Articles
การ Search หาเรื่องที่ต้องการใน Facebook
ทุกวันนี้ Facebook เป็นหน้าเว็บส่วนตัวของทุกคน, ทุกองค์กร, ทุกบริษัท, หลายคน-หลายแห่ง มีเว็บไซต์ของตัวเองเป็นงานเป็นการอย่างถาวรแล้ว ก็ยังต้องมีหน้า Facebook เป็นหน้าร้านขายของ, วางโชว์-โฆษณา-แนะนำ สินค้า, หรือพูดคุยกับเพื่อนฝูงใกล้ชิดผ่าน Friend Page หรือสาธารณชนทั่วไปผ่าน Fan Page
ผมกำลังจะแนะนำท่านในการ Search ข้อมูลเพื่อการศึกษาภาษาอังกฤษ ผ่าน Fan Page ที่หลายคนหรือหลายองค์กรทำไว้ให้คนเข้าไปศึกษาอังกฤษได้ฟรี, Fan Page เหล่านี้มีสินค้าวางขายเยอะ แต่ของฟรีก็มาก เพราะถ้าไม่มีของฟรีคนอื่นก็คงไม่เข้าไปดู, เมื่อไม่เข้าไปดูเขาก็ขายของไม่ได้, เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องมีของฟรีเพื่อดึงคนเข้าไป สำหรับพวกเราที่ชอบของฟรีในการศึกษาภาษาอังกฤษ เมื่อเข้าไปใน Fan Page พวกนี้แล้ว ก็พิจารณากันเอาเองแล้วกันครับ ว่าจะใช้บริการของเว็บที่เป็นของฟรีหรือของเสียเงิน
เมื่อท่านเข้าไปที่หน้า Facebook กลางหน้านี้
→ https://www.facebook.com/
จะเห็นช่องนี้ที่มุมบนซ้าย
ท่านก็พิมพ์คำค้นลงไปได้เลย แล้วก็เลือกคลิกผลที่เขาแสดง:
คำค้นภาษาไทย ก็จะได้ Facebook ของคนไทย เช่น → ศัพท์ภาษาอังกฤษ, สนทนาภาษาอังกฤษ, คำคมภาษาอังกฤษ, สำนวนภาษาอังกฤษ เป็นต้น ก็มักจะได้ Facebook ของคนต่างชาติ เช่น คำค้นเรื่องที่ต้องการรู้ เช่น → english grammar, english grammar test, english conversation, english listening practice, toefl ชื่อหน่วยงาน เช่น → ฺBangkok Post Learning, BBC learning English, learn english british council เช่น → English with Jennifer, alisha english class 101, English with Lucy |
เอาละครับ ตอนนี้มาถึงเรื่องที่อาจจะสำคัญมากกว่า คือถ้าท่านเจอ Facebook ที่ถูกใจ เช่น สมมุติว่า คือหน้านี้
→ https://www.facebook.com/En4Th/
ซึ่งก็คือหน้าฝากบทความที่ผมเขียนไว้ที่เว็บ e4thai.com นั่นเอง คือว่า เมื่อผมเขียนบทความใด ๆ ลงที่เว็บ e4thai.com ผมก็นำลิงก์ URL ของบทความมาฝากไว้ที่หน้า Facebook นี้ แต่สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาสำหรับบางท่านก็คือ เมื่อผ่านไปหลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน ท่านอาจจะจำไม่ได้แล้วว่า บทความที่ท่านชอบมันอยู่ที่ไหน เพราะว่าลิงก์บทความเก่า ๆ มันจะอยู่ข้างล่าง ๆ ๆ ๆ ๆ ลงไป จนขุดแทบไม่เจอแล้วว่ามันอยู่ที่ไหน
แต่การ Search ก็ไม่ยากครับ ให้ท่านดูที่คอลัมน์ซ้ายสุด และคลิกที่คำว่า Posts ตามภาพข้างล่างนี้
เมื่อคลิกแล้ว ท่านจะเห็นช่องตามภาพข้างล่างนี้ ที่คอลัมน์ด้านขวามือ
ที่ช่องนี้แหละครับ ขอให้ท่านพิมพ์ชื่อบทความลงไป (เป็นคำค้น สั้น ๆ ก็พอ) มันก็จะไปรวบรวมทุกบทความที่ที่มีชื่อคำค้นนั้นมาให้ท่านดู ไม่ว่าจะเป็นบทความเก่าเพียงใดก็จะดึงมาให้ดูเกลี้ยงเลย
อย่างไรก็ตาม การ Search หาเรื่องราวในบทความผ่านหน้า Facebook ก็ทำได้จำกัด เพราะมันสามารถหาได้แค่ชื่อบทความ แต่ถ้าท่านจำชื่อบทความไม่ได้หรือจำผิด จำได้แค่ถ้อยคำในบทความ มันก็หาให้ท่านไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ท่านก็ต้องเข้าไปหาที่ช่อง Search ของเว็บ e4thai.com ซึ่งท่านจะหาเจอแน่ ๆ
ก็คือช่องตามภาพข้างล่างนี้ ที่มุมบนซ้ายสุดของหน้าเว็บ e4thai ครับ
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
ศัพท์ 3000 คำ พร้อมคำแปลตัวเดียว
ผมเจอลิงก์นี้ ซึ่งรวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยสุด 3000 คำพร้อมคำแปลตัวเดียว คือ 1 คำศัพท์ - 1 คำแปล
→ https://www.engnow.in.th/2017/08/คำศัพท์ภาษาอังกฤษ/
ผมนำมาทำเป็นไฟล์ pdf 173 หน้า และเพิ่ม Bookmarks A → Z ด้วย เพื่อให้ท่านคลิกเข้าไปดูได้โดยสะดวก
→ http://www.e4thai.com/e4e/images/pdf2/3000commonwords.pdf
การที่เขาให้คำแปลไว้แบบ 1 คำศัพท์ - 1 คำแปล เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน คือตามปกติคำศัพท์สามัญ 1 คำมักจะแปลได้หลายอย่าง เขาเลือก 1 คำแปลที่เจอบ่อยสุดมาให้เราดู เพื่อให้เราจำคำแปลนี้ก่อน ส่วนที่มันนอกเหนือไปจากนี้ ก็จดจำเพิ่มเติมกันเอาเองแล้วกัน ทำอย่างนี้ก็ถือว่าใช้ได้
แต่ท่านก็ต้องดูด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะแนะนำศัพท์ชุดนี้ให้เด็ก ๆ หรือลูกศิษย์ หลายคำศัพท์ทีเดียวที่มันมีคำแปลอื่น ๆ ที่น่าจะใช้บ่อยพอ ๆ กัน แต่ก็ไม่ได้ให้ไว้ ก็ต้องแนะนำให้เขาเข้าใจตรงนี้ด้วย เช่น
fat แปลว่า อ้วน - แต่คำแปลว่า ไขมัน ไม่ได้ให้ไว้ table แปลว่า ตาราง - แต่คำแปลว่า โต๊ะ ไม่ได้ให้ไว้ kind แปลว่า ชนิด แต่คำแปลว่า ใจดี ไม่ได้ให้ไว้ light แปลว่า เบา - แต่คำแปลว่า แสงสว่าง ไม่ได้ให้ไว้ miss แปลว่า นางสาว - แต่คำแปลว่า คิดถึง, พลาดไป ไม่ได้ให้ไว้ |
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th
ดาวน์โหลดคลิปศัพท์ Oxford 3000 คำ
♦ดิก Oxford ได้จัดทำคำศัพท์ที่พบบ่อย-ใช้บ่อย 3000 คำ
→ https://goo.gl/FQ9deK
♦และมีคลิปที่นำทั้ง 3000 คำนี้มาอธิบาย โดยให้ทั้งความหมาย และประโยคตัวอย่าง
→ https://goo.gl/9LcqZA
♦ผมเห็นว่า คลิปชุดนี้ (ทั้งหมด 24 คลิป) ดีมาก และก็กลัวว่าในอนาคตมันจะหายไป จึง save ไฟล์ mp4 เก็บไว้ ถ้าท่านใดหรือคุณครูต้องการนำไปศึกษาหรือสอนเด็ก ก็ดาวน์โหลดได้เลยครับ
♣1 คลิป คือ 1 ตัวอักษร (A B C D ...) เมื่อดับเบิ้ลคลิกที่ลิงก์แล้ว ก็คลิกที่ ↓ ที่มุมบนขวาของหน้าเพื่อดาวน์โหลดไฟล์
→ https://goo.gl/ZJqtor
คุยกับฝรั่งเผยแพร่ศาสนาคริสต์บนสะพานลอยที่อนุสาวรีย์ชัยฯ
---------- บางครั้งผมเจอและคุยด้วยกับฝรั่งที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์บนสะพานลอยในกรุงเทพ มองในแง่หนึ่งคนเหล่านี้น่าชื่นชม เพราะเขาพยายามเผยแพร่สิ่งที่เขาเชื่อว่าประเสริฐให้คนต่างชาติต่างภาษาได้รู้จัก บางคนก็พูดไทยได้เยอะ บางคนก็พูดได้น้อยจึงทำได้แค่แจกเอกสารคำสอนภาษาไทยที่ลอกมาจากไบเบิ้ล เมื่อผมเห็นคนเหล่านี้ทำให้นึกได้ว่า ฝรั่งที่มาเมืองไทยเพื่อเผยแพร่ศาสนาหรือที่สมัยก่อนเรียกว่าชักชวนให้คนไทย “เข้ารีต” นั้นได้พยายามมาหลายร้อยปีแล้ว เช่นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็เข้ามากันเยอะ หรือสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีหมอสอนศาสนาคนหนึ่งชื่อบรัดเลย์ แกเป็นหมอหรือนายแพทย์จริง ๆ แต่ก็สอนศาสนาด้วย แกมีผลงานด้านการแพทย์และการพิมพ์หลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้คนไทยจำได้และจดไว้ในประวัติศาสตร์ไทย แต่สิ่งที่คนไทยจำไม่ได้ก็น่าจะเป็นเรื่องการสอนศาสนาของแกนี่แหละ
---------- ฝรั่งเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่ผมพบบนสะพานลอยที่อนุสาวรีย์ชัยฯคนนี้ชื่อ Andrew อายุ 64 ปี เกิดที่สวิตเซอร์แลนด์แต่ได้เมียที่ออสเตรเลียและอยู่ที่นั่น 20 กว่าปีแล้ว เมื่อคุยกับ Andrew ไปได้นิดหน่อยผมรู้สึกชอบใจเพราะว่าแกต่างจากฝรั่งสอนศาสนาคนอื่นที่ผมเคยคุยด้วย คือแกไม่พยายามยัดเยียดแม้แต่นิดเดียวให้คนฟังมาเชื่อพระเจ้า พอเริ่มจะคุยกันยาวก็รู้สึกว่าน่าจะเปลี่ยนสถานที่คุยให้สะดวกขึ้น เราก็เลยย้ายไปนั่งกินกาแฟและคุยกันในร้าน TOP ที่ตีนสะพานลอยแถวนั้นแหละ และก็ได้นัดคุยกันอีกถึง 3 - 4 ครั้ง ตอนหลัง แกพาเพื่อนอีก 2 คนมาร่วมคุยด้วย คือ Jamal อายุ 50 ปี, และ Oliver อายุ 28 ปี, 2 คนนี่เป็นชาวอังกฤษ เขาทั้ง 3 คนนี้ทำงานบริษัทที่ประเทศของเขา โดยใน 1 ปีจะทำงาน 9 - 10 เดือน, และมาเผยแพร่ศาสนาในเมืองไทย 2 - 3 เดือน, Andrew ทำอย่างนี้มา 8 ปีแล้ว, Jamal ทำมา 4 ปี, Oliver ทำมา 2 ปี
--------- การคุยระหว่างผมกับพวกเขาทั้ง 3 คนเป็นไปในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น, เขาบอกว่าคริสต์ของเขาเป็นอย่างนั้น ๆ , ผมก็บอกว่าพุทธของผมเป็นอย่างนี้ ๆ คุยกันยาวครับ ผมขอนำบางคำพูดมาเล่าต่อข้างล่างนี้แล้วกันครับ
♥ ♥ ♥ ♥ ♥
There are some important differences between beliefs in God of Christianity and beliefs in Karma of Buddhism.
Christians are taught to believe that there is the supreme Being called God. The God has power over everything. He teaches people to believe in Him and Jesus. He teaches people to treat each other with love. Those who believe in and obey God will be rewarded in this life and the life after their deaths. The detail of afterlife is not clear, but believed and explained differently by different Christian people.
Buddhists are taught to believe in Karma. The Buddha’s teachings in essence are not different from Christianity. Those who hurt or harm other people in any way will be punished. Those who help and are kind to other people will be rewarded. The results of their own Karma are both in this life and next life. The detail of next life is not clear. It is believed and explained differently by different Buddhist people, as well. The next life of each person will depend on his or her Karma. They may be born again in this human world, or in heavens or in hells. And Buddhists believe that there are several different levels of heavens and hells.
However some people say that they have no religion. They are good people. When they have mental problems, they use western psychology to solve them. We agree that the psychology may help solve some mental sufferings, but not all. Many human problems are beyond the scope of psychology to help.
Some people don’t believe in anything about life after death. They believe that everything finishes or vanishes after their deaths. And this same group of people also don’t believe in the reward or punishment of God or Karma. They only believe in what they and other people can see with their eyes. So when they help other people, they must make sure that everyone or someone knows it, so that what they do will be recognized or rewarded. But sometimes if they get benefits, they can hurt or harm other people if they are sure that nobody know it, that they will not be punished legally or socially.
We agree and conclude that the rewards and punishments of God, as taught by Christianity, or of Karma as taught by the Buddha, are the absolute truths. What we, Christians and Buddhists, believe may be different, but what we do is the same. We will not hurt or harm other people. We will help and be kind to them. And we will take care of our own hearts as taught by God or the Buddha.
พิพัฒน์
"Better Sentence Writing in 30 Minutes a Day" & วิธีฝึกเขียนภาษาอังกฤษ
Better Sentence Writing in 30 Minutes a Day
แบบฝึกหัดฝึกเขียนภาษาอังกฤษ, และศึกษาจากเฉลย
วันนี้ผมมีหนังสือเล่มนี้มาแนะนำ
คลิกอ่าน/ดาวน์โหลด → Better Sentence Writing in 30 Minutes a Day
eBook เล่มนี้มี 166 หน้า - 6 บท ดังนี้
- Chapter 1 Introduction to Sentence Structure
- Chapter 2 Sentence Combining: Basic Strategies and Common Problems
- Chapter 3 Punctuating Sentence Combinations
- Chapter 4 Revising SentencesChapter 5 Free Exercises in Sentence Combining
- Chapter 6 Revising at the Word Level
แต่ละบทจะมีคำอธิบายแบ่งเป็นหลายหัวข้อย่อย แต่ละหัวข้อย่อยจะมี Exercise ให้ทำ และมีเฉลยอยู่ท้ายเล่ม
จุดที่ดีมาก ๆ เกี่ยวกับ Exercise ก็คือ เมื่อคลิกตัวเลขข้อที่หน้า Exercise, ตัวอย่างในภาพข้างล่างนี้ คือ เลข 1
คลิกภาพเพื่อขยายเห็นชัด ↓↓↓
มันจะวิ่งไปที่เฉลย,
คลิกภาพเพื่อขยายเห็นชัด ↓↓↓
และเมื่อคลิกตัวเลขข้อที่หน้าเฉลย ตัวอย่างในภาพข้างบนนี้ คือ เลข 1 มันจะวิ่งกลับมาที่หน้า Exercise, กลับไป-กลับมาอย่างนี้ เราจึงสามารถตรวจคำตอบที่เราทำกับเฉลยได้อย่างสะดวก, และเมื่อต้องการจะอ่านคำอธิบาย ก็คลิกขึ้นไปที่หน้าเหนือ Exeecise และอ่านตรงนั้น
รวม Answer Key ของ eBook อยู่ที่หน้า 128-156/166
แต่ละท่านอาจจะมีวิธีใช้หนังสือเล่มนี้แตกต่างกันไปตามอัธยาศัย แต่สำหรับผม ผมทำอย่างนี้ครับ
[1] ผมไปที่หน้า Answer Key ซึ่งก็คือหน้าเฉลยแบบฝึกหัดของ eBook ซึ่งอยู่ที่หน้า 128/166, และก็เลือกคลิก Chapter ที่ผมสนใจจะฝึกทำมากเป็นพิเศษ ก็คือ Chapter 4, 5, 6
[2] แล้วก็เลือกสัก 1 Exercise ใน Chapter นั้น โดยคลิกที่ข้อแรก หรือเลข 1 ของ Exercise นั้น, เมื่อคลิกแล้วมันก็จะวิ่งไปที่หน้าที่เป็นโจทย์, ก็เริ่มลงมือทำได้เลย
ตอนนี้ขอบอกสักนิดกันการงุนงง, ก่อนจะคลิกให้ท่านดูให้ดีว่า มันเป็น Exercise หมายเลขอะไร เช่น ตามตัวอย่างในภาพข้างบน มันคือ Exercise 4.2, ตอนที่คลิกลิงก์และมันวิ่งไปที่หน้านั้น หน้ามันอาจจะเหลื่อมขึ้นหรือเหลื่อมลงเล็กน้อย ทำให้มองพลาด เพราะฉะนั้นให้หมายตาตัวเลขที่หลังคำว่า Exercise ไว้ก่อน, จะได้ไม่พลาด
เรื่องที่ผมจะแนะนำเกี่ยวกับการใช้หนังสือ Better Sentence Writing in 30 Minutes a Day ก็คงจะมีเท่านี้ แต่ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยด้วยเกี่ยวกับการเขียนภาษาอังกฤษอีกสักเล็กน้อย ถ้าท่านยังไม่รีบไปไหนก็เชิญครับ ข้างล่างนี้
♠ ♠ ♠ ♠ ♠
คือผมมีความรู้สึกว่า เรื่องการเขียนภาษาอังกฤษนี้ เป็นเรื่องที่คนไทยซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน รักน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า การเขียนภาษาอังกฤษให้ถูกต้องและดีนั้น ต้องอาศัยอะไรหลายอย่าง ทั้งแกรมมาร์, ศัพท์, สำนวน, ลีลา, ท่วงทำนอง และอารมณ์ของภาษา จนทำให้หลายคนเบื่อไม่อยากยุ่งกับมัน และสำหรับคนทำงานในสำนักงาน บางคนขี้กลัวมาก กลัวยิ่งกว่าการพูดเสียอีก เพราะการพูดนั้น ถ้าพูดสื่อสารได้ตรงตามที่ต้องการสื่อ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าเป็นภาษาเขียนมันสามารถเหลือหลักฐานให้คนอื่นค่อนแคะได้ว่าผิดตรงนั้นตรงนี้ ความขี้กลัวก็เลยพาลให้ขี้เกียจเขียน
แต่ถ้าท่านผ่านด่านนี้ไปได้ ท่านจะมีทักษะที่โดดเด่นครับ เพราะทำได้ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ค่อยได้หรือไม่อยากทำ - ไม่อยากฝึก
และเรื่องนี้ก็สอนกันยากเล็กน้อย เพราะมันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นศาสตร์ก็เพราะว่ามันมีทฤษฏีและหลักเกณฑ์ให้เรียน มีตำราให้อ่านศึกษา แต่มันก็เป็นศิลป์ด้วย เหมือนการทำอาหารนั่นแหละครับ กางตำราเล่มเดียวกันทำ บางคนทำอร่อย บางคนทำพอกินได้ แต่บางคนทำแล้วไม่มีคนอยากกิน แม้แต่คนทำเอง
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้พูดให้หมดกำลังใจ แต่ต้องการบอกว่า ศิลป์หรือพรสวรรค์ในการเขียนที่เราอาจจะรู้สึกว่าเรามีน้อยนั้น มันฝึกให้มากขึ้นได้ถ้าพยายามมาก ๆ และก็อย่าไปท้อถ้าพยายามแล้วมันเห็นผลช้า
ปัญหาเรื่องการฝึกเขียนภาษาอังกฤษนี่มันมีมาตั้งแต่เราอยู่โรงเรียน เพราะข้อสอบภาษาอังกฤษนั้น แม้แต่ข้อสอบ writing ก็ให้เราติ๊กเลือก A B C D เราแทบไม่มีโอกาส train & test ตัวเองในการเขียนภาษาอังกฤษอย่างจริง ๆ จัง ๆ อย่างมากที่สุด เราก็แค่ตอบว่า อันนั้นผิด อันนั้นถูก แต่เราก็มีโอกาสน้อยในการลงมือเขียนเอง เมื่อฝึกเขียนน้อยก็เขียนฝืดเป็นธรรมดา
ตอนที่ทำงาน บ่อยครั้งที่ผมมอบหมายให้ลูกน้องเขียนงานภาษาอังกฤษ เช่น จดหมาย อีเมล หรือบันทึกอะไรสักอย่าง บางคนแม้ว่าจะจบเมืองนอกก็ยังเขียนผิดเยอะ และสำหรับหัวหน้าซึ่งมีหน้าที่ตรวจการเขียนและแนะนำให้แก้ มันเป็นงานหนักยิ่งกว่าต้องเขียนเองทั้งหมดซะอีก
เรื่องการเขียนนี้ เจ้าหน้าที่ภาครัฐของหน่วยงานในบางประเทศอื่น ๆ ของอาเซียนที่ผมติดต่อด้วย ก็มีปัญหาคล้าย ๆ คนไทย บางครั้งผมเดาไม่ออกว่าเขาต้องการเขียนบอกอะไร เรื่องง่าย ๆ บางเรื่องต้องเขียนถาม-ตอบ กลับไปกลับมาตั้งสามสี่ครั้ง
มาถึงตรงนี้ท่านอาจจะถามผมว่า แล้วจะฝึกเขียนยังไงให้เขียนได้ดี คำตอบของผมไม่ต่างจากที่ผมตอบคำถามนี้ : "จะฝึกพูดอย่างไรให้พูดได้ดี ?"
ข้อ 1:
ก่อนจะพูดได้ดีก็ต้องฝึกฟังเยอะ ๆ, ก่อนจะเขียนได้ดีก็ต้องฝึกอ่าน(สิ่งที่คนอื่นเขียน)เยอะ ๆ, ภาษานั้นเป็นเรื่องของการ "เลียนแบบ" → "เรียนรู้" และ → "รู้" ยากนักหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะรู้โดยไม่ต้อง "เลียน" หรือไม่ต้อง "เรียน"
ข้อ 2:
เมื่ออ่านเรื่องทั่ว ๆ ไปที่เราสนใจแล้ว ต่อไปก็จำกัดวงเรื่องที่อ่านให้แคบลง คือ ถ้างานที่เราต้องเขียนมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร ก็หาเอกสารที่เขียนดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ มาศึกษา ถ้ายกตัวอย่างเกี่ยวกับการพูดก็ต้องบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่คนใดคนหนึ่งจะพูดเก่งได้ทุกสไตล์ พูดแบบพระเทศน์ก็ได้, พูดแบบเซลส์แมนก็ได้, พูดแบบนักการเมืองก็ได้, พูดแบบโฆษกงานวัดก็ได้, พูดแบบนักพากย์มวยหรือแข่งเรือก็ได้ แต่ที่เราทำได้ก็คือพูดให้เก่งสักเรื่องหนึ่ง การฝึกเขียนก็ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราทำงานในสำนักงานก็ควรมุ่งฝึกให้เขียนเก่งในเรื่องหรือแนวใดแนวหนึ่ง เราอาจจะเขียนเนื้อหาทั่ว ๆ ไปได้ในทุกเรื่อง แต่เรื่องที่จะเขียนได้ดีเลิศคงมีน้อยเรื่อง และต้องฝึกมากหน่อย
ข้อ 3:
"ผิดเป็นครู" - คำนี้แปลว่า (1) เมื่อเขียนผิดก็ไม่ต้องท้อหรือแหย แต่พยายามศึกษาว่ามันเขียนผิดหรือไม่ค่อยดีที่ตรงไหน และ (2) ต้องฝึกเขียนเยอะ ๆ เพราะถ้าเราฝึกเขียนน้อยเราก็จะเขียนผิดน้อย และเรียนรู้น้อย หรือถ้าไม่ฝึกเขียนเลยก็จะไม่เขียนผิดเลย ซึ่งก็คือเขียนไม่เป็นเลย เพราะไม่ได้ฝึกเขียน
ข้อ 4:
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเขียนผิด หรือเมื่อรู้ว่าเขียนผิดหรือเขียนได้ไม่ค่อยดี ถ้าไม่มีครูช่วยแนะ ก็คงผิดอยู่อย่างนั้นแหละ !!! "
ผมอยากให้คนไทยที่ฝึกภาษาอังกฤษ ก้าวพ้นจากกรอบความคิดที่แคบ ๆ อย่างนี้ซะที คือความคิดที่ว่า ถ้าไม่มีครูตัวเป็น ๆ มายืนสอนเปล่งเสียงอยู่ข้างหน้า เราไม่มีทางเรียนได้รู้เรื่องดี เพราะจริง ๆ แล้ว ตาและหูนั่นแหละครับคือคุณครูที่เที่ยงแท้แน่นอนและเป็นที่พึ่งได้ การได้อ่านและฟังเรื่องดี ๆ เยอะ ๆ บ่อย ๆ จะค่อย ๆ สอนให้เรา "จับ" ได้เองแหละว่า อะไรถูก อะไรผิด ควรพูดอย่างไร เขียนอย่างไร นี่คือการเรียนภาษาอังกฤษอย่างผู้ใหญ่ที่พึ่งตัวเองได้ในโลกทุกวันนี้ ถ้าเรายังยึดติดกับภาพของครูอย่างในอดีตและยืนกรานจะเป็นศิษย์ติดครู เราก็คงไม่ต่างจากคนที่ยืนยันจะนั่งวีลแชร์รอให้คนอื่นเข็น ทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่มสาวมีกำลังและขาไม่ง่อย
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th