Articles
ฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง ฝึกยาก แต่ก็มีทางฝึก
สวัสดีครับ
วันนี้ผมขอพูดเรื่องการฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นฝึกยาก แต่มันก็มีทางฝึกให้สำเร็จ ผมขอยืนยัน
ประโยชน์ของการฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง
การฟังกับพูดนั้นเป็นของคู่กัน ถ้าฟังรู้เรื่องการพูดก็ง่าย แต่แม้บางท่านจะไม่มีเรื่องต้องพูดคุยกับคนต่างชาติ การฟังก็ยังมีประโยชน์อย่างมหาศาลอยู่นั่นเอง เพราะการฟังเหมือนกับการอ่านตรงที่เป็นการรับเนื้อหาผ่านทางหูเข้าสู่สมอง เพราะฉะนั้นต่อให้เราอ่านน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อย่างเข้าวัยชราสายตาไม่ดี การฟังจะช่วยนำเนื้อหาใหม่ ๆ เข้าสู่ชีวิตได้ไม่สิ้นสุด ทั้งความรู้ ความเพลิดเพลิน จินตนาการ ความเป็นไปในโลกที่แคบลงทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟังผ่านคลิป, ผ่าน TV online, ผ่านเว็บ หลายเรื่อง เช่น ข่าว, สารคดี, talk, speech ฯลฯ เป็นของใหม่ สด ฟังแล้วได้ชีวิตชีวามากกว่าสิ่งที่มีให้อ่านด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องจึงมีประโยชน์มากจริง ๆ
ปัญหาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของคนไทย... อ่อน
เมื่อเด็กเริ่มเรียนภาษา ไม่ว่าภาษาใดก็ตาม ทักษะแรกที่เรียนคือการฟัง ตามด้วยการพูด และตามด้วยการอ่าน-เขียนเมื่อเข้าโรงเรียน แต่ปัญหาของคนไทยก็คือ เมื่อเปรียบเทียบ 2 อย่างระหว่างฟังกับอ่าน (ซึ่งต่างก็เป็นการรับสารเข้าสู่สมอง) เด็กไทยอ่านมากกว่าฟัง เรานั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษจบเป็นบท ๆ เป็นเล่ม ๆ แต่เราแทบไม่เคยนั่งฟังภาษาอังกฤษเป็นชั่วโมง ๆ เราจึงพออ่านรู้เรื่อง แต่ฟังแทบไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราฟังน้อย ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าอ่านก็รู้เรื่อง
ถ้าท่านท้อ...
ถ้าท่านใดท้อว่า มันคงสายเกินไปที่มาเริ่มฝึกตอนนี้เพราะแก่แล้ว ผมขอบอกว่า อย่าท้อเลยครับ แม้จะเริ่มออกเดินทางสายไปหน่อย แต่ถ้าตั้งใจ start และ never stop มันก็จะค่อย ๆ ถึงปลายทาง คือฟังรู้เรื่องมากขึ้น ๆ เพราะต่อให้ไม่อยากเดิน แต่ถ้าเดินไม่หยุดก็ต้องถึงปลายทาง เหมือนกับต่อให้ไม่อยากกิน แต่ถ้ากินไปเรื่อย ๆ มันก็ต้องหายหิว และอิ่ม
จะฝึกฟังยังไงให้รู้เรื่อง
ผมมีคำแนะนำอยู่ 2 ข้อเท่านั้น คือ [1] เลือกเรื่องที่ฝึก และ [2] ฝึกเรื่องที่เลือก
[1] เลือกเรื่องที่ฝึก
จะต้องเป็นเรื่องที่ ...
(A) "ง่ายและเข้าใจ" คือ เราอย่าเริ่มฝึกด้วยเรื่องที่มันยากเกินไป เรื่องที่ฟังไปงงไปตลอดการฟัง แต่ควรเลือกเรื่องที่ฟังแล้วรู้เรื่องเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนน้อยที่ฟังไม่รู้เรื่องนั้นก็ให้เดาเอาบ้าง
(B) "ชอบและสนุก" คือ ให้พยายามหาเรื่องฟังที่เราชอบ หรือสนใจ เพราะเราจะฟังได้ไม่เบื่อหรือเบื่อช้า
เรื่องที่ "ง่ายและเข้าใจ" และ "ชอบและสนุก" ตามที่ว่ามานี้ ถ้ามีคนแนะนำหรือหามาให้ท่านฝึก ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่มีท่านต้องหาเองให้เจอให้ได้ และมันอาจจะหาได้ไม่ง่ายนัก เพราะเรื่องที่ง่ายมันอาจจะเป็นเนื้อเรื่องแบบเด็ก ๆ ที่ไม่สนุก แต่เรื่องสนุกมันอาจจะเป็นเนื้อเรื่องสำหรับผู้ใหญ่ที่ฟังยาก
[2] ฝึกเรื่องที่เลือก
ถ้าท่านเจอเรื่องที่ตรงสเป๊กอย่างที่ผมแนะ ก็ฝึกฟังเรื่องนั้นไปเรื่อย ๆ อย่าหยุด แต่ในระหว่างที่ท่านยังหาไม่เจอ ผมก็ขอให้ท่าน (ก)ทำใจฝึกฟังเรื่องที่ง่ายและอย่าไปเบื่อมัน หรือ (ข) ฝึกฟังเรื่องที่ชอบแต่เข้าใจยากโดยไม่เครียดไปกับมัน และระหว่างนี้ก็พยายามหาให้เจอเรื่องที่เป็นทั้ง (A) และ (B)
แล้วเรื่องฝึกฟังที่ว่านี้จะไปหาที่ไหน?
ท่านลองคลิกเข้าไปหาที่ 2 ลิงก์นี้ซึ่งอยู่ในคอลัมน์ซ้ายมือของเว็บ e4thai.com น่าจะเจอบ้างหรอกครับ แต่ถ้าหาแล้วไม่เจอก็บอกมานะครับ ผมจะช่วยหาให้อีกแรงหนึ่ง
• Listening
• Listen & Read
ท่านที่เป็นแฟนเว็บ e4thai.com คงจะสังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอะไร ผมเน้นมากเรื่องการหาของฝึกที่สมพงศ์หรือ compatible กับตัวเอง และแม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะชอบอ่านข่าว-ฟังข่าว มากกว่าอย่างอื่น แต่ผมต้องเบรกตัวเองอยู่เรื่อย ๆ อย่ายัดเยียดสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนอื่นชอบตามไปด้วย อย่างเช่นการฝึกฟังภาษาอังกฤษนี้ มีหลากหลายที่จะใช้ฝึก เช่น
- ข่าว
- ภาพยนต์
- Audiobook
- บทสนทนา
- Story
- สารคดี ซึ่งมีเนื้อหาหลากหลายประเภท
- เพลง
- Talk
- listening test
- Speech สุนทรพจน์
- ฟังเทศน์ภาษาอังกฤษ
- ฟังภาษาอังกฤษจากประโยคตัวอย่าง
- ฯลฯ
ในเว็บนี้ผมจึงพยายามหาเนื้อหามาเสนอท่านให้หลากหลายมากที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ แม้แต่เรื่องที่ผมไม่มีความชำนาญเลยเช่นเรื่องเพลง ที่เล่ามานี้ก็เพราะอยากจะชวนให้ท่านพยายาม "เสิร์ฟ" ตัวเอง ด้วยอาหารที่ตัวเองชอบ "กิน" มากที่สุด แล้วท่านก็จะกินได้เยอะ – กินได้อร่อย อาหารเป็นอย่างไร การฝึกฟังภาษาอังกฤษก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ ผมขอแนะนำให้ท่านพยายามหาเรื่องมาให้ตัวเองฝึกฟัง โดยเป็นเรื่องที่ ฝึกได้มาก – ฝึกได้นาน – ฝึกได้สนุก
มันมีเรื่องพื้นฐานอีกอย่างหนึ่งที่ขอแนะ คือ ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่ทำงานแล้ว และถ้างานนั้นบังคับให้เราต้องฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เช่น ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เข้าร่วมประชุมกับแขกต่างชาติ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะจงในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ในกรณีที่เนื้องานของท่านเป็นอย่างนี้ ผมขอแนะว่า การฝึกฟังของท่านจะต้อง tailor-made คือ ขอให้ท่านหาเอกสารภาษาอังกฤษมาอ่าน และหาคลิปภาษาอังกฤษมาฟัง ให้มีศัพท์-วลี-สำนวน-ภาษา ไปในแนวทางเดียวหรือป้วนเปี้ยนกับภาษาอังกฤษที่ท่านต้องฟังในที่ประชุมหรือพูดกับแขกต่างชาติ การอ่านให้เข้าใจศัพท์สำนวนไว้ก่อน เมื่อฟังท่านก็จะมีปัญหาเดียว คือ "สำเนียง" ส่วน "สำนวน" ท่านทำการบ้านแล้วโดยฝึกอ่านไว้ล่วงหน้า ถ้าฝึกอย่างนี้ก็จะช่วยให้การฟังง่ายขึ้น แต่การฝึกอย่างนี้จะต้องขยันหน่อย แต่ก็เป็นการขยันที่คุ้มค่า
ใจเย็น ๆ ฝึกฟังไปเรื่อย ๆ นะครับ ผลที่ได้รับคุ้มค่ามาก ๆ ผมขอรับรองครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
ข้อสอบภาษาอังกฤษ เข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 2558
ข้อสอบภาษาอังกฤษ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยวิธีรับตรง ประจำปีการศึกษา 2558 จำนวน 100 ข้อ พร้อมเฉลย
▬► http://www.e4thai.com/e4e/images/pdf2/kku5803t.pdf
adjective ที่แปลว่า สุด ๆ, จัด, อย่างยิ่ง
สวัสดีครับ
ที่ลิงก์นี้ https://www.espressoenglish.net/extreme-adjectives-in-english/
เขามีคำอธิบายว่า โดยทั่วไป adjective ในภาษาอังกฤษ จะมีขั้นธรรมดา ขั้นกว่า ขั้นสุด เช่น big - bigger - biggest
แต่มีบางคำไม่มีขั้นอย่างนี้ และยกตัวอย่างประมาณ 20 คำข้างล่างนี้ ซึ่งมีคำแปลในภาษาไทยว่า สุด ๆ, จัด, อย่างยิ่ง, อะไรทำนองนั้น
ผมแปลภาษาไทย แนบไว้นิดหน่อยข้างล่างนี้ครับ ในลิงก์นั้นยังมีคำอธิบายและ exercise ให้ลองฝึกทำเพิ่มเติม ท่านเข้าไปดูได้เลยครับ
โกรธ angry ♦ furious
เลว แย่ bad ♦ awful, terrible, horrible
ใหญ่ big ♦ huge, gigantic, giant
สะอาด clean ♦ spotless
เย็น cold ♦ freezing
(คน)แน่น crowded ♦ packed
สกปรก dirty ♦ filthy
สนุก รื่นเริง funny ♦ hilarious
ดี good ♦ wonderful, fantastic, excellent
ร้อน hot ♦ boiling
หิว hungry ♦ starving
น่าสนใจ interesting ♦ fascinating
เก่า, แก่ old ♦ ancient
สวย pretty ♦ gorgeous
น่ากลัว scary ♦ terrifying
เล็ก small ♦ tiny
น่าประหลาดใจ surprising ♦ astounding
เหนื่อย, เพลีย tired ♦ exhausted
น่าเกลียด ugly ♦ hideous
ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน English for Daily Life
บทวิทยุกระจายเสียง รายการ ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน English for Daily Life (อังกฤษ - ไทย), 224 หน้า, 20 บท, 40 MB
▬► http://www.e4thai.com/e4e/images/pdf2/Englishfordailylife.pdf
ภาษาอังกฤษคนไทยแย่ "เรา" จะแก้ไขยังไงดี?
สวัสดีครับ
ภาษาเป็นเครื่องมือของการสื่อสาร คำว่า "สื่อสาร" คือ "ส่งสาร" หรือ "รับสาร" หรือทั้งสองอย่าง คือ เมื่อเรามีเนื้อหาที่จะสื่อให้คนอื่นเข้าใจ เราก็สื่อโดยใช้ภาษา ที่เข้าใจได้ระหว่าง "ผู้ส่งสาร" และ "ผู้รับสาร"
ข้อความข้างบนนี้อยู่ในบทที่ 1 ของวิชา "การสื่อสารเบื้องต้น" ซึ่งผมเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 1 เมื่อ 40 ปีที่แล้ว สมัยนั้นนักศึกษาก็รู้ว่าทักษะภาษาอังกฤษมีประโยชน์ ซึ่งแปลว่า ถ้ามีก็ดี แต่ทุกวันนี้ทักษะภาษาอังกฤษจำเป็น ซึ่งแปลว่า ถ้าไม่มีก็แย่ อยู่รอดยาก คำว่ามีประโยชน์ในสมัยนั้น และจำเป็นในสมัยนี้ จึงต่างกันเยอะ
แต่สำหรับนักเรียนนักศึกษาไทย ทักษะภาษาอังกฤษมีไว้เพื่ออะไร? คำถามนี้หลายคนก็หลายคำตอบ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ต้องนำไปใช้เพื่อให้สอบผ่าน ถ้าสอบตกก็จะอดประกาศนียบัตรหรือปริญญา แต่ตอนที่เราสอบภาษาอังกฤษ เราควรจะสอบอะไรกันบ้างล่ะ?
อย่างที่พูดแล้วว่า ทักษะภาษาอังกฤษเป็นเรื่องของการสื่อสาร คือ รับสารและส่งสาร เพราะฉะนั้นเมื่อโรงเรียนจะสอบคนที่เรียนภาษาอังกฤษ ก็ควรจะทดสอบว่า
[1] เขารับสารได้ไหม? คืออ่านแล้วรู้เรื่องมั้ย และ ฟังแล้วรู้เรื่องมั้ย
การ test ว่าเขารับสารแล้วเข้าใจไหม อันนี้ test ง่าย ก็ไอ้ข้อสอบ A B C D นั่นแหละครับ ถ้าเลือกถูกก็แสดงว่าเข้าใจถูก ถ้าเลือกผิดก็แสดงว่าเข้าใจผิด อันนี้ simple มาก
[2] เขาส่งสารได้มั้ย? คือ เขียนให้คนอื่นอ่านรู้เรื่องมั้ย และพูดให้คนอื่นฟังรู้เรื่องมั้ย
การ test ว่าเขาส่งสารแล้วคนอื่นเข้าใจหรือไม่ อันนี้ต้อง test โดยวัดความสามารถในการส่งสารจริง ๆ โดยให้เขาพูดและบันทึกเสียงพูดของเขาเอาไปตรวจ และให้เขาเขียนและเอากระดาษที่เขาเขียนไปตรวจ จึงจะรู้ว่าเขามีความสามารถในการส่งสารหรือเปล่า ไอ้ข้อสอบ A B C D นั้น เอามาใช้วัดเรื่องนี้ไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้วัดอะไรเลยในเรื่องนี้
แต่คำถามก็คือ ถ้าเราจะ "ทดสอบ" ความสามารถในการรับสารและส่งสารอย่างที่ว่ามานี้ ตอนที่เรา "สอน" เขา
- เราได้สอนให้เขาสามารถอ่านแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
- เราได้สอนให้เขาสามารถฟังแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
- เราได้สอนให้เขาสามารถเขียนให้คนอื่นอ่านแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
- เราได้สอนให้เขาสามารถพูดให้คนอื่นฟังแล้วเข้าใจ - อย่างเพียงพอหรือเปล่า?
เราได้สอน 4 อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้สอน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเอาเรื่องนี้ไป "ทดสอบ" เขา
เอ้า แล้วที่ teach และ test กันนานเป็นสิบปีในโรงเรียนนั้น มันมีเรื่องอะไรบ้างล่ะ?
- เรื่องอ่าน - มันช่วยให้คนไทยอ่านหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นเรื่องการอ่านที่พื้นฐานที่สุด ได้หรือเปล่า?
- เรื่องเขียน – มันช่วยให้คนไทยสามารถเขียน message ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีเนื้อหาพื้นฐานให้คนต่างชาติที่ติดต่อด้วย ได้หรือเปล่า?
- เรื่องพูด – เราพูดเรื่องพื้นฐานง่าย ๆ สื่อให้คนต่างชาติเข้าใจได้หรือเปล่า?
- เรื่องฟัง – ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดดูหนังฝรั่งเข้าใจทั้งเรื่องหรอกครับ แค่ฟังคนต่างชาติพูดสื่อสารเรื่องพื้นฐานเป็นภาษาอังกฤษ เราฟังเขารู้เรื่องหรือเปล่า?
พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมไม่ต้องการให้ท่านเกิดความรู้สึกโดยอัตโนมัติว่า ผู้ผิดคือกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็นผู้ออกคำสั่ง หรือมหาวิทยาลัย โรงเรียน หรือครูอาจารย์ ที่รับคำสั่งมาให้สอนเด็กตามหลักสูตรนั้นหลักสูตรนี้ ผมได้ยินการติเตียนด่าว่ามาตั้งแต่ตัวเองเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น จึงอยากจะสรุปว่า การด่าไม่ใช่การแก้ปัญหา ดีไม่ดีอาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาด้วยซ้ำ เพราะเมื่อมีการด่ามันก็ชวนให้เราปิดสมองจากการพยายามทำความเข้าใจ และปิดใจไม่รับความรู้สึกเห็นใจ ผมเชื่อว่า ท่านเหล่านั้นก็พยายามแก้ปัญหาตามหน้าที่และความสามารถของท่าน
พูดถึงเรื่องนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงคำของไอน์สไตน์ข้างล่างนี้
ถ้าโยงเข้ากับเรื่องที่กำลังพูด คือ เราแก้ปัญหาทักษะภาษาอังกฤษที่แย่ของเราด้วยวิธีการเดิม ๆ และมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่เราก็ยังทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วหวังว่าอะไรมันคงจะดีขึ้น อย่างนี้มันบ้าแล้ว มันเป็น insanity
นี่ผมไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ได้ว่าหน่วยราชการ ไม่ได้ว่ากระทรวงศึกษาธิการนะครับ ผมว่าพวกเรากันเองนี่แหละครับที่ไปต่อว่าเขา ซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น อาการบ้าหรือ insanity แบบนี้ เรานั่นแหละครับที่เป็น
ผมได้พูดหลายครั้งในหลายบทความที่ลงในเว็บนี้ว่า ในการฝึกภาษาอังกฤษให้ได้ผล เราต้องพึ่งตัวเอง ถ้าวิธีการที่เคยฝึกเคยทำมันไม่ได้ผล เราก็ต้องทำอะไรที่มันต่าง โดย...
♥ การหาให้พบเรื่องที่เราฝึกแล้วมีความสุข และค่อย ๆ ชิมความสำเร็จไปทีละน้อย ๆ เรื่องอย่างนี้ต้องหาด้วยตัวเอง ไม่รอให้คนอื่นหามาป้อนให้ ไม่รอให้มีครูผู้วิเศษขี่รถม้ามาเกยหน้าบ้าน และเดินเข้ามาสอนเราในบ้าน นี่เป็นตัวอย่างที่ 1 ของความต่าง
♥ การเปลี่ยนจากการฝึกอย่างเหยาะแหยะเป็นการฝึกอย่างกัดฟันก็เป็นตัวอย่างที่ 2 ของความต่าง
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
พิพัฒน์