ได้ก็พูดเป็นคำ ๆ แล้วกัน  ยกตัวอย่างเช่น

-ท่านจะพูดว่า “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมากมายนัก” ถ้าเรานึกประโยคทำนองนี้ไม่ออกคือ “I don’t know much about the constitution.”  จะพูดว่า Don’t know constitution. หรือ Constitution, don’t  know. และถ้านึกยังไงก็นึกศัพท์ภาษาอังกฤษของคำว่า “รัฐธรรมนูญ”   ไม่ออก, ก็ให้พูดทำนองนี้ว่า “I don’t know รัฐธรรมนูญ in English. I will open my dictionary.”อย่างนี้เป็นต้น

-ถ้าเราจะพูดถึงประวัติส่วนตัว อย่างเช่น  “ฉันเกิดที่จังหวัดอยุธยา เรียนหนังสือจบที่เชียงใหม่  ตอนนี้ทำงานที่กรุงเทพ

เราจะพูดว่า ฉันเกิดที่จังหวัดอยุธยา แต่นึกประโยค I was born in Ayutthaya. ไม่ออก ก็ให้พยายามเลี่ยงพูดอย่างอื่นที่ความหมายคล้าย ๆ กัน   ท่านอาจจะนึกภาพว่า ท่านกำลังเข้าสอบสัมภาษณ์งาน ก็ต้องพยายามตอบอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป  ไม่ใช่เงียบ เช่นอาจจะพูดง่าย ๆ ว่า I came from Ayutthaya. หรือ My home is in  Ayutthaya. อะไรทำนองนี้  เพราะฉะนั้น ทั้ง 3 ประโยค อาจจะพูดง่าย ๆ ว่า I came from Ayutthaya. I study in Chiangmai. I now work in Bangkok.  อะไรทำนองนี้ หรืออะไรที่มั่ว ๆ บ้างก็ได้

[5] ประโยคที่ท่านฝึกพูดออกมานั้น ท่านพูดแล้วแก้  พูดใหม่แล้วแก้อีก  ออกเสียงใหม่ แต่งประโยคหรือเปลี่ยนศัพท์ใหม่ หรือประโยคเดียวพูดซ้ำหลายเที่ยว ฯลฯ  ท่านทำได้ตามสะดวกเลยครับ ขออย่างเดียว เมื่อนึกไม่ออกอย่าหยุดนาน ท่านนึกดัง ๆ ออกมาเป็นเสียงก็ได้ครับ แต่ขอให้เสียงนึกนั้นเป็นภาษาอังกฤษ แม้มันจะเป็นภาษาอังกฤษที่แตก ๆ หัก ๆ ก็ย่อมดีกว่าไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย

[6] ถ้าแต่งประโยคไม่ออก  ก็เอาคำมาเรียง ๆ กันก็ได้ครับ เช่น “กรุงเทพมหานครมีประชากรกว่า 10 ล้านคน และมีรถส่วนตัวกว่า 800,000 คัน” ถ้าประโยคนี้แต่งเป็นภาษาอังกฤษยาก ก็เอาศัพท์ที่ท่านพอรู้มาต่อ ๆ กันก็ได้ครับ เช่น Bangkok ten million people, eight hundred thousand cars. อะไรทำนองนี้

[7] หรือท่านอาจจะกล้าสักนิด ลองเล่านิทานเรื่องยาว ให้สั้นหรือห้วนที่สุด ขณะที่เดินไปรอบ ๆ สนามออกกำลังกายก็ได้ เช่น  เรื่องกระต่ายวิ่งแข่งกับเต่า

There were a turtle(เต่า) and a rabbit(กระต่าย).

The rabbit said that the turtle walked very slowly.

The turtle asked the rabbit to run tomorrow.

Who will win?

The rabbit said OK.

In the morning, the rabbit ran and slept.

The turtle walked and walked and walked, and he won.

ตัวอย่างนี้ ผมใช้ verb ที่เป็น past tense (ช่อง 2)  แต่ท่านไม่ต้องกังวลหรอกครับ ตอนท่านฝึกพูด ท่านจะใช้ verb ช่อง 1 ก็ตามสบายไปก่อนก็ได้ครับ

[8] ถ้ายังไม่หมดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ตั้งใจเดินแล้วพูด แต่อยากจะหยุดฝึกพูด ขอให้ท่านอย่ายอมแพ้ตัวเองครับ นึกในใจว่ายังไงก็ไม่ยอม วิธีที่ดีที่สุดยามที่เบื่อและขี้เกียจกะทันหัน คือ นึกถึงเรื่องที่ท่านสนใจที่สุด   เรื่องที่เร้าใจท่านที่สุด และพูดอะไรก็ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้นออกมา จะพูดแค่ประโยคเดียวก็ได้  และขอบอกว่า ถ้าท่านสามารถพูดให้จบประโยคแรกได้ การต่อด้วยประโยคที่สองก็ไม่ยาก แม้ว่าประโยคเดียวนี้จะพูดแล้วแก้,แก้แล้วพูด หลายครั้งหลายหนก็ไม่เป็นไร

ptoon

เมื่อหมดเวลาที่ตั้งใจไว้ คือ 1 ชั่วโมง ขอให้ท่านปรบมือให้ตัวเอง ที่ไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องง่าย ๆ ที่ยากเช่นนี้  และถ้าท่านสังเกตก็จะพบว่า ท่านได้พัฒนาขึ้นแล้ว เช่น

[1] ท่านรู้แล้วว่า ศัพท์อะไรที่ท่านน่าจะรู้แต่นึกไม่ออก พอไปอยู่ที่หน้าคอมฯ  ก็จัดการหาซะเลย              

[2] เมื่อลงเดินครั้งใหม่ ถ้าพูดเรื่องเดิม  ท่านก็จะพูดได้ดีขึ้น ยาวขึ้น

[3] ตอนอยู่หน้าคอมฯ   อย่าลืมฝึกฟัง  ฟังอะไรก็ได้ที่ง่ายและท่านเข้าใจได้ หูกับปากนั้นเป็นพี่น้องกัน  ถ้าหูฟังได้ปากก็พอพูดได้ แต่ถ้าไม่ยอมฝึกให้หูได้ฟัง พอถึงเวลาจะพูดออกเสียงปากก็พูดได้ยาก เปรียบเทียบง่าย ๆ อย่างนี้ครับ สิ่งที่หูได้ฝึกฟังคือกระสุน สิ่งที่ปากจะพูดคือไกปืน ถ้าไม่เติมกระสุนถึงลั่นไกปืนลูกก็ไม่ออก

       สิ่งที่ผมคุยกับท่านตั้งแต่ต้นจนถึงบรรทัดนี้ ผมพูดด้วยหัวใจจริงเต็มร้อย  อาจจะตก ๆ หล่น ๆ ผิด ๆ พลาด ๆ ไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วย  แต่ผมเชื่อว่า  เราทุกคนทำได้ถ้าพยายาม  อาจจะไม่ perfect แต่เชื่อว่าเราสามารถฝึกจนพูดใช้งานได้ ถ้าเราไม่ท้อและไม่หยุดฝึก

 

       ผมขอตัวก่อนนะครับ จะออกไปเดินออกกำลังกายและฝึกพูดที่รอบสนามบอลฯใกล้ ๆ บ้านนี่แหละครับ

พิพัฒน์

This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.