Articles
วิธีฝึกคำศัพท์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์จริง ๆ
ในหลายเว็บไทยที่สอนภาษาอังกฤษ มีรายการคำศัพท์หรือศัพท์หมวดภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ควรรู้ให้เราศึกษาเยอะทีเดียว และโดยส่วนใหญ่จะมีคำแปลเป็นไทยให้ไว้ด้วย
- http://www.tonamorn.com/vocabulary/
- https://dict.meemodel.com/หมวดคำภาษาอังกฤษ/
- https://th.speaklanguages.com/อังกฤษ/คำศัพท์/
- www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/category/คำศัพท์ภาษาอังกฤษ/
- http://thai.langhub.com/th-en/sitemap
ส่วนที่เว็บ e4thai.com ก็ได้รวบรวมไว้ให้เช่นกัน → "ศัพท์หมวด"
เรื่องของเรื่องที่ผมขอพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็คือ แค่ท่อง คำศัพท์+คำแปล อัดเข้าไปในสมอง ถ้าฝึกอย่างนี้อย่างเดียว และให้เวลากับการฝึกแบบนี้มากเกินไป เราจะไม่มีเวลาไปฝึกศัพท์ด้วยวิธีอื่นที่ได้ผลมากกว่า และเราควรให้เวลากับมันมากกว่า ส่วนการท่องศัพท์นั้นก็ดีอยู่ แต่ให้เป็นวิธีที่ 2
แล้ววิธีที่ 1 จะให้ฝึกยังไง?
วิธีที่ 1 ก็คือการฝึกศัพท์กับประโยคตัวอย่าง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ทุกท่านก็คงได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว คือคุณครูสอนว่า การศึกษาและจำศัพท์ไปพร้อมกับประโยคตัวอย่างนั้น ให้ประโยชน์หลาย ๆ คือนอกจากรู้ความหมาย เรายังได้เห็นการนำไปใช้จริง ๆ ซึ่งเราจะสามารถจดจำนำไปปรับใช้ได้ ทั้งในการเขียนและพูด เพราะฉะนั้น ประโยคตัวอย่างที่เราศึกษาคำศัพท์นี้ ตอนศึกษาก็ให้เปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ด้วย เสียงของตัวเองที่เราได้ยิน จะทำให้เราจำได้และมั่นใจเมื่อจะพูด
แต่ว่าศัพท์ในเว็บไทยที่เขาให้ไว้นั้น หลายแห่งเนื้อที่ไม่พอ เขาก็เลยไม่มีประโยคตัวอย่างให้ไว้ หรือถ้ามีก็แค่ 1 - 2 ประโยคต่อศัพท์ 1 คำ ซึ่งผมขอบอกว่ามันน้อยเกินไป น้อยจริง ๆ ครับ
ทำไปถึงว่าน้อย ก็เพราะว่าถ้าเราต้องการรู้แค่คำแปล ประโยคตัวอย่างอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ถ้าเราต้องการเห็นตัวอย่างการนำคำศัพท์ไปใช้ในการพูดหรือเขียน เราต้องเห็นประโยคตัวอย่างเยอะ ๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี และเราจะค่อย ๆ ซึมซับลีลาของภาษาเข้าสู่สมอง ซึ่งไม่ได้แปลว่า เราจะ copy ประโยคตัวอย่างทั้งดุ้นไปใช้พูดหรือเขียน แต่ "ลีลา" ของภาษาในประโยคตัวอย่างที่เราอ่านมาเยอะ ๆ นี่แหละครับ มันจะถูกสมองของเราย่อยโดยไม่รู้ตัว และเมื่อถึงเวลาที่จะใช้ สมองของเราจะ "ปรุง" ออกมาเป็นคำพูดได้เอง ครั้งแรก ๆ อาจจะไม่ perfect แต่มันจะ progress มากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่หยุด practice
แต่ประโยคตัวอย่างจำนวนเยอะ ๆ ที่ว่านี้เราจะเอามาจากไหน
คำตอบก็คือ ผมขอให้ท่านติดตั้ง add-on ตัวนี้ "English dictionary translate pronunciation" โดยใช้กับ Browser Google Chrome โดยผมเขียนคำอธิบายการติดตั้งและการใช้งานที่ค่อนข้างละเอียดไว้ที่นี่แล้ว ขอให้ท่านยอมลงทุนศึกษาเถอะครับ คุ้มค่าจริง ๆ
→ คลิก
add-on ตัวนี้ มีดิกอยู่ในนั้นถึง 3 ตัว คือ
[1] ดิก Google Translate แปลศัพท์อังกฤษเป็นไทย
[2] ดิก Longman Dictionary ซึ่งนอกจากมีประโยคตัวอย่างมากมายให้ฝึก แต่ละประโยคยังคลิกฟังเสียงและฝึกพูดตามได้ด้วย จะฟังซ้ำ & พูดซ้ำ กี่เที่ยวก็ได้
[3] ดิก Oxford Dictionary นี่ก็มีประโยคตัวอย่างมากเช่นกัน และไม่ซ้ำกับชุดของดิก Longman
เมื่อติดตั้ง add-on ตัวนี้แล้ว ต่อไปไม่ว่าท่านจะไปเจอศัพท์อะไร ท่านสามารถฝึกให้ศัพท์ใหม่ตัวนั้นเป็นศัพท์เก่าที่คุ้นเคยโดยใช้เวลาไม่นาน โดยผ่านประโยคตัวอย่างเยอะ ๆ นี่แหละครับ
อีกเรื่องหนึ่งที่ขอบอกก็คือ เนื่องจากศัพท์คำหนึ่ง ๆ มักมีหลายความหมาย แต่ในหมวด Examples from the Corpus ของดิก Longman, และหมวด + Extra examples ของดิก Oxford ซึ่งรวมประโยคตัวอย่างไว้นั้น เขาไม่ได้บอกความหมายโดยเจาะจงไว้ให้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสังเกต ประมวล เดา ตีความ ฯลฯ ประโยคที่อ่าน และการฝึกด้วยตัวเองอย่างนี้แหละครับที่จะทำให้เราโต ไม่ต้องพึ่งครูหรือผู้รู้ไปตลอดกาล
ผมขอแนะนำแค่นี้แล้วกันครับ แต่ปรารถนาอย่างยิ่งให้ท่านติดตั้งและฝึกศัพท์โดยใช้ add-on ตัวนี้ เรื่อย ๆ เพราะมันมีประโยชน์จริง ๆ และไม่ว่าท่านจะไปเจอศัพท์คำใด ที่เว็บไทยหรือเว็บอังกฤษ จะเป็นศัพท์ง่ายหรือศัพท์ยากก็ตาม, add-on ตัวนี้จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ท่านใช้งานฟรี ๆ ได้ตลอดไป ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอด 24 ชั่วโมง
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
แนะนำ Site of the Day (จาก refdesk.com)
สวัสดีครับ
http://www.refdesk.com/ เป็นเว็บขนาดมหึมาที่รวมรวมความรู้ / เว็บ / ลิงค์ คุณภาพดีไว้มากมาย สามารถใช้เป็นแหล่งความรู้ที่อ้างอิงได้
เมื่อท่านเข้าไปแล้วอาจจะงงเล็กน้อยเพราะสิ่งที่เว็บมีให้นั้นช่างมากมายจริง ๆ
เพื่อความสะดวกผมขอชักชวนให้ท่านดูอย่างนี้ครับ
1.ดูไปทีละคอลัมน์ ท่านจะเห็นว่าที่ Homepage มีทั้งหมด 3 คอลัมน์ คือ ซ้าย – กลาง – ขวา ให้ท่านเริ่มดูที่คอลัมน์ซ้าย ทีละบรรทัด จากบนลงล่าง ทำจนครบ 3 คอลัมน์ อาจจะหมายตาหรือทำ Bookmarks/Favorite ลิงค์ที่ชอบใจไว้เลยก็ได้
2 ไปที่ Site Map และดูโครงสร้างเนื้อหาโดยรวมของเว็บ
3. ไปที่ Top 15 REFDESK Pages และดูว่ารวมลิงค์ใดที่ท่านชอบใจเป็นพิเศษ
สำหรับผม ชอบรวมลิงค์ Site of the Day มากเป็นพิเศษ เพราะว่าทุกวันเขาคัดเลือกเว็บที่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไปมาเสนอเป็น Site of the Day และให้คำอธิบายสั้น ๆ ถ้าเว็บใดเราสนใจเป็นพิเศษก็คลิกเข้าไปดูได้ และเขายังได้รวมรวม Site of the Day รายเดือนไว้ด้านล่างให้เราคลิกเข้าไปค้นดู ผมอยากจะบอกว่า ถ้ามันตรงกับประเภทที่เราสนใจ เว็บที่เขานำมาแนะนำมักไม่ทำให้เราผิดหวัง ท่านทำ Bookmarks/Favorite ไว้เลยครับ
จึงขออนุญาตพูดอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าเราพยายามฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้คล่อง ความรู้และข้อมูลข่าวสารทั้งโลกก็อยู่ข้างหน้าเราเพียงแค่เปิดคอมฯต่อเน็ตก็เจอแล้ว
.... ภาษาอังกฤษมีประโยชน์อเนกอนันต์ครับ...
ศึกษาเพิ่มเติม เว็บอื่น ๆ ที่คล้าย refdesk.com: คลิก
พิพัฒน์
ฝากหนังสือโจ๊กให้เล่มนึงครับ : An Encyclopedia of Humor
ท่านเคยอ่านหนังสือโจ๊กของฝรั่งไหมครับ ผมเคยอ่านหลายเล่มแต่อ่านไม่จบสักเล่ม ที่อ่านไม่จบก็เพราะบ้างก็ติดศัพท์, บ้างก็นึกไม่ออกว่ามันขำตรงไหน แต่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ข้ามไปบ้าง ก็ดีเหมือนกัน บางเรื่องก็ทะลึ่งมาก ทะลึ่งน้อย หรือไม่ทะลึ่งเลย ที่เรียกว่า clean joke และวันนี้ผมมีเล่มนี้มาฝาก เมื่อคลิกที่ Bookmarks จะเห็นว่ามีทั้งหมด 16 หมวด
→ An Encyclopedia of Humor
เล่มนี้ก็เป็นอย่างเล่มอื่นที่ผมเคยอ่าน ท่านลองคลิกอ่าน คลิกข้าม ๆ ดูสักหน่อยก็ดีครับ และข้อสังเกตของผมก็คือ ภาษาพูดที่ใช้ในการเล่าโจ๊กนี่ เขาจะใช้ภาษาง่าย ๆ ที่เรียบ ๆ เพื่อให้คนอ่านเข้าใจได้ทันทีไม่ต้องตีความ ผมหยิบมาให้ท่านอ่านเล่น ๆ ประมาณ 10 เรื่องข้างล่างนี้ครับ
→ คลิก
ฝึกฟังข่าวในประเทศเป็นภาษาอังกฤษ ที่เว็บ นสพ. Bangkok Post Learning
ฝึกฟังข่าวในประเทศเป็นภาษาอังกฤษ ที่เว็บ นสพ. Bangkok Post Learning
→ https://www.bangkokpost.com/learning/
ข่าวที่เว็บนี้ฟังง่ายกว่าข่าว BBC หรือ CNN เยอะ เพราะว่า
- (1)ส่วนมากเป็นข่าวในประเทศซึ่งเราก็พอรู้เรื่องอยู่แล้ว
- (2)เป็นข่าวที่เขียนด้วยศัพท์ง่าย ๆ เพื่อการฝึกภาษาอังกฤษ
- (3)มีเนื้อข่าวให้อ่านด้วย ส่วนคำศัพท์สำคัญก็มีทั้งความหมายและคำแปลให้ดู
- (4)อ่านไม่เร็วและอ่านชัดมาก ฟังทัน
ที่ดีมาก ๆ ก็คือ ธรรมดาเว็บข่าวแบบนี้จะมีข่าวเก่าให้เราอ่านย้อนหลังไม่เกิน 30 วัน แต่ที่นี่ข่าวเก่าเขาเก็บไว้หมด ไม่ลบทิ้ง จึงเป็นบทเรียนให้เราได้ฝึกฟัง-ฝึกอ่านอย่างเต็มที่ ให้วางเมาส์ที่ลิงก์ LEARNING FROM NEWS (ตามภาพข้างบน) และเลือก level ที่ต้องการ
แต่ท่านสามารถพิมพ์คำค้นลงไปที่ ช่อง Search (ตามภาพข้างบน) เพื่อค้นหาเรื่องที่ท่านต้องการฟังโดยเฉพาะ เว็บก็จะค้นทั้งข่าวใหม่และข่าวเก่ามาให้เราฟัง
เมื่อเข้าไปที่เนื้อข่าว.....
- ก็คลิก ► ใต้บรรทัด "Learn from listening"
- หรือ ถ้าเป็นข่าวเก่า ก็หาบรรทัดนี้ให้เจอและคลิกเพื่อฟัง → "Click button to listen to ..."
ลองฝึกฟังดูนะครับ ผมว่าดีมาก ๆ เลย
วิธีธรรมชาติที่สุดในการรู้ศัพท์, จำได้, ใช้เป็น
ผมเข้าไปดูในหลายเว็บไซต์ไทย มองหาคำแนะนำในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ แล้วก็เจอคำแนะนำมากมาย บางแห่งติดโฆษณาด้วยว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้จำได้เร็ว-จำได้เยอะ-จำได้นาน
และพอผมมานึกถึงศัพท์ภาษาไทยก็เห็นว่า เราคนไทยไม่มีปัญหา เพราะเราฟังมาเยอะ-อ่านมาเยอะ เราจึงรู้ศัพท์ภาษาไทยมากเพียงพอต่อการใช้ และก็จำได้ และก็ใช้เป็น
นี่ก็เห็นได้ชัดว่า วิธีธรรมชาติที่สุดในการ "รู้ศัพท์-จำได้-ใช้เป็น" ก็คือพูดเยอะ ๆ และอ่านเยอะ ๆ นี่เป็นสูตรที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย คนทุกชาติที่พูดและอ่านภาษาของตัวเองได้ ก็ใช้วิธีนี้ทั้งนั้น
คราวนี้เมื่อมาดูพวกเราคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทย เราไม่มีโอกาสไปเรียน ทำงาน หรือใช้ชีวิตที่เมืองนอก เพราะฉะนั้นช่องทางที่ 1 คือพูดเยอะ ๆ จึงแคบหรือตัน แต่ก็ยังมีช่องทางที่ 2 คืออ่านเยอะ ๆ เพราะเราสามารถฝึกอ่านที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ มากเพียงใดก็ได้ แต่คนไทยจำนวนมากก็ไม่ชอบฝึกผ่านช่องทางที่ 2 นี้ และดูเหมือนว่าวิธีรู้ศัพท์ที่คนไทยชอบใช้มากที่สุดก็คือการท่องศัพท์อังกฤษ+คำแปลไทย อัดเข้าไปในสมอง
การรู้ศัพท์โดยการท่องอัดต่างจากการรู้ศัพท์โดยการอ่านเนื้อหาภาษาอังกฤษตรงไหน?
มันต่างตรงที่ว่า เมื่อเราอ่านภาษาอังกฤษไปเรื่อย ๆ เราจะเจอทั้งศัพท์ที่เรารู้จัก, ศัพท์ที่เราไม่แน่ใจ, ศัพท์ที่คลับคล้ายคลับคลา, ศัพท์ที่เราไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็น, ศัพท์ที่เรารู้จักแต่อ่านเนื้อความก็ยังงง และนี่แหละครับคือโอกาสในการฝึกเพื่อพัฒนาคำศัพท์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด ผ่านการระลึก, รื้อฟื้น, ทบทวน, ตีความ, สังเกต, สรุป, จดจำและนำไปใช้ และพัฒนาให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ
เราเรียนศัพท์ภาษาไทยอย่างไร เราก็สามารถเรีบนอย่างนั้นกับศัพท์ภาษาอังกฤษ
แต่ปัญหาก็คือ เมื่อมองย้อนหลังไปดูจำนวนชั่วโมงการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เราต้องยอมรับว่า ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ นักเรียนไทยอ่านภาษาอังกฤษน้อยมาก ถ้าไม่ตั้งใจจริง ๆ ที่จะปลีกเวลาหาภาษาอังกฤษมาฝึกอ่านเอง, เราจะจบการศึกษาด้วย scope of vocabulary และ reading skill ที่น้อยมาก... น้อยจนอ่านอะไรแทบไม่ออก ใช้ทำงานก็ไม่ได้ จะหาความรู้จากเน็ตก็ต้องผ่านหน้าเว็บไทยเท่านั้น
ถ้านั่นเป็นเรื่องในอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ณ วันนี้จะให้ทำยังไง?
ถ้าเปรียบกับการปลูกบ้าน ทักษะการอ่านและศัพท์ภาษาอังกฤษของคนไทยโดยทั่วไปที่เรียนจบจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก็เหมือนการปลูกบ้านในที่ลุ่มซึ่งเป็นดินเลนและยังไม่ได้ลงเสาเข็มใด ๆ ทั้งสิ้น พอยุคนี้ฮือกันว่าภาษาอังกฤษต้องดีชีวิตจึงจะไปได้สวย หลายคนก็ฝันที่จะทำอย่างนั้น-อย่างนี้-อย่างโน้น เกี่ยวกับตัวบ้าน ฝาบ้าน และหลังคา ซึ่งโชว์ชาวบ้านได้ แต่ไม่สนใจเรื่องถมดินและลงเสาเข็มซึ่งสำคัญสุดและต้องทำก่อน แต่โชว์ไม่ได้เพราะมันอยู่ใต้ดิน
การถมดินและลงเสาเข็ม ก็คือการกลับไปทำพื้นฐานที่ไม่มีให้มันมี หรือเสริมพื้นฐานที่อ่อนให้แข็ง เหมือนกับที่ผมเคยบอกว่า ถ้าเราเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 1 แต่คำศัพท์และทักษะการอ่านยังอยู่แค่ ป.1 หรือ ม.1 เราต้องยอมถ่อมใจ, กัดฟัน, อดทน กลับไปอ่านหนังสือที่ระดับนั้นก่อน และไต่มาเรื่อย ๆ จะเรียกว่านี่เป็นการ "ใช้หนี้" หรือ "ใช้กรรม" ที่เคยทำไว้กับภาษาอังกฤษ ที่เป็น "เจ้ากรรมนายเวร" ก็ได้
และต้องขอย้ำว่า นี่ไม่ใช้การ "ท่องศัพท์" ที่หลายคนยึดเป็นคำตอบสุดท้าย การฝึกอ่านภาษาอังกฤษและเรียนรู้ศัพท์ไปพร้อมกัน ไม่ใช่เป็นการใช้สมองแค่หย่อมเดียวเพื่อท่อง แต่เป็นการใช้สมองทั้งก้อนให้กับเรื่องที่อ่าน ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง, ศัพท์ สำนวน, การตีความ, การเดา, การสังเกต, สรุป, จับประเด็น, ซึมซับโครงสร้างของประโยคและลีลาของภาษา ฯลฯ นี่เป็นเรื่องที่ตำราหรือครูช่วยได้ก็แค่แนะวิธีเหมือนให้แผนที่บอกทาง แต่การฝึกให้เข้าใจทุกคนต้องทำเอาเอง และก็อย่าไปเชื่อว่าจะมีทางลัด, หลักสูตร, โปรแกรม, apps ฯลฯ ที่ช่วยได้มากมายจนเราแทบไม่ต้องออกแรง นั่นมันเรื่องโกหกทั้งนั้นแหละครับ
และจะเริ่มอ่านตรงไหน? อ่านอะไรล่ะ?
ในเว็บ e4thai.com ก็มีเนื้อหาให้ท่านฝึกมากพอสมควร ให้ดูที่คอลัมน์ซ้ายมือของเว็บ และคลิกเข้าไปเลือกบทความที่ปุ่ม Reading, Kids, Students, หรือจะคลิกที่นี่ หรือใช้ Search ของเว็บหาก็ได้
พูดถึงเรื่องทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ผมอดไม่ได้ที่จะสรุปว่า ระบบการศึกษาของไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เด็กไทยไม่มีทักษะในการอ่านเพราะไม่ได้ฝึกอ่าน และถ้าเราจะเริ่มอ่านตอนนี้เราต้องเริ่มด้วยการชอบอ่าน หรือมี "ฉันทะ" ซะก่อน แต่อย่างที่รู้กัน คนไทยอ่านหนังสือน้อยมากยิ่งภาษาอังกฤษด้วยแล้วแทบไม่ได้แตะ ถ้าพูดว่าต้องมีฉันทะมันก็ต้องมีถึง 2 ตัว คือ (1) มี "นิสัย" ที่นักการอ่าน และ (2)มี "หนังสือ" เล่มที่อยากอ่าน แต่ถ้านิสัยก็ไม่มี หนังสือก็ไม่หา(รอให้คนอื่นหาให้) ก็จบกันแหละครับ มันชวนให้คิดต่อไปว่า คนไทยโดยทั่วไปนี่ก็เก่งหลายอย่าง ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในระดับอาเซียนและนานาชาติก็หลายเรื่อง แต่ทำไมเรื่องการอ่านภาษาอังกฤษถึงได้แย่คงเส้นคงวา แย่เสมอต้นเสมอปลาย จะบอกว่าภาษาอังกฤษยากก็ไม่น่าใช่ เรื่องอื่น ๆ ยากกว่านี้เยอะแยะทำไมเราทำได้โดยครูไม่ต้องสอน แต่เฉพาะภาษาอังกฤษเราชอบบ่นกันนักว่าครูไม่ดีหรือครูไม่พอหรือชั่วโมงเรียนน้อยเกินไป แต่เรื่องอื่น ๆ เรากลับทำได้แม้ไม่มีครูสอน ไม่มีชั่วโมงเรียนในห้อง
มานั่งนึกดูอีกทีก็เห็นว่า เป็นไปได้ว่าที่คนไทยเราไม่สนใจที่จะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษก็เพราะ เรารู้สึกว่า ถึงไม่รู้ก็ไม่อดตาย ถึงไม่รู้ก็หางานทำได้ ไม่เดือดร้อนอะไร ซึ่งสรุปอย่างนี้อาจจะจริงก็ได้ แต่ในอนาคตเราคนไทยอาจจะอยู่ยากขึ้นหากไม่รู้ภาษาอังกฤษในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเขานำหน้าเราไปหลายก้าว และตอนนี้ถ้าท่านจะสบาย ๆ ไปก่อนก็คงได้ แต่ลูกหลานของท่านอาจจะลำบากในวันข้างหน้า เพราะอะไรมันก็ไม่แน่
ฝึกอ่านภาษาอังกฤษทุกวันเถอะครับ ให้มันกลายเป็นนิสัยส่วนตัวของเราประจำชาติไทยของเรา และปัญหาเกี่ยวกับภาษาอังกฤษหลาย ๆ อย่างที่เราบ่นกันมาเนิ่นนาน ก็จะค่อย ๆ หมดไป แต่ถ้าเราอยากมากแต่พยายามน้อยในทุกเรื่องเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเช่นทุกวันนี้ แม้แต่ลาวก็อาจจะแซงไทยในไม่ช้า
พิพัฒน์