Articles
Tense exercise 30 หัวข้อ ที่น่าทำ ไม่น่าเบื่อ
สวัสดีครับ
ที่ลิงก์นี้ เมื่อเข้าไปแล้ว ให้ดูด้านซ้ายมือ ท่านจะเห็นหัวข้อเกี่ยวกับ tense ทั้ง past – present – future และหัวข้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ประมาณ 30 หัวข้อ
http://english-grammar-lessons.com/index.html
และเมื่อคลิกเข้าไปที่หัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ด้านซ้ายมือจะเป็นคำอธิบายสั้น ๆ กระชับ ไม่ยืดยาว ส่วนด้านขวามือจะมีหลาย exercise ให้ฝึกทำ
Exercise เหล่านี้แหละครับที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ เพราะว่า exercise ทั่วไปที่เจอบ่อย ๆ มักจะเป็นแบบ multiple choice A B C D
แต่ exercise ที่ลิงก์นี้จะเป็นแบบ interactive โดยให้เราใช้เมาส์ลากหรือเขียนเพื่อ...
- จับคู่,
- จัดพวก,
- เรียงลำดับคำให้เป็นประโยค,
- rewrite ประโยคที่ให้มา,
- ลากคำหรือกลุ่มคำไปเติมในช่องว่างเพื่อทำประโยคให้สมบูรณ์,
- นำ verb ช่อง 1 ไปเติมในช่องว่างของประโยคตาม tense ที่กำหนด,
- ให้เราบอกว่าประโยคที่ให้มาเขียนถูกหรือผิด
- ฯลฯ
exercise ลักษณะนี้น่าสนุกครับ
เมื่อทำครบทุกข้อแล้ว
♦ให้คลิก ที่ด้านล่างเพื่อดูข้อที่ทำถูกต้อง
♦และคลิก เพื่อดูเฉลย
พิพัฒน์
เกมพัฒนาคำศัพท์หลายเกม สนุก ๆ ทั้งนั้น
สวัสดีครับ
ที่ลิงก์นี้
มีเกมพัฒนาคำศัพท์หลายเกม สนุก ๆ ทั้งนั้น
โปรดสังเกต เกมที่มีไอคอนรูปลำโพง จะมีเสียงคำศัพท์
ผมขอแนะนำสัก 2 เกม
[1] เกม Vocabulary
http://www.digitaldialects.com/English/Vocabulary.htm
http://www.digitaldialects.com/English/Vocabulary2.htm
[2] เกม Verb
http://www.digitaldialects.com/English/Verbsinfinitive.htm
ยังมีให้เล่นอีกเยอะครับ ที่นี่ ---> คลิก
พิพัฒน์
เกม Word invasion - ทดสอบ part of speech สนุกมาก!
สวัสดีครับ
เกมนี้ชื่อว่า Word invasion ซึ่งจะทดสอบว่า เรารู้จัก part of speech ดีแค่ไหน มองปุ๊บรู้ปั๊บเลยหรือเปล่า
part of spccch คือ คำ 8 ประเภทในภาษาอังกฤษ ได้แก่ noun(นาม), pronoun(สรรพนาม), verb(กริยา), adjective(คุณศัพท์), adverb(กริยาวิเศษณ์), preposition(บุพบท), conjunction(สันธาน) และ interjection(อุทาน) แต่เกมนี้จะมีเฉพาะคำ 6 ประเภทแรกให้เล่น
เข้าไปที่ลิงก์นี้
http://www.slimekids.com/games/grammar-games/grammarfiles/invasion.swf
♦ทางด้านซ้ายมือ ในเกมมีคำทั้งหมด 6 ประเภทให้ท่านเล่น แต่ท่านจะติ๊กเอาคำบางประเภทออกก็ได้
♦ทางด้านขวามือ เป็น speed ของการเล่น เมื่อเริ่มเล่นครั้งแรกถ้ากลัวเล่นไม่ทัน จะติ๊ก SLOW ก็ได้
เมื่อเริ่มเล่น หน้าตาจะออกมาอย่างข้างล่างนี้
◊ที่ปลาหมึกยักษ์มีคำประเภทใด ก็ใช้เมาส์คลิกคำนั้นที่กำลังหล่นลงมา อย่างในตัวอย่างนี้ มีคำ ADJECTIVE อยู่ 2 คำ คือ Tall กับ Soft ท่านก็คลิกคำใดคำหนึ่ง
◊เมื่อคลิกแล้ว คำที่ตัวปลาหมึกยักษ์จะเปลี่ยนไป เช่น เปลี่ยนเป็น VERB ก็ให้ท่านคลิกคำที่หล่นลงมาซึ่งเป็น VERB
◊ถ้าท่านคลิกผิดก็ไม่เป็นไร แต่ต้องแก้ตัวโดยคลิกให้ถูกก่อนที่คำศัพท์จะหล่นถึงหนวดปลาหมึก ซึ่งเป็นอันจบเกม
เพราะฉะนั้น ตอนเล่นให้ดูคำที่หล่นลงมาเตี้ยสุดก่อน เพราะมันใกล้หนวดปลาหมึกมากที่สุด ถ้ามันเป็นคำตามประเภทที่เกมสั่งให้คลิก ก็คลิกเลย
เกมนี้เล่นไปเรื่อย ๆ จนจบซึ่งมีทั้งหมด 9 Level
และท่านจะได้ใบประกาศนียบัตร ตามข้างล่างนี้
เกมนี้ทดสอบความแม่นยำในการรู้จัก part of speech และคำที่นำมาให้เล่นก็เป็นคำพื้นฐานง่าย ๆ เล่นสนุกดีครับ
ไม่กล้าพูดอังกฤษ! ทำยังไงให้กล้า?
สวัสดีครับ
หลายครั้งที่ได้ยินผู้รู้แนะว่า ถ้าอยากพูดได้ พูดเก่ง ก็ต้องกล้าพูด ถ้าได้พูดก็จะพูดได้ ถ้าไม่ได้พูดก็จะพูดไม่ได้ กฎการพูดให้ได้มันก็ง่าย ๆ แค่นี้แหละ พูดไปเถอะไม่ต้องกลัวผิดแกรมมาร์หรือกลัวว่าใช้ศัพท์ผิด พูดไปแก้ไป ก็จะค่อย ๆ พูดได้ดีขึ้น แต่ถ้าไม่ได้พูดก็จะไม่ได้แก้ และพูดไม่ได้
คำแนะนำเช่นนี้ถูกต้อง 100% แต่คนมากมายที่อยากพูดอังกฤษเก่งก็ไม่ทำตาม ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะกลัว กลัวอะไร? กลัวพูดผิด กลัวคนแซว กลัวสื่อสารไม่รู้เรื่อง หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลัวอะไร เอาเป็นว่ากลัวแล้วกัน และจบลงด้วยการไม่พูด
มีคลิปออกมาเนือง ๆ ที่โชว์เด็กซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ทั้ง ๆ ที่อายุนิดเดียว เรียนโรงเรียนธรรมดา พ่อแม่เป็นไทย และไม่เคยไปเมืองนอก ผมไม่แน่ใจว่าคลิปพวกนี้จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยกล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้นหรือเปล่า เขาอาจจะคิดว่าเป็นพรที่สวรรค์ยื่นให้เฉพาะเด็กบางคนเหมือนถูกหวย ใครโชคไม่ดีก็ทำไม่ได้ และก็อย่าไปฝึกทำให้เสียเวลา เหนื่อยเปล่า!
บ่อยครั้งที่ผมมานั่งนึกถึงปัญหานี้ แล้วก็สงสัยว่า คนไทยเรานี้ไม่มีทางก้าวข้ามปัญหานี้ได้เลยหรือ ใน 9 ประเทศอาเซียนเพื่อนบ้านของไทยผมไปมาหมดแล้ว และก็ได้ข้อสรุปอย่างที่เขาสรุปกัน คือคนไทยพูดภาษาอังกฤษได้แย่ที่สุด แต่... แต่ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะ? เรื่องอื่น ๆ ที่ขึ้นเวทีแข่งกันเราก็สู้เขาได้ แต่ทำไมเรื่องพูดภาษาอังกฤษเราชอบครองแชมป์บ๊วย มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
ผมจึงมานั่งตั้งโจทย์ให้ตัวเองตอบ คำถามมีว่า ดช. ก, ดญ. ข, นาย ค, นางสาว ง เป็นคนไม่ขี้เกียจ แต่เพราะอายจึงไม่พูดภาษาอังกฤษ ทำยังไงจึงจะทำให้เขาฝึกพูดโดยไม่รู้สึกอาย เพราะเรารู้ว่าเมื่อเขาฝึกพูดเรื่อย ๆ เขาก็จะค่อย ๆ พูดได้ และพูดคล่องในที่สุด แต่อันดับแรกสุด ต้องไม่อายที่จะพูด
โจทย์ข้อนี้จะตอบยังไง?
พอคิดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกย้อนไปถึงเด็ก ๆ ที่หัดพูด เด็กจะค่อย ๆ เรียนรู้คำศัพท์ทีละคำสองคำ เขาจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจากพูดได้ทีละคำ ต่อมาก็พูดได้ยาวขึ้นเป็นวลี เป็นประโยค เป็นหลาย ๆ ประโยค โดยรู้ว่าแต่ละคำต้องออกเสียงยังไง และเมื่อเอาหลายคำมารวมกันเป็นประโยค ก็รู้ว่าต้องออกเสียงสูงต่ำขึ้นลงอย่างไร พูดง่าย ๆ ก็คือ เด็กไทยที่หัดพูดเรียนรู้ทั้งสำนวนและสำเนียงไปพร้อมกัน เป็นการเรียนธรรมชาติ ไม่ต้องผ่านทฤษฎี เรียนโดยผ่านการฟัง
และถ้ามีผู้ใหญ่บางคนไปพูดกับเด็กโดยใช้ศัพท์สูง ๆ ผูกประโยคด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อน เด็กก็จะไม่รู้เรื่องว่าผู้ใหญ่พูดอะไร สรุปก็คือ ในการหัดพูดของเด็กนั้น เขารู้แค่ไหนเขาก็พูดแค่นั้น และสิ่งที่เขารู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศัพท์สำนวนหรือสำเนียง เขาได้มาจากการฟังทั้งสิ้น
ครั้นพอเด็กเข้าโรงเรียน ครูสอนให้อ่านหนังสือ เขาก็เริ่มรู้จักศัพท์สำนวนใหม่ ๆ ที่เขาอาจจะไม่เคยได้ยินผ่านหู เพราะฉะนั้นศัพท์สำนวนใหม่ ๆ ที่เขาได้รับนี้ เขาได้รับผ่านช่องทางใหม่ คือผ่านตา เพิ่มเติมจากช่องทางเดิมที่ได้รับผ่านหูอย่างเดียว เด็กจึงมีศัพท์สำนวนมากขึ้นสำหรับการพูด
คราวนี้ย้อนมาดูการฝึกพูดภาษาอังกฤษของเด็กไทยบ้าง สำนวนและสำเนียงภาษาอังกฤษ อันเป็นสองสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่อใช้ในการพูด เด็กได้มาจากไหน และได้มาเพียงพอหรือเปล่า?
ขอว่าเรื่องศัพท์สำนวนก่อน เด็กแต่ละคน แต่ละโรงเรียน อาจจะรู้ศัพท์จำนวนไม่เท่ากัน แต่ไม่ใช่ว่าเด็กจะต้องรู้ศัพท์เยอะ ๆ จึงจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะอย่างเด็กไทยหัดพูดภาษาไทย รู้แค่ไหนเด็กก็พูดแค่นั้น ไม่ใช่พูดไม่ได้
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือเรื่องสำเนียง ซึ่งต้องได้มาจากการฟังเท่านั้น ไม่สามารถได้มาจากการอ่าน การรู้และเข้าใจสำเนียงหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่า...
- เมื่อได้ยินคนอื่นพูดคำนั้น เด็กฟังและเข้าใจ
- เมื่อจะพูดคำนั้นบ้าง เด็กก็พูดได้ทันที พูดได้อย่างมั่นใจ อย่างไม่กลัวผิด
- นอกจากพูดเป็นคำ ๆ แล้ว เด็กยังสามารถนำคำนั้นไปผูกเป็นประโยคหรือวลีเพื่อใช้พูดได้อีกด้วย ความสามารถเช่นนี้มาจากการได้ฟังผู้ใหญ่พูด และเขาก็พูดตาม และต่อมาก็ดัดแปลงผูกประโยคของตัวเอง เขาทำได้อย่างนี้ก็เพราะเขาฟังมาเยอะ จนซึมเข้าไปในไส้ และพูดได้โดยไม่ต้องคิด
พอมาถึงตรงนี้ ท่านจะเห็นชัดว่า การที่เด็กไทยหรือคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทั้ง ๆ ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ปัญหามันไม่ใช่เพียงแค่ครูเน้นเรื่องแกรมมาร์มากเกินไปอย่างที่ชอบอ้างกัน แต่เป็นเพราะเราฝึกให้เด็กฝึกพูดน้อยเกินไปจนเด็กไม่ได้พูด และพูดไม่ได้ และไม่กล้าพูด ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ศัพท์สำนวนมากพอสมควร รู้แกรมมาร์เยอะ ซึ่งได้มาจากการอ่าน ไม่ใช่ได้มาจากการฟัง
เพราะเด็กไทยที่เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กฝึกฟังน้อยเกินไป น้อยมาก เด็กจึงขาดเรื่องสำเนียง คือฟังสำเนียงที่คนต่างชาติพูดมาก็ไม่รู้เรื่อง และพูดออกไปด้วยสำเนียงที่คนต่างชาติฟังไม่รู้เรื่อง หรือที่แย่กว่านั้นก็คือ ไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้มีเน็ตใช้ มีมากมายหลายเว็บที่สอนคนไทยพูดภาษาอังกฤษ โดยนำประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้พูดในสถานการณ์ต่าง ๆ มาสอน แถมยังแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านอีกด้วย ปัญหาก็คือ เมื่อถึงโอกาสที่ต้องพูดจริง ๆ กับคนต่างชาติ ถ้าเราจำประโยคพวกนี้ไม่ได้ หรือจำได้แต่ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์เฉพาะหน้า เราจะทำยังไง?
ผมตั้งคำถามไว้อย่างนี้และก็เชื่อว่า มีผู้รู้สามารถให้คำแนะนำดี ๆ มากมาย ซึ่งแปลว่า เราคงต้องฝึกหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
แต่ในที่นี้ผมขอแนะนำข้อเดียวเท่านั้น คือ ต้องฝึกสิ่งที่เราไม่ได้ฝึกมาตั้งแต่ต้น หรือฝึกมาน้อยเกินไป ตั้งแต่สมัยเราเป็นเด็ก นั่นคือ ฝึกฟัง!
ทำไมเมื่อจะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ การฝึกฟังเป็นงานแรกที่ต้องทำ? ก็เพราะว่า
✦เมื่อฝึกฟัง เราจะได้ยินสำเนียง และลีลาหนักเบาสูงต่ำของภาษาพูด เรื่องนี้ท่านจะเรียนจากการอ่านหนังสือก็ได้ แต่การอ่านไม่ช่วยให้การรู้จักสำเนียงซึมเข้าไปในตัวท่านได้ลึกเท่ากับการฟัง เพราะฉะนั้น...
[1] ท่านต้องฟัง
---> เมื่อท่านฟัง ท่านจะรู้จักวิธีออกเสียงเป็นคำ ๆ คุ้นเคยกับลีลาของภาษาเรื่องความสูงต่ำหนักเบาของเสียง แม้ว่าท่านจะไม่สามารถพูดได้เหมือนฝรั่ง (ซึ่งก็ไม่จำเป็นเลยที่ต้องพูดให้เหมือน) แต่ท่านจะสามารถพูดอังกฤษสำเนียงไทยที่คนต่างชาติไหน ๆ ก็ฟังรู้เรื่อง นี่ต่างหากที่เราต้องการฝึก คือฝึกปากให้พูดสื่อสารรู้เรื่อง ไม่ใช่ฝึกพูดให้เหมือนฝรั่งให้ได้
---> เมื่อท่านฟัง ท่านจะค่อย ๆ คุ้นเคยกับสำเนียง ซึ่งจะช่วยให้ท่านเข้าใจเมื่อฟังคนต่างชาติพูด นี่คือการฝึกหูให้ฟัง
---> เมื่อท่านฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟังเพื่อเป็นพื้นฐานของการฝึกพูด ท่านควรฟังเรื่องที่ท่านชอบ สนุก สั้น และง่าย (เรื่องที่ยากและยาวนั้นเอาไว้ฝึกทีหลัง) ทำไมต้องเลือกเรื่องอย่างนี้สำหรับการฝึก เพราะว่าท่านจะได้มีแรง กำลัง energy สำหรับการเรียนรู้ดูดซึมสำเนียง และลีลาของศัพท์ สำนวน โครงสร้างภาษา ได้เยอะและอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ต้องหมดแรงไปกับการทำความเข้าใจเรื่องยาก ๆ มากเกินไป จนการฝึกฟังไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกพูด
อะไรคือคลิปที่สนุก สั้น และง่าย เท่าที่ผมสำรวจดูก็ไม่พ้น story ที่ทำขึ้นมาเพื่อเด็ก ๆ ถ้าท่านรู้สึกว่าตัวเองโตเกินไปสำหรับเรื่องพวกนี้ หรือเรียนถึงหรือจบชั้นมหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เด็กชั้นประถม ก็ขอให้ถ่อมใจสักนิดและถือว่านี่เป็นเส้นทางของการศึกษา
ลองดูข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างครับ
- stories for kids in english
- stories for kids in english "level 1"
- aesop stories in english
- english cartoons for learning english
- easy english learning cartoons
- easy english bedtime stories
- "for kids" OR easy english Buddhist stories
- fairy tales for children in english
ถ้ายังไม่ถูกใจ ลองเข้าไปหาเพิ่มเติมนะครับ มีเยอะครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าบางท่านรู้สึกว่าตัวเองเมื่อฝึกฟังเรื่องที่ยากมันเป็นประโยชน์ต่อการฝึกพูด ก็เชิญดำเนินไปตามสะดวกครับ จะดูหนัง ฟังเพลงฝรั่ง ดูสารคดี ฟังเล็กเชอร์ ฟังออดิโอบุ๊ก ฯลฯ เชิญได้ตามสะดวกครับ
ถึงบรรทัดนี้ ผมมีคำแนะนำ 4 ข้อ
✪ ถ้าฟังคลิปใดไม่รู้เรื่องเลย คือมันยากเกินพิกัด ให้เปลี่ยนคลิปใหม่ที่ง่ายและฟังรู้เรื่องมากขึ้น
✪ การฟังไม่เข้าใจ 100% ไม่ใช่เรื่องที่ต้องโศกเศร้าเสียใจ แต่ขอให้เรามีสมาธิ 100% ในการฟัง ส่วนที่เราไม่เข้าใจและหลุดไปนั้น คือศัพท์และสำนวน แต่ด้วยสมาธิ 100% เราก็จะได้สำเนียง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพูด และช่วยให้การฟังครั้งต่อ ๆ ไปง่ายขึ้น
✪ การฟังซ้ำด้วยสมาธิ 100% ทุกครั้งที่ฟัง คือเรื่องที่ต้องฝึกให้เป็นนิสัย เมื่อเราฟังครั้งหลัง ๆ เราอาจจะแปลกใจว่า มันก็เรื่องเดียวกัน เมื่อคราวที่แล้วประโยคนี้ทำไมเราฟังไม่รู้เรื่อง นี่คือพัฒนาการครับ และผมอยากชักชวนให้ท่านฝึก จนพบพัฒนาการเช่นนี้ด้วยตัวเอง
✪ Subtitles ที่ขึ้นบนจอ หรือ Transcript ที่บาง story มีให้ท่าน แม้มีประโยชน์ที่ช่วยให้เราเข้าใจศัพท์สำนวนได้ง่ายและมากขึ้น แต่อย่าลืมว่า ขณะนี้เรากำลังฝึกฟัง ซึ่งเน้นเรื่องสำเนียง ท่านอย่าปล่อยให้การเรียนรู้ศัพท์สำนวน มาขัดขวางการฝึกฟังสำเนียง ซึ่งเป็นงานที่ต้อง train your ears 100%
[2] อีกเรื่องที่ผมขอเน้นเป็นพิเศษก็คือ การฟังรู้เรื่องจะช่วยสร้างความมั่นใจ และความมั่นใจในการฟังนั้น จะนำไปสู่ความมั่นใจในการพูด ถ้าเราฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เราก็จะไม่ค่อยมั่นใจในการพูดของเรา ทำให้พูดอย่างยั้ง ๆ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเราฟังเขาพูดรู้เรื่อง เราก็จะมั่นใจในการพูดของเรามากขึ้น ถ้าสำเนียงพูดภาษาอังกฤษของเราไม่หรูหรา ก็เป็นหน้าที่ของคุณที่ฟังฉันพูดต้องพยายามเอาบ้าง จะให้ฉันพยายามอยู่คนเดียวได้ยังไง (ฮา!)
ท่านผู้อ่านครับ อย่างที่ผมบอกแล้วว่า การฝึกให้พูดภาษาอังกฤษได้ต้องทำหลายอย่าง การฝึกฟังที่ผมเน้นเท่าที่คุยมานี้ เป็นอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้และต้องทำอย่างจริงจังต่อเนื่อง ถ้าเราฝึก ๆ หยุด ๆ ทักษะที่ได้จากการฝึกมันก็อาจจะเสียไป พอมาฝึกใหม่ก็ต้องเริ่มจาก step one อีก จึงเสียเวลา เหมือนดาวน์โหลดไฟล์ RAR ขนาดใหญ่ ถ้าไม่ดาวน์โหลดต่อเนื่องให้เสร็จไปเลย แต่ shut down เสียก่อน พอมาดาวน์โหลดใหม่ก็ต้องเริ่มจาก byte ที่ 1 จึงเป็นการฝึกที่เสียเวลาและไร้ผล การทำอะไรให้สำเร็จ ความพยายามนั้นจำเป็น และต้องเป็นความพยายามที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่พยายามครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ผมขอย้อนกลับมาตอบปัญหาที่ตั้งไว้เป็นหัวเรื่อง “ไม่กล้าพูดอังกฤษ! ทำยังไงให้กล้า?” คำตอบสั้น ๆ ก็คือ ขอให้ท่านฝึกฟังจนเข้าไส้เถอะครับ และเมื่อถึงคราวที่จะพูดภาษาอังกฤษ ท่านจะกล้าพูดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
คนกล้า ทำอะไรก็สำเร็จ แต่ก่อนที่ท่านจะกล้าพูด ท่านต้องกล้าฝึกฟัง และไม่เกลียดความสำเร็จที่มาช้า ไม่ทันใจท่าน
พิพัฒน์