Articles
รวมตำรา วิชาภาษาอังกฤษ ม.รามคำแหง รหัส EN, ED, LI, TL 80 เล่ม ไว้ที่นี่
สวัสดีครับ
มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้รวบรวมตำราทุกวิชาที่นักศึกษาใช้เรียน ไว้ที่ลิงก์นี้
→ http://e-book.ram.edu/e-book/indexstart.htm
และผมได้ดึงมาเฉพาะตำรา วิชาภาษาอังกฤษ รหัส EN, ED, LI, TL รวม 80 เล่ม ที่ 2 ลิงก์นี้
▬► ตำรา วิชาภาษาอังกฤษ ม.รามคำแหง รหัส EN
▬► ตำรา วิชาภาษาอังกฤษ ม.รามคำแหง รหัส ED, LI, TL
ตาม link ที่ให้ดาวน์โหลด เขาไม่ได้ทำเป็น eBook 1 วิชา 1 เล่ม แต่ทำเป็นลิงก์ไฟล์ pdf, 1 ลิงก์ คือบทเรียน 1 บท หรือหลายบท ผมเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อแยกเป็นบท ๆ จะทำให้ไฟล์เล็กและดาวน์โหลดง่าย
ตำราของ ม.รามคำแหงนี้ ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเฉพาะนักศึกษารามฯเท่านั้น แต่คนทั่วไปก็ใช้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน ท่านลองไล่อ่านดูชื่อหนังสือก่อนก็ได้ครับ อาจจะมีสัก 2 - 3 เล่มที่ท่านสนใจ ถ้าถูกใจเล่มไหนก็คลิก link เข้าไปดู ในนั้นมักจะโชว์สารบัญว่ามีบทเรียนเรื่องอะไรบ้าง ท่านจะคลิกเริ่มอ่านตั้งแต่บทแรกไปจนถึงบทสุดท้าย หรือจะเลือกอ่านเฉพาะบทที่ท่านสนใจก็ได้ และก็ save เฉพาะไฟล์ pdf บทนั้นที่ท่านอ่าน ซึ่งทำอย่างนี้จะดีกว่าดาวน์โหลด eBook ไปเก็บไว้มากมายแต่ไม่ได้คลิกเข้าไปอ่านเลย
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
วิธีง่าย ๆ ในการฝึกฟังภาษาอังกฤษสำหรับคนพื้นไม่แข็ง
สวัสดีครับ
วิธีง่าย ๆ 3 ข้อ
ในการฝึกฟังภาษาอังกฤษสำหรับคนพื้นไม่แข็ง
1. ฝึกฟังคลิปการ์ตูน ที่สั้น, ง่าย, ที่เราชอบ
2. ฝึกฟังอย่างใจเย็น และมีสมาธิ
3. ฝึกฟังทุกวัน
ขอแนะนำที่ลิงก์นี้ ซึ่งมี Story ให้ฝึกฟังหลายเรื่อง
→ http://learnenglishkids.britishcouncil.org/en/short-stories 70 เรื่อง
→ YouTube 1
→ YouTube 2
ท่านผู้อ่านครับ ถ้าท่านไม่มีเวลาหรือขี้เกียจอ่านต่อก็หยุดแค่นี้ก็ได้ครับ และก็คลิกเข้าไปฝึกฟัง Story ในลิงก์ที่ผมให้ไว้ได้เลย แต่ถ้าท่านอยากทราบเหตุผลว่า ทำไมผมจึงแนะนำเช่นนี้ก็เชิญอ่านต่อครับ
คือผมเข้าใจว่ามีเด็กนักเรียนไทยหรือคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เรียนจบและสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษด้วย listening skill ที่ไม่สูง พูดง่าย ๆ ก็คือฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่องนั่นแหละครับ (ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านี้เพราะเรียนจบมาอย่างคนรุ่นเก่า) แต่พอมาถึงยุคนี้ที่มีเน็ต มีคลิปหนังฝรั่งเสียงในฟิล์มภาษาอังกฤษ และข่าวภาษาอังกฤษมากมาย เช่น BBC, CNN, Al Jazeera ให้เราฟังออนไลน์ฟรีหรือผ่านเคเบิ้ลทีวี แต่เราก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง และเราก็อาจจะเห็นเพื่อนบางคนที่เรียนจบนอก เขาดูหนัง-ฟังข่าวฝรั่งได้รู้เรื่องเหมือนภาษาไทย เราก็อาจจะรู้สึกว่าคงไม่สามารถทำได้อย่างเขา เพราะไม่มีโอกาสไปเรียนหรือใช้ชีวิตเมืองนอกอย่างเขา หรือไม่ได้เรียนหลักสูตรอินเตอร์ในเมืองไทย-ไม่ได้ทำงานที่มีโอกาสพูดคุยกับฝรั่งทุกวัน และแม้จะฝึกฟังกับเน็ตมันก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยสรุปว่า ไม่ต้องพยายามหรอก ถึงพยายามไปก็ไร้ประโยชน์
ผมอยากจะบอกท่านว่า ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ไม่มีเน็ต การท้อเช่นนี้ก็พอฟังขึ้น แต่ทุกวันนี้ซึ่งมีเน็ต สิ่งที่ทำไม่ได้-มันก็กลับทำได้ ซึ่งรวมถึงการฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง
แต่การฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องนี้ เราจะต้อง realistic คือต้องไม่ฝันหวานและยืนอยู่บนความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ยืนทื่ออยู่กับที่ เราต้องยืนและหันหน้าไปยังทิศที่หมาย และออกเดินเรื่อยไปให้ถึงเป้าหมาย
แต่เราจะ "เดิน" ยังไงเพื่อฝึกฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง?
ผมขอสมมุติอย่างนี้แล้วกันครับ ถ้าท่านรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะในการฟังน้อย ก็ต้องเริ่มฝึกจากพื้นฐานกันเลย
และจากคำแนะนำ 3 ข้อข้างต้น
1. ฝึกฟังคลิปการ์ตูน ที่สั้น, ง่าย, ที่เราชอบ
2. ฝึกฟังอย่างใจเย็น และมีสมาธิ
3. ฝึกฟังทุกวัน
ผมขออธิบายไปทีละข้อ อย่างนี้ครับ
ข้อ 1. ฝึกฟังคลิปการ์ตูน ที่ง่าย, สั้น, ที่เราชอบ
การที่แนะนำให้ฝึกกับการ์ตูนก็เพราะว่า การ์ตูนเป็นตัวละครที่เคลื่อนไหวได้ มีเนื้อเรื่อง สดใส มีสีสัน การฝึกฟังภาษาอังกฤษกับการ์ตูนทำให้ฝึกได้อย่างสนุกและไม่เบื่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องรู้จักทำใจให้นิ่มนวลแบบเด็ก ๆ บ้าง สามารถสนุกไปกับจินตนาการในเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นสำหรับเด็ก แต่ถ้าเรายืนยันจะเป็นผู้ใหญ่ที่ "ไม่ใช่เด็กแล้ว" เราก็คงไม่ชอบการ์ตูนแบบเด็ก ๆ และอีกอย่างหนึ่ง การฟังภาษาอังกฤษจากการดูคลิปการ์ตูนก็ช่วยเพิ่มความเข้าใจโดยการเดาได้ไม่มากก็น้อย
ทำไมต้องเลือกการ์ตูนที่ง่าย คำว่าง่ายคือใช้ศัพท์ง่าย ๆ และผูกประโยคง่าย ๆ เพื่อใช้เล่าเรื่อง ซึ่งมักเป็นประโยคสั้น ๆ ลักษณะง่าย ๆ เช่นนี้แหละที่ช่วยให้เราสามารถทุ่มเทความสนใจให้กับการฝึกฟัง "สำเนียง" โดยไม่ต้องเสียพลังมากนักไปกับการเดาคำศัพท์หรือตีความประโยค
แต่แม้ว่าจะเป็นการ์ตูน "ง่าย ๆ" ถ้ายังฟังไม่รู้เรื่องล่ะ จะให้ทำยังไง? วิธีแก้มี 2 วิธีครับ คือ (1) ดูซ้ำ จะซ้ำ 1 หรือ 2 เที่ยวก็แล้วแต่ท่าน (2) ถ้าการ์ตูนมี script ให้อ่าน ก็เข้าไปอ่านให้เข้าใจ และ (3) กลับไปดูซ้ำ โดยขณะที่ดูอย่าอ่านตามไปด้วย และแม้จะมี subtitle บนจอก็อย่าไปดูมัน ให้ดูการ์ตูนและฟังเสียงเท่านั้น เพราะนี่เรากำลังฝึกฟัง ไม่ใช่ฝึกอ่าน [ การอ่านนั้นให้ไปทำต่างหากในข้อ (2). โดยอ่าน script ที่เว็บมีให้เรา, หรืออ่าน subtitle บนจออย่างเดียว แต่ปิดเสียงวีดิโอขณะที่อ่าน ]
และทำไมจึงแนะให้เลือกฝึกฟังกับคลิปการ์ตูนที่สั้น ๆ? เรื่องนี้มันค่อนข้างเป็นจิตวิทยานิดหน่อยนะครับ คือว่า การที่เราสามารถดูจบเป็นเรื่อง ๆ มันช่วยให้เรารู้สึกในใจว่า เราฝึก "สำเร็จ" ไป "1 ชิ้น" เป็นปริมาณที่วัดได้ และถ้าจะฝึกฟังซ้ำ เป็น 2 ครั้ง 3 ครั้ง หรือฟังเรื่องอื่น เป็นเรื่องที่ 2 เรื่องที่ 3 เรื่องที่ 4 ก็ว่ากันไป และทั้งหมดนี้ต่างให้ความรู้สึกว่าเราทำ "สำเร็จ" ซึ่งต่างจากการฝึกฟังการ์ตูนยาว ๆ เช่น 1 ชั่วโมง ซึ่งถ้ามันยากเกินไปหรือเราไม่ชอบ ถ้าทนฟังให้จบเราก็จะเบื่อและอึดอัด แต่ถ้าจะเลิกฟังลึก ๆ ในใจเราก็อาจจะรู้สึก "ล้มเหลว" เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องสั้น ๆ ให้จบหรือ "สำเร็จ" เป็นเรื่อง ๆ ไป จึงเป็นวิธีฝึกที่ดี เพราะถ้าไม่ชอบเราก็ตั้งใจฟังอีกเดี๋ยวจนจบได้ หรือถ้าชอบเราก็ฟังซ้ำได้
สุดท้าย ให้พยายามฝึกกับเรื่องที่เราชอบ ซึ่งอาจจะเป็นเว็บใดเว็บหนึ่งที่เรารู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ เมื่อฟังเรื่องที่ชอบ- ใจเราจะเปิดรับและไม่ต่อต้าน แต่อย่างที่ผมเน้นบ่อย ๆ เรื่องที่ชอบนั้นก็ของใครของมัน เพราะฉะนั้นถ้าท่านเจอเว็บหรือลิงก์การ์ตูนฝึกฟังภาษาอังกฤษที่รู้สึกว่าชอบใจ ให้ทำ Favorites / Bookmarks ไว้เลย ตอนหลังจะได้คลิกเข้าไปดูได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาหาอีก
ข้อ 2. ฝึกฟังอย่างใจเย็น และมีสมาธิ
ทุกคนคงเห็นได้ไม่ยากกว่า ถ้าฝึกฟังอย่างใจเย็นและมีสมาธิ ก็จะได้ผลดีกว่าฝึกฟังอย่างใจร้อนและฟุ้งซ่าน แต่จากคำถามที่ได้อ่านอยู่บ่อย ๆ ก็เห็นได้ชัดว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยเรียนภาษาอังกฤษอย่างใจร้อน และสำหรับบางคนที่พื้นอ่อนมันก็เป็นธรรมดาที่ต้องปูพื้นกันนานหน่อย เหมือนปลูกบ้านในที่ต่ำมันก็ต้องถมที่หรือตอกเสาเข็มกันมากหน่อย แต่หลายคนก็ทนไม่ได้และไม่อยากทน จึงเรียนไปอย่างใจร้อนและฟุ้งซ่าน และเลิกเรียนในเวลาไม่นานนัก การขาดฉันทะและวิริยะเช่นนี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ หลายคน serious มากในการสะสมตำราหรือ apps เพื่อช่วยเรียน หรือในการแสวงหาคำแนะนำที่เป็น best practice จากผู้รู้ แต่ปัญหาก็คือ ตราบใดที่ยังขาดฉันทะและวิริยะ .. eBook, Apps หรือ Expert ทั่วเมืองไทยหรือทั้งโลกก็ช่วยอะไรไม่ได้
ข้อ 3. ข้อสุดท้่าย คือ ฝึกฟังทุกวัน
ผมมานั่งนึกดู การที่คนเราจะฝึกทำอะไรได้ทุกวันนั้น มันต้องมีแรงกระตุ้นอะไรบ้าง? ก็น่าจะเป็นพวกนี้ คือ เห็นความก้าวหน้าในการฝึกได้อย่างรวดเร็วชัดเจน, มีเพื่อนฝึก, มีคนชื่นชม-มีคนเชียร์ แต่การฝึกภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฟังอย่างที่กำลังพูดอยู่ขณะนี้ เราอาจจะเห็นความก้าวหน้าได้ไม่ทันใจ, และเราก็ฝึกคนเดียวไม่มีเพื่อนมาฝึกด้วย, และก็ไม่มีคนคอย cheer-like-share มันจึงดูเหมือนเป็นการฝึกในโลกมืดที่ว้าเหว่
แต่ผมอยากจะบอกว่า โลกการฝึกภาษาอังกฤษของเรานี้ มันจะมืดมิดหรือสว่างไสว ว้าเหว่หรือรื่นรมย์ มันก็ขึ้นอยู่กับใจของเรานั่นแหละครับ ถ้าเราทำใจให้เป็นเด็กขี้แยพร้อมยอมแพ้ทุกวินาที ก็แสดงว่าเราสร้างโลกให้แก่ตัวเอง โลกมืดมิดว้าเหว่ที่เราเกลียดนั่นแหละครับ แต่โลกส่วนตัวที่เรียนรู้ได้อย่างร่าเริง ...ถ้าเราไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษอย่างคนพร้อมยอมแพ้... เราเอง ก็สร้างได้ไม่ยาก
ผมขอสรุปการคุยวันนี้ว่า
วิธีง่าย ๆ 3 ข้อ
ในการฝึกฟังภาษาอังกฤษสำหรับคนพื้นไม่แข็ง
1. ฝึกฟังคลิปการ์ตูน ที่สั้น, ง่าย, ที่เราชอบ
2. ฝึกฟังอย่างใจเย็น และมีสมาธิ
3. ฝึกฟังทุกวัน
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
Basic English Usage และ Practical English Usage โดย Michael Swan
สวัสดีครับ
ในบรรดานักวิชาการที่แต่งตำราแกรมมาร์ภาษาอังกฤษให้คนทั่วโลกเรียน ผมคิดว่า Michael Swan น่าจะดังติดอันดับต้น ๆ ชื่อของเขาอยู่ในบทความที่ Wikipedia และหนังสือ 2 เล่มแรกของเขาที่บทความนั้นอ้างถึงก็คือ 2 เล่มข้างล่างนี้ ผมจึงหามาฝากให้ท่านดาวน์โหลดไปศึกษา เนื้อหาของ 2 เล่มนี้สอดคล้องกัน โดยเล่มแรก basic หน่อย ส่วนเล่มที่สอง advanced ขึ้นไป ในไฟล์ pdf ที่ให้ไว้นี้ มี Bookmarks ให้คลิกหาเรื่องที่จะค้นได้ค่อนข้างสะดวก
→ Basic English Usage
→ Practical English Usage
ถ้าดาวน์โหลดไม่ได้ → คลิกที่นี่
ตอนศึกษาตำราพวกนี้ต้องใจเย็น ๆ หน่อยนะครับ เบื้องแรกผมแนะนำว่า ให้ดูสารบัญตอนต้นของเล่มว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และก็ดู index ที่ท้ายเล่ม หลังจากนี้ พอสงสัยอยากค้นคว้าเรื่องอะไร ก็จะคลิกเข้าไปหาดูได้ไม่ยากเพราะเราได้ survey ไว้รอบหนึ่งแล้ว
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
ฝึกภาษาอังกฤษต้องให้ได้ U ครบ 2 ตัว
สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านครับ การเรียนภาษาอังกฤษนี่นะครับ เราต้องได้ U ครบทั้ง 2 ตัว
U ตัวแรก มาก่อน คือ Understand - "เข้าใจ" U ตัวนี้มาจาก การรับภาษาอังกฤษให้เข้าสู่ตัวเรา รับผ่านตาคือการอ่าน และรับผ่านหูคือการฟัง
U ตัวที่สอง มาทีหลัง คือ Use - "ใช้เป็น" U ตัวนี้มาจากการ train และ test ตัวเองบ่อย ๆ คือ ฝึกอ่านภาษาอังกฤษ - ฝึกฟังภาษาอังกฤษ - ฝึกพูดภาษาอังกฤษ - ฝึกเขียนภาษาอังกฤษ การฝึกอ่าน-ฟัง-พูด-เขียน เป็นภาษาอังกฤษ เช่นนี้แหละครับ ที่จะช่วยให้เราได้ U ตัวที่สอง คือ "ใช้เป็น" ถ้าเราไม่ยอมฝึก หรือฝึกอย่างมากก็แค่ฟังคำบรรยายหรืออ่านคำอธิบายเป็นภาษาไทย เราอาจจะได้ U ตัวแรก คือ เข้าใจตื้น ๆ แต่เราจะไม่ได้ U ตัวที่สอง คือใช้ภาษาอังกฤษแทบไม่เป็นเลย
วิธีฝึกให้ได้ U ครบทั้ง 2 ตัวทำยังไง?
ขอยกตัวอย่างนะครับ
วันนี้ผมมีศัพท์อยู่ 30 กลุ่ม - คลิกดู
กลุ่มที่ 1 - 14 เป็น Basic Vocabulary ฝรั่งเขาทำขึ้นมาสำหรับนักเรียน Grade 11
→ http://www.e4thai.com/e4e/images/pdf2/Vocab-basic_2010.pdf
กลุ่มที่ 15 - 30 เป็น Advanced Vocabulary ฝรั่งเขาทำขึ้นมาสำหรับนักเรียน Grade 12
→ http://www.e4thai.com/e4e/images/pdf2/Vocab_advanced_2010.pdf
ก่อนจะเริ่ม ให้ท่านดูชื่อหัวข้อที่บรรทัดแรกของแต่ละหน้า ว่าศัพท์ที่จะฝึกในหน้านี้ มันเกี่ยวกับเรื่องอะไร
งานที่เขาให้ท่านฝึกก็คือ
♦ อ่านประโยคตัวอย่างในคอลัมน์กลางหน้า และหาศัพท์มาแทนที่เครื่องหมาย ~ เพื่อทำประโยคให้สมบูรณ์
♦ ซึ่งคำ ๆ นั้นก็อยู่ในคอลัมน์ซ้ายมือของแถวเดียวกัน(บังคับสายตาอย่าเพิ่งเหลือบไปดู หรือใช้แผ่นกระะดาษแข็งบังไว้ก็ได้) และถ้าจะดู hint ก็ดูคำในคอลัมน์ขวามือของแถวเดียวกัน
ท่านจะเห็นได้ว่า งานนี้บีบให้ท่านต้องใช้สมองคิดหาศัพท์ที่โจทย์ถาม ซึ่งอาจจะคิดไม่ค่อยออก หรือคิดออกแต่คิดผิด
แต่ที่ผมจะบอกก็คือว่า นี่แหละครับคือการฝึก
ถ้าจะอุปมา การฝึกก็ไม่ใช่การปอกกล้วยเข้าปาก ซึ่งทำได้ง่าย ๆ แต่น่าจะเป็นการใช้มีดโต้ปอกเปลือกมะพร้าวออก ให้ได้กินทั้งน้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าว แต่ถ้าใครไม่เคยปอกมะพร้าวมาเลย ก็จะทำไม่ได้หรือทำผิด ๆ ถูก ๆ แต่ประสบการณ์ผิด ๆ ถูก ๆ นั่นแหละครับคือบทเรียนที่ต้องฝึก ฝึกเพื่อให้เรียนรู้จากความผิด เพื่อทำถูกมากขึ้นและทำผิดน้อยลง
คนที่ฝึกภาษาอังกฤษ โดยจ้องแต่จะเจอของง่าย ๆ แบบปอกกล้วยเข้าปาก ก็ยากที่จะได้ U ครบทั้งสองตัว คือ Understand & Use (เข้าใจ และ ใช้เป็น) อย่างมากก็ได้แค่ U ตัวแรกนิด ๆ หน่อย ๆ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
ศึกษา verb ตามข้อกำหนดของ CEFR
สวัสดีครับ
ได้ยินมาว่า ทางกระทรวงศึกษาของไทยจะใช้มาตรฐานของ CEFR เป็นเกณฑ์พัฒนาทักษะครูที่สอนวิชาภาษาอังกฤษในเมืองไทย
CEFR - Common European Framework of Reference for Languages ก็คือ "กรอบมาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษา จากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป" โดยแบ่งออกเป็น 6 level ได้แก่ A1-A2-B1-B2-C1-C2 ถ้าได้ยินมาไม่ผิดรู้สึกว่าเขาให้ครูต้องผ่านระดับ B2
วันนี้ผมเข้าไปที่เว็บไซต์นี้ http://www.englishprofile.org/ และ copy เฉพาะคำศัพท์ที่เป็น verb ตามข้อกำหนดของ CEFR มาฝากท่าน ที่ดึงมาเเฉพาะ verb ก็เพราะว่าดึงมาทั้งหมดไม่ไหว มันเยอะมาก และโดยส่วนตัวผมเห็นว่า ในคำศัพท์ 3 กลุ่มหลัก คือ noun, adjective และ verb กลุ่มที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ verb เพราะว่า verb นั้นใช้เป็นคำศัพท์เทคนิคน้อยที่สุด และความหมายที่ใช้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ก็ไม่ผิดแผกกันมากนัก จึงจำแล้วไม่เสียเที่ยว สามารถนำไปใช้ได้ในทุกเนื้อหาของการศึกษาภาษาอังกฤษ
และมีอีกลักษณะหนึ่งของ verb ตาม CEFR ที่ต่างจาก Word list ที่สำนักอื่น ๆ ทำไว้ ก็คือ ตาม CEFR นี้ ถ้า verb ตัวหนึ่ง ๆ มันมีหลายความหมาย เขาจะแยก level ให้เห็นชัด ๆ เช่น คำว่า take
ถ้าแปลว่า พกพา ก็อยู่ใน level A 1
เช่น I always take my mobile phone with me.
ถ้าแปลว่า กินเวลา, ใช้เวลา ก็อยู่ใน level A 2
เช่น It's taken me three days to get here.
ถ้าแปลว่า รับ ก็อยู่ใน level B 1
เช่น Do you take credit cards?
ถ้าแปลว่า มีความรู้สึกที่ดีต่อ ก็อยู่ใน level B 2
เช่น These women take their jobs very seriously
ถ้าแปลว่า เข้าใจ ก็อยู่ใน level C 2
เช่น Whatever I say she'll take it the wrong way.
ผมได้รวบรวม verb ตามการจัด level ของ CEFR ไว้ที่ลิงก์นี้
→ http://www.e4thai.com/e4e/images/pdf2/verba1c2.pdf
ถ้าท่านต้องการดูความหมาย หรือ definition ก็เข้าไปที่ Cambridge Dictionary ในนั้นเขาแยกความหมายเป็น level ตามที่ CEFR จัดไว้ จึงสะดวกมากในการศึกษา
→ http://dictionary.cambridge.org/dictionary/learner-english/
สำหรับคุณครูที่จะนำ verb พวกนี้ไปสอนเด็ก ท่านสามารถเลือกได้ว่า จะดึงระดับไหนไปให้เขาเรียนบ้างที่เหมาะกับเขา เช่น ถ้าเด็กเล็กมาก ก็แค่ A1 ถ้าโตขึ้นก็อาจจะเป็น A1+A2, A1+A2+B1 เป็นต้น
สำหรับท่านที่ไม่ได้เป็นนักเรียนแล้ว ก็สามารถใช้ verb list ทั้ง 48 หน้านี้เช็กตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็ได้ครับว่า มี verb คำใด/ความหมายใด บ้างที่ยังไม่รู้ และก็ศึกษาเฉพาะ คำนั้น/ความหมายนั้น ไม่ต้องไปศึกษาทั้งหมด
ลองดูนะครับ น่าจะมีประโยชน์บ้าง
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th