Articles
รวมรวมคำสอนและงานเขียนของพุทธทาสภิกขุที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ผมพยายามรวบรวมคำสอนและงานเขียนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้ตามลิงก์ข้างล่างนี้ ท่านใดพบเห็นที่นอกเหนือจากนี้ หรือมีไฟล์ที่จะบริจาคเพื่อเผยแพร่ กรุณาแจ้งด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
เชิญครับ....
- ABCs of Buddhism
- Getting Started in Mindfulness With Breathing: คลิก
- Anapanasati: Mindfulness of Breathing
- Anapanasati: Mindfulness with Breathing - Unveiling the Secrets of Life
- Introduction to Mindfulness with Breathing
- Atammayata: Rebirth of a Lost Word
- Buddha Dhamma for University Students
- Conserving the Inner Ecology
- Danger of I
- Dhamma Flows Naturally into Dhamma
- Dhamma for Agriculturists
- Dhammic Socialism เขียนโดย Professor Donald Swearer (คลิก) / เขียนโดย Santikaro (คลิก)
- Essential Points
- Forest Wat, Wild Monks
- Handbook for Mankind
- Happiness & Hunger : ลิงก์ 1 , ลิงก์ที่ 2
- The Dawning of Truths Difficult For Anyone To Believe : Truths 1-33 | Truths 34-66 | Truths 67-100
- Heart-Wood from the Bo-Tree
- Help! The Kalama Sutta, Help!
- Idappaccayata: The Buddhist Law of Nature:คลิก
- Insight by the Nature Method
- Keys to Natural Truth
- Legacies We Would Leave With You
- Looking Within
- Natural Cure for Spiritual Disease
- Nibbana for Everyone
- No Religion
- Patticasamupada - Practical Dependent Origination
- Please, Let's All Be Buddhadasas
- Prison of Life : ลิงก์ 1 ,ลิงก์ที่ 2
- Quenching without Remainder & the Fruit of Meditation: คลิก
- (A) Single Bowl of Sauce Solves All the World’s Problems
- Style of Practice at Suan Mokkh
- To Act or Not to Act
- Two Kinds of Language
- VOID MIND: คลิก
- Walking Meditation Guide
- Working with Void-Free Mind
ประวัติพุทธทาสภิกขุ
- http://dharma-documentaries.net/the-life-and-works-of-buddhadasa-bhikkhu
- Life History of Buddhadasa Bhikkhu
- Buddhadasa - Wikipedia, the free encyclopedia
- Buddhadasa Bhikkhu - Encyclopedia.com
แหล่งที่มา:
- http://www.suanmokkh.org/archive/index.htm#ebooks
- http://www.dhammatalks.net/
- http://www.abuddhistlibrary.com/
- http://www.liberationpark.org/about/books.htm
ธรรมะภาษาไทย:
- "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" - หนังสือประวัติชีวิตท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุที่ท่านเล่าเอง
- หนังสือธรรมะ -ลิงค์1-ลิงค์2-ลิงค์3-ลิงค์4(ชุดธรรมโฆษณ์)-ลิงค์5
- เสียงธรรมะ -ลิงค์1-ลิงค์2-ลิงค์3-ลิงค์4
- “คู่มือมนุษย์” และ “แก่นพุทธศาสน์” - หนังสือธรรมะชื่อก้อง ๒ เล่ม โดย พุทธทาสภิกขุ
พิพัฒน์
ฝาก Worksheet แบบฝึกหัดและเฉลยภาษาอังกฤษ 6 เล่มให้คุณครูสอนภาษาอังกฤษครับ
- 101 worksheets for English lessons - Entry Level
- 194 worksheets for English lessons - Elementary Level
- 101 worksheets for English lessons - Elementary Level A1 - A2
- 201 worksheets for English lessons - Intermediate Level
- 95 worksheets for English lessons - Intermediate Level
- 45 worksheets for English lessons - Advanced Level
21 กย 59: http://www.englishgrammar.org/lessons/
เพิ่มเติม:
วิธีฝึกสมาธิวิธีอานาปานสติ โดยท่านอาจารย์พุทธทาส ภิกขุ
เสียงบรรยายเรื่องอานาปานสติ
เสียงบรรยายเป็นภาษาไทย
- http://www.buddhadasa.com/sound10_anapa/anapanasati.html
- https://www.youtube.com/watch?v=xAKVURRlOuk&list=PLpPVg6BY5of1_l9nxVwv2O2W6ItDhZK2x
เสียงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ
หนังสือเรื่องอานาปานสติภาวนา (ชุดธรรมโฆษณ์)
ภาษาอังกฤษ
แปลโดย Bhikkhu Nagasena
แปลโดย Santikaro Bhikkhu
ประวัติย่อ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
พัฒนาทักษะในการพูด ด้วยการอ่านอย่างสังเกตและสม่ำเสมอ
สวัสดีครับ
ผมเชื่อว่าทุกวันนี้คนไทยทุกอายุตื่นตัวมากขึ้นเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เมื่อรู้สึกว่าทักษะที่กำลังเรียนหรือเคยรู้จากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมันไม่พอ ก็อยากจะรู้มากขึ้น เพื่อใช้พูดจาสื่อสารกับคนต่างชาติได้ แต่บางท่านอาจจะรู้สึกว่าติดขัด และไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มันไหลลื่น
คำแนะนำของผมสำหรับทุกท่านมีสั้น ๆ นิดเดียวครับ อ่านออก-เขียนได้ ต้องไปด้วยกัน และฟังออก-พูดได้ ก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น ถ้าต้องส่งสารด้วยการพูดและเขียน ก็ต้องฝึกรับสารด้วยการอ่านและฟัง
และผมเชื่อว่า นี่คือปัญหาพื้นฐานของคนไทย คือเราต้องการพูดได้-เขียนได้ แต่เราฝึกอ่านน้อยเกินไป และฝึกฟังน้อยเกินไป เราก็เลยพูดไม่ค่อยได้ และเขียนไม่ค่อยได้
ใช่แล้วครับ มันเป็นจริงอย่างที่บางคนเคยพูดไว้ การเรียนภาษาหนีเรื่องการเลียนแบบไม่ได้ ถ้าทารกคนไหนบอกว่า ฉันจะไม่ยอมจำขี้ปากใครในการฝึกพูด เด็กคนนั้นคงพูดไม่ได้เลยแม้จะไม่ได้เป็นใบ้
สรุปก็คือ ใครก็ตามที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ อาจจะต้องฝึกหลายอย่างตามสไตล์ที่ตัวเองชอบ แต่อย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ก็คือต้องอ่านและฟังเยอะ ๆ
การอ่านและฟังคือการเปิดรับและสะสมวัตถุดิบเข้าไว้ในสมอง วัตถุดิบนี้ก็คือ ศัพท์ วลี สำนวน สำเนียง ลีลาของภาษา แกรมมาร์ ผ่านตาและหู ซึ่งของพวกนี้บางทีก็มีกฎเกณฑ์ให้จำ เหมือนกับ Go อ่านว่า โก, So อ่านว่า โซ แต่บางทีก็น่าสงสัยว่า ทำไม Do อ่านว่า ดู และ To อ่านว่า ทู
การฝึกภาษาอังกฤษจึงเป็นไปตามธรรมชาติของมัน คือ ฝึกบ่อย ๆ ==> คุ้นเคย ==>จำได้ ==>ใช้เป็น
ข้อความข้างบนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร เพราะเป็นความจริงง่าย ๆ ที่ไม่ต้องพูดมาก แต่ถ้ามองให้ดี มันก็มีอะไรที่หลายคนลืมมอง จึงต้องขอเอามาพูดสักหน่อย
ข้อที่ 1: ผมเชื่อว่า หลายท่านคงเคยได้ยินผู้รู้หรืออาจารย์แนะว่า ตอนพูดภาษาอังกฤษ ให้พูดออกไปเลย ไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทย จะพูดผิดพูดถูกก็ช่างมัน ฝึกพูดเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็พูดได้เองแหละ คำแนะนำเช่นนี้ พูดง่ายแต่ทำตามยาก เพราะตอนที่เราจะพูดภาษาอังกฤษ ถ้าภาษาไทยมันวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในสมองให้คึ่ก ถึงเราออกปากไล่ มันก็คงไม่ไปง่าย ๆ
แต่ความจริงอยู่ที่ 2 บรรทัดนี้:
ถ้าเราอ่านมาก-ฟังมาก จนร่องสมองคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ เวลาที่เราต้องพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษถึงคนต่างชาติ เราจะคิดถึงภาษาไทยน้อยลง และเราจะรับ style ของภาษาอังกฤษในการพูดและเขียนได้ง่ายขึ้น
แต่....
ถ้าเราอ่านน้อย-ฟังน้อย และร่องสมองของเราแทบไม่เคยรู้จักภาษาอังกฤษเลย เวลาที่เราจะพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษถึงคนต่างชาติ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ภาษาไทยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านจะนั่งอยู่เต็มห้องรับแขก และก็คงยากสักหน่อยที่จะขับไล่ภาษาไทยออกไป จึงไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะที่บางคนอาจจะพูดแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ทำนองข้างล่างนี้
อยู่ไปวัน ๆ – live go day day
หล่อนเป็นคนเรื่องมาก – She is many stories.
พูดไปพูดมา – talk go talk come
ไปดีมาดี – go good come good
อยู่ดีกินดี – stay good eat good
อยู่ดีไม่ว่าดี – stay good say not good
ไข่ลูกเขย – eggs of son-in-law
ฝากเนื้อฝากตัว – Please accept my meat, please accept my body.
ข้อที่ 2: ข้อความที่บอกว่า ฝึกบ่อย ๆ นำไปสู่ ==> ความคุ้นเคยนั้น คือบอกว่า เราต้องพยายามฝึกอย่างสม่ำเสมอ แต่ผมขอเสริมว่า แค่สม่ำเสมออย่างเดียวยังไม่พอ ต้องฝึกด้วยสมองที่สังเกต และใจที่เป็นสมาธิด้วย จึงจะช่วยให้การฝึกได้ผลดี และได้ผลเร็ว
เรื่องการฝึกภาษาอังกฤษด้วยใจที่เป็นสมาธิและปล่อยวาง ผมพูดมาหลายครั้งแล้ว วันนี้จึงของด แต่จะขอพูดเป็นพิเศษเรื่องการสังเกต
ท่านผู้อ่านครับ ทุกวันนี้มีตำราภาษาอังกฤษคุณภาพดีออกวางขายมากมาย และมีเนื้อหาครอบคลุมทุกเรื่องที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เช่น เรื่องศัพท์ แกรมมาร์ ลีลา/ที่มา/วัฒนธรรมของภาษา การตีความ/การเดาศัพท์เรื่องที่อ่าน ฯลฯ เนื้อหาในหนังสือพวกนี้ เหมือนกับเก็บกฎเกณฑ์และข้อสังเกตไว้จนเกลี้ยง ถ้าจำได้ก็จะช่วยให้เรามีจุดให้จับสังเกตได้ง่ายขึ้นเมื่อเราอ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ
แต่เราอย่าได้เข้าใจผิดว่า ตำราพวกนี้จะสร้างปาฏิหาริย์ช่วยให้เราเป็นผู้ชำนาญเมื่ออ่านจบเล่ม เพราะความชำนาญที่แท้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราอ่านบ่อย ๆ – ฟังบ่อย ๆ จนจับลีลาของภาษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ภาษาอังกฤษขัดกับภาษาไทยที่เป็นภาษาแม่ของเรา
ท่านลองดู 4 ข้อความข้างล่างนี้ ผมนำมาจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post
ข้อความที่ 1
Police were investigating the motive for the tragedy.
ถ้าเขาเขียนว่า … the motive of … จะผิดไหม?
ข้อความที่ 2
Mr Kittanesh said he and his daughter were travelling to Singapore in the hope the Singapore High Court judges will be sympathetic to their appeal. The court will read its ruling at 2pm.
ถ้าเขาเขียนว่า … will be sympathetic for … จะผิดไหม?
ข้อความที่ 3
Siriraj Hospital set off shockwaves of hope and scepticism Monday with its terse announcement that researchers there had developed a breakthrough treatment for the Ebola virus.
ถ้าเขาเขียนว่า … a breakthrough treatment of the Ebola virus.… จะผิดไหม?
ข้อความที่ 4
According to the World Wide Fund for Nature, most ivory smuggled into Vietnam is destined for China but some is sold locally for $770-$1,200 per kilogramme.
ถ้าเขาเขียนว่า … is destined to China.… จะผิดไหม?
คำตอบของทั้ง 4 ข้อก็คือ ผิดครับ, ผิดหลัก collocation
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะถามว่า นี่ต้องระวังจนตัวเกร็ง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าเขียน เพราะมันจะผิด อย่างนั้นหรือ?
มิได้ครับ มิได้หมายความอย่างนั้น ผมเพียงแต่จะบอกว่า ตอนที่เราอ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ นอกจากการ “รู้เรื่อง” แล้ว มันย่อมไม่เป็นการเสียหายอะไรเลย ถ้าเราจะเปิดหูเปิดตาให้กว้าง ๆ เรียนรู้โดยสังเกตลีลาของภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างกัน เช่น verb + preposition, collocation, การเลือกใช้ tense ในข้อความที่ต่างกันไป เป็นต้น การสังเกตเช่นนี้มิใช่ช่วยเพิ่มพูนเพียงทักษะของภาษา แต่ยังเป็นการออกกำลังสมองของเราให้แข็งแรงและแก่ช้าอีกด้วย
ที่พูดมาข้างต้นนี้เป็นเรื่องของการสังเกตชนิดที่มีหลักเกณฑ์ให้จับ หรือมีตำราให้อ่าน แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเองก็บอกไม่ถูกว่า เราควรจะสังเกตยังไง แต่ถึงยังไงเราก็ควรสังเกตเพราะมันมีประโยชน์มาก
คือว่า อย่างที่ผมเคยพูดบ่อย ๆ ว่า การอ่านภาษาอังกฤษมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่าน story เพราะ story มีทั้งบทสนทนาและบทเล่าเรื่อง และการพูดจาในชีวิตประจำวันเราก็พูดอยู่แค่ 2 อย่างนี้เท่านั้นแหละครับ คือ (1)พูดสนทนาโต้ตอบกันด้วยประโยคสั้น ๆ และ (2)พูดเล่าเรื่อง เราเป็นคนเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างนี้ต้องพูดยาวหน่อย
การอ่าน story บ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มพูนทักษะในการสนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่อง และในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงการเล่าอย่างถูกต้องแกรมมาร์ แต่หมายถึงการพูดเล่าเรื่องที่ ชัด, สั้น, สวย
ชัด คือ เล่าเรื่องได้อย่างชัดเจน ไม่ทำให้คนฟังเข้าใจผิด ถ้าเล่าว่าเราเห็นวัวอยู่ในทุ่งตอนอาทิตย์อุทัย ก็อย่าพูดคลุมเครือจนทำให้คนฟังเข้าใจผิดว่าเราเห็นควายอยู่ในทุ่งตอนอาทิตย์อัศดง
สั้น คือ กระชับ เรื่องบางเรื่องที่แม้ซับซ้อน หากสามารถเล่าจบได้ภายใน 5 นาที ก็ไม่ควรใช้เวลาเล่าถึงครึ่งวัน
สวย คือ สวยงาม เล่าเรื่องให้คนฟังรู้สึกอยากฟัง ไม่ใช่ต้องทนฟัง
ท่านผู้อ่านอาจจะบอกว่า ถ้าขืนให้พูดภาษาอังกฤษตามสเป๊กนี้ใครจะไปทำได้ อย่าว่าแต่ภาษาอังกฤษเลย พูดเป็นไทยยังยาก
ท่านผู้อ่านครับ ขอให้เชื่อเถอะครับว่าทุกอย่างพัฒนาได้ถ้าเราฝึกไม่หยุด ในเว็บนี้ผมได้รวบรวมหนังสือ story “หนังสืออ่านนอกเวลา” กว่า 150 เล่ม level 1 – 6 ให้ท่านดาวน์โหลดไปฝึกอ่าน หนังสือพวกนี้ต้นฉบับเป็นหนังสือ classic หรือนิยายสมัยใหม่ที่มีชื่อเสียง ผู้ที่นำมาเรียบเรียงใหม่ให้อ่านง่ายนี้ล้วนแต่มีฝีมือชั้นครู เมื่อเราอ่านก็จะได้ซึมซับ style การใช้ภาษาในการเล่าเรื่องและสนทนาที่ ชัดเจน กระชับ และสวยงาม ความสามารถเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันจะค่อย ๆ เกิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราอ่านอย่างสม่ำเสมอ, อ่านอย่างสังเกต, และอ่านอย่างมีสมาธิ
ท่านอาจจะบอกว่า พูดมาตั้งนานก็ยังไม่ได้บอกว่าให้สังเกตยังไง นี่แหละครับที่ผมบอกว่าพูดยาก แต่ผมขอบอกว่า ถ้าท่านตั้งใจท่านย่อมสังเกตได้แน่ ๆ และสามารถนำทักษะและการสังเกตนั้นมาพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษของท่านได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ผมขอยก chapter 1 ของหนังสืออ่านนอกเวลามาให้ท่านลองอ่าน level ละ 1 เรื่อง ขอให้ท่านค่อย ๆ ละเลียดอ่านไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบร้อน, ท่านจะเลือกอ่าน level ใดก็ตามอัธยาศัย
- level 1 - The Adventures of Tom Sawyer chapter 1
- level 2 - Jaws _chapter 1
- level 3 - Forrest Gump _ chapter 1
- level 4 - The Godfather _chapter 1
- level 5 - A Time to Kill_chapter1
- level 6 - Memoirs of a Geisha_chapter 1
ถ้าเรื่องที่ผมเลือกมาให้ท่านลองอ่านนี้ยังไม่ถูกใจ ท่านเข้าไปเลือกเองแล้วกันครับ ที่ลิงก์นี้
ผมไม่สามารถเขียนให้ทุกอย่างกระจ่างได้ในบทความสั้น ๆ นี้ แต่เมื่อผมบอกว่า เราสามารถพัฒนาทักษะในการพูด ด้วยการอ่านอย่างสังเกตและสม่ำเสมอ ผมยืนยันเช่นนี้จริง ๆ ครับ
พิพัฒน์
(1)verb+ing (2)verb+to (3)verb+ทั้ง 2 อย่าง
สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจำได้บ้างว่า สมัยที่เรียนชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ในวิชาแกรมมาร์มีหัวข้อหนึ่งที่อาจารย์สอนว่า verb บางกลุ่มในภาษาอังกฤษ มีลักษณะ ดังนี้
1.ต้องตามด้วย to-verb เช่น She agreed to speak before the game.
2.ต้องตามด้วยกรรมและ to-verb เช่น Everyone expected her to win.
3.ต้องตามด้วย verb-ing เช่น They enjoyed working on the boat.
4.ต้องตามด้วยบุพบทและ verb-ing เช่น We concentrated on doing well.
5.verb บางตัวก็เป็นได้ทั้ง 2 แบบ คือ ตามด้วย ing และ to แต่ความหมายต่างกันไปเลย เช่น
He stopped talking. = เขาหยุดพูด คือ กำลังพูดอยู่และหยุดพูด
He stopped to talk.= เขาหยุดแล้วพูด คือ หยุดทำอย่างอื่นเพื่อพูด
Do you remember switching the lights off before we came out? คุณไม่ลืมปิดสวิตช์ไฟก่อนเราออกจากบ้านนะ? (ถามเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว)
Remember to call me when you arrive! อย่าลืมโทรถึงฉันเมื่อคุณมาถึงนะ! (ให้บอกเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น)
6.verb บางตัวก็เป็นได้ทั้ง 2 แบบ คือ ตามด้วย ing และ to และความหมายต่างกันเพียงเล็กน้อย (แต่ไม่ใช่ว่าเหมือนกันเด๊ะ) เช่น
I like speaking French because it's such a beautiful language.
I like to speak French when I'm in France.(อ่านคำอธิบาย)
ท่านผู้อ่านครับ ผมเข้าใจว่า อาจารย์มักจะให้รายการคำศัพท์ในแต่ละประเภทข้างบนนี้ ให้ลูกศิษย์จำไว้ ในที่นี้ ผมหาบางลิงก์มาให้ท่านดูเป็นตัวอย่าง
- Verb Lists: Infinitives and Gerunds
- 9 = verb followed by a gerund OR a noun + an infinitive
- 13 = verb followed by a gerund OR an infinitive with a difference in meaning
- 14 = verb followed by a gerund OR an infinitive with little difference in meaning
- Gerunds, Infinitives, and Participles - Pearson
แต่ตามประสบการณ์ส่วนตัว รายการคำศัพท์พวกนี้มันไม่ค่อยมีประโยชน์หรอกครับถ้าเราไม่ได้ผ่านพบประโยคจริง ๆ ที่ใช้ verb พวกนี้ เพราะเดี๋ยวเดียวก็ลืม
เพราะฉะนั้นผมเห็นว่า มีวิธีแรกเร็ว ๆ ที่จะช่วยให้จำได้ชนิดตอกหมุดแกะยาก คือ เราควรผ่านประโยคตัวอย่างเยอะ ๆ โดยประโยคพวกนี้ก็หาได้ง่าย ๆ จากดิกอังกฤษ-อังกฤษ ฉบับมาตรฐานระดับโลก ข้างล่างนี้, verb คำเดียวเราหาประโยคตัวอย่างจากดิกหลาย ๆ เว็บ ก็จะได้หลายตัวอย่างให้ศึกษา
°Oxford°Cambridge°Longman°Webster°Macmillan°COBUILD°Newbury House°Wordsmyth°°°°
คำแนะนำของผมมีสั้น ๆ ง่าย ๆ แค่นี้แหละครับ
พิพัฒน์