Articles
ขอเสนอให้ตั้งหน่วยงานรวบรวมข้อมูลการเรียน-การสอนภาษาอังกฤษผ่านเน็ต
สวัสดีครับ
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ผมคิดไว้นานแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่สะเด็ดน้ำ อยากจะพูดให้คนอื่นฟังแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับใคร คิดไปคิดมา ขืนรอให้คิดตกและได้คนพูดที่เหมาะใจ ก็คงไม่ได้พูดสักที ก็เลยตัดสินใจว่า ขอพูดที่นี่วันนี้แหละ แม้ว่าจะไม่เกิดผลอะไร และทำได้แค่เป็นการคุยกับท่านผู้อ่านเฉย ๆ ก็ดีกว่าเก็บไว้เฉย ๆ
คือทุกวันนี้ สำหรับคนไทยที่ต้องการหาสื่อสำหรับใช้เรียนหรือสอนภาษาอังกฤษ ก็ทำได้ง่าย ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร เพียงเข้าไปที่ www.google.com พิมพ์คำค้นลงไป, Google ก็จะไป Search ข้อมูลที่ต้องการจากทุกมุมโลกมาให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นข้อมูลจากประเทศที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ สหราชอาณาจักร และต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ประสิทธิภาพของ Google ในการ Search พัฒนามากขึ้นเยอะทีเดียว หาอะไรก็เจอ บางทีเจอดีกว่าสิ่งที่เราจ้องไว้อีก
แต่ปัญหาพื้นฐานของคนไทยในการใช้สื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีให้ใช้ฟรีในเน็ตก็คือ ทักษะการอ่านและการฟังภาษาอังกฤษของคนไทยยังไม่สูงพอ จึงมีคนไทยจำนวนไม่มากที่มาสารถนำสื่อภาษาอังกฤษที่มีอยู่ในเน็ตมาใช้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ และด้วยทักษะการฟังและการอ่านที่อ่อนนี้ ก็ทำให้ทักษะในการ Search อ่อนไปด้วย สรุปก็คือ ทรัพยากรมากมายในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีอยู่ในเน็ต คนไทยไปหยิบมาใช้เพียงได้นิดเดียว
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ มีเว็บไซต์ภาษาไทยมากมายที่เกิดขึ้นมาเพื่อสอนภาษาอังกฤษให้คนไทยที่ไม่สามารถเข้าไปเรียนกับเว็บภาษาอังกฤษได้โดยตรง สิ่งหนึ่งที่เว็บไซต์เหล่านี้ทำก็คือการอธิบายและแปลข้อความจากเว็บไซต์ภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาไทย เพื่อให้คนไทยย่อยเรียนได้ง่าย ๆ
เท่าที่เห็น เว็บไทยที่ว่านี้มีจำนวนมากและหลากหลายจริง ๆ ผมขอยกตัวอย่างให้ท่านเห็นพอสังเขป ดังนี้
1.หน่วยงานหรือบุคคลที่จัดทำเว็บ เช่น
- เว็บของบริษัทหรือหน่วยงานเอกชน ที่มีเนื้อหาฟรีให้คนทั่วไปเข้าไปเรียน และขณะเดียวกัน ก็มีสินค้าขาย เช่น คอร์สฝึกอบรม, หนังสือ, ebook, CD/DVD, เรียนออนไลน์ ฯลฯ เนื้อหาฟรีที่ให้จึงคล้าย ๆ เป็นสินค้าตัวอย่าง ซึ่งตัวอย่างจากหลายเว็บก็ดีและมากอย่างน่าขอบคุณ
- เว็บของหน่วยงานราชการซึ่งทำเนื้อหาสอนภาษาอังกฤษเพื่ออบรมกลุ่มเป้าหมายจำเพาะของหน่วยงานนั้น หรือมีเนื้อหาที่สมาชิกขององค์กรทำเวียนเผยแพร่ในแวดวงของตัวเอง หรือเนื้อหาบางส่วนก็ผลิตเพื่อบริการสาธารณชน
- เอกชนหลายคนทำเว็บ, บล็อก, social media เพื่อเผยแพร่ความรู้การเรียนภาษาอังกฤษ โดยอาจจะมีรายได้เกิดขึ้นบ้างจากโฆษณาที่นำมาติดไว้
2.ลักษณะของเนื้อหาภาษาอังกฤษ มีหลากหลายมาก เช่น
- การฝึกสนทนา: น่าจะเป็นเนื้อหาหลักที่หลายเว็บเน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้เวลาเข้ายุคเออีซี ซึ่งทุกคนเห็นว่าการพูดสื่อสารเป็นทักษะที่สำคัญกว่าทักษะอื่น
- การเน้นทฤษฎี แกรมมาร์ การทำข้อสอบของนักเรียนนักศึกษา หรือการเตรียมตัวไปสอบวัดระดับต่าง ๆ เช่น TOEIC, TOEFL หรือสอบภาษาอังกฤษเข้าเรียนปริญญาโท
- การเน้นเรื่องการอ่าน หรือคำศัพท์
- การเน้นทุกทักษะ ทุกเรื่อง ซึ่งการจะทำได้ดีต้องเป็นเว็บที่ค่อนข้างใหญ่
3.การนำเสนอเนื้อหา มีหลากหมายเช่นกัน เช่น
- เน้นการอ่าน ทั้งการอ่าน online และดาวน์โหลดไปอ่าน offline
- เน้นการชม ซึ่งมักจะเป็นการนำคลิปขึ้นมาและนำไปฝากไว้กับเว็บ YouTube
4.ความง่าย-ยาก ของเนื้อหา
เท่าที่สังเกตดู เว็บไทยที่สอนภาษาอังกฤษจะมีเนื้อหาที่ค่อนข้างง่าย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผู้เรียนที่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้วและต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในระดับสูง ก็สามารถศึกษาผ่านเว็บภาษาอังกฤษโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเว็บภาษาไทย
5.สไตล์การสอน
การสอนผ่านเว็บมีลักษณะหนึ่งต่างจากตำราอย่างเห็นได้ชัด คือ ภาษาที่ใช้มีชีวิตชีวาและมีความเป็นกันเอง การใช้นิ้วคลิกหน้าเว็บจึงให้อารมณ์ที่ต่างจากการใช้มือคลิกหน้าหนังสือ เพราะฉะนั้น การเรียนผ่านเว็บ แม้จะไม่มีครูที่ใกล้ชิดจับต้องได้ แต่ก็อาจจะให้ความรู้สึกใกล้ชิดอีกแบบหนึ่ง เป็บความใกล้ชิดแบบห่างไกล
6.เครื่องมือการรับ-ส่งสื่อการเรียนการสอน
มีหลายรูปแบบ ทั้ง Desktop, notebook, tablet, smartphone, application, และผ่าน TV/cableTV เนื้อหาบางอย่างเมื่อผลิตออกมาแล้ว สามารถรับได้โดยหลายเครื่องมือ และบางอย่างก็รับได้เพียงบางเครื่องมือ
7.กลุ่มผู้เรียน และ กลุ่มผู้สอน
- เป็นการยากที่จะระบุให้ชัดเจนลงไปว่า มีกลุ่มใดบ้างที่ใช้เน็ตเพื่อการเรียนภาษาอังกฤษ เราอาจจะนึกถึงนักเรียนนักศึกษาที่ต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษเพื่อให้เรียนจบ แต่ก็ยังมีคนทำงานทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่นอกจากการพูดแล้ว ยังต้องเขียนและอ่านอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่าง “ห้ามผิด” นอกจากนี้ยังมีบุคคลในอาชีพต่าง ๆ เช่นผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวหรือการค้าขายกับคนต่างชาติ หรือคนที่ต้องหาความรู้แปลก ๆ จากเน็ตเพื่อนำมาผลิตสินค้าใหม่ ๆ และเปิดร้านออนไลน์ขายสินค้านั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากน้อยต่างกันไปในบุคคลที่ต่างกัน บางคนถ้าไม่รู้คือตาย ตกงาน ไร้อาชีพ แต่บางคนก็เพียงแค่รู้ไว้เพื่อไปช็อปปิ้งตอนไปเที่ยวเมืองนอก
- สำหรับกลุ่มผู้สอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยมทั่วประเทศ คงจะพูดเป็นกลาง ๆ ได้ว่า ในขณะที่ท่านเหล่านี้ก็ใช้เนื้อหาจากอินเทอร์เน็ตเพื่อนำไปสอนลูกศิษย์ น่าจะมีวิธีการที่ช่วยพัฒนาศักยภาพ ทั้งในการสืบค้น เนื้อหา และเทคนิค ของคุณครูเหล่านี้อย่างจริงจัง
จากที่พูดพอเป็นตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นภาพว่า ทุกวันนี้ “เนื้อหา” ที่เป็นภาษาไทยซึ่งใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ที่มีอยู่ในเน็ตนั้น มันมีอยู่มากมาย และเกิดขึ้นทุกวัน แต่คำถามที่น่าหาคำตอบก็คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถรวบรวมเนื้อหาเหล่านี้ให้เป็นระบบระเบียบ เป็นกลุ่มก้อน อย่างครบถ้วน และนำไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้คนเข้าไปหา Search ได้ง่าย ๆ เพราะงานนี้เกินความสามารถที่ Google Search จะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมจึงมีความคิดที่พูดแล้วตั้งแต่ต้นว่า น่าจะมีหนึ่งหน่วยงานเกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้ คือ
- กำหนดกลุ่มบุคคลที่มีความจำเป็น หรือจะได้รับประโยชน์จากการเรียนภาษาอังกฤษผ่านเนื้อหาภาษาไทย (ต้องขอเน้นอีกครั้งว่า นี่เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือคนที่ยังต้องพึ่งภาษาไทยในการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับคนที่ทักษะสูงเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งสิ่งนี้) นี่เป็นสิ่งที่จะต้องคิดให้ชัด ยิ่งชัดมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยเหลือเขาได้มากเท่านั้น เพราะมันทำให้เรารู้ว่า เขาต้องการเนื้อหาอะไรในการเรียนภาษาอังกฤษ
- กำหนดเนื้อหาให้ครบถ้วน สำหรับกลุ่มบุคคลที่เรากำหนดไว้แล้ว
- กำหนดลักษณะความยากง่ายของเนื้อหา ให้บุคคลเริ่มเรียนได้อย่างเหมาะสม ตามระดับทักษะที่เขามีอยู่
- กำหนดเครื่องมือการเรียนออนไลน์ให้ครบทุกประเภท ตามที่กล่าวข้างต้น คือ Desktop, notebook, tablet, smartphone, application, และผ่าน TV/cable TV
- กำหนดการทดสอบที่คนสามารถ test ตัวเองได้ ทั้งก่อนเรียน, ระหว่างเรียน หรือ เมื่อเรียนจบ ในเรื่องหนึ่ง ๆ
- เป็นต้น
งานทั้งหมดที่ว่ามานี้ ไม่ต้องการคนเยอะ, ไม่ต้องการสำนักงานใหญ่ และที่ต้องย้ำก็คือ ไม่ใช่การจัดทำข้อมูลหรือสื่อการสอนขึ้นมาใหม่ เพราะสิ่งพวกนี้ที่กระจัดกระจายอยู่ในเน็ต หรือที่ซุกซ่อนอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของทางราชการ (แต่ทำแล้วไม่ได้ใช้หรือไม่ได้เผยแพร่) ก็มีอยู่มากมาย และที่เกิดขึ้นทุกวันก็มีมากมาย คำถามก็คือ ทำอย่างไรเราจึงจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใส่ในหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ ให้คนเข้าไป search ได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นการ Search โดยระบุเนื้อหา, วัตถุประสงค์, กลุ่มผู้ใช้, ความยากง่าย, เครื่องมือการใช้ หรืออะไรก็ตาม
ที่พูดตามข้างบนนี้พูดง่าย แต่ตอนทำอาจจะไม่ง่ายเหมือนพูด เพราะตอนที่หน่วยงานหรือบุคคลผลิตเนื้อหานั้น เขาก็ทำตามความคิดของเขาซึ่งไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบใด ๆ ทั้งสิ้น และการทำลิงก์ดึงเนื้อหาที่เขาทำให้ไปเข้าประเภทหรือหมวดหมู่นั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่มันก็พอทำได้
อีกเรื่องหนึ่งคือการประเมินคุณภาพของเนื้อหา สำหรับคนที่เป็น perfectionist อาจจะทนไม่ได้ถ้าเจออะไรที่ผิดแม้เพียงนิด ๆ หน่อย ๆ หรือคนที่ติดสไตล์ตำรา ถ้าคำอธิบายมีลักษณะพูดเล่นใช้ภาษานอกตำราเกินไปนิด อาจจะทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเนื้อหาดี ๆ มากมายก็จะไม่ “ผ่านเข้ารอบ” ในความเห็นของผม เราน่าจะมีผู้รู้ช่วยอ่านเนื้อหา ถ้ามันผิดก็ช่วยตรวจแก้ แต่อย่าถึงกับว่าทุกลิงก์ต้อง perfect 100 %
หน่วยงานที่ว่านี้เมื่อเกิดขึ้นมา หน้าที่ของมันก็คือเว็บไซต์ 1 เว็บที่จัดหมวดหมู่เนื้อหาสำหรับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษไว้ด้วยกัน เมื่อมีการกำหนดกรอบเบื้องต้นอย่างที่ผมชี้แจงคร่าว ๆ ข้างบน ขั้นตอนต่อไปก็คือการดึงเนื้อหาฟรี ๆ มาเข้าหมวดหมู่ โดยมีการกลั่นกรองเนื้อหาด้วย และมีการประสานงานแจ้งสังคมและเว็บไซต์อื่น ๆ ในประเทศไทยที่สอนภาษาอังกฤษให้ทราบว่า เว็บไซต์นี้ได้เกิดขึ้นแล้วเพื่อรับใช้คนไทยทั้งประเทศโดยขอรับความร่วมมือด้านเนื้อหาจากทุกคนที่หวังประโยชน์ให้ส่วนรวม
เว็บไซต์นี้จะมีคนทำงานเพียงไม่กี่คน คือ ผู้รู้ด้านภาษาอังกฤษที่หูตาและใจกว้าง 1 คนทำหน้าที่เป็น webmaster, คนที่มีความรู้เรื่อง IT 1 คน, เจ้าหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ 1 คน, และคนออกเงิน 1 คน ซึ่งจะเป็นหน่วยราชการหรือภาคเอกชนก็ได้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
บางคนอาจจะคิดว่างานนี้เรื่องเงินสำคัญที่สุด แต่ผมกลับคิดว่าเรื่องใจสำคัญที่สุด ถ้าท่านมีใจที่จะทำเพื่อประชาชน ไม่ว่าท่านจะเป็นคนออกเงิน, ช่าง IT หรือผู้รู้ภาษาอังกฤษ ท่านสามารถทำงานช้างชิ้นนี้ให้รับใช้คนทั้งประเทศได้
พิพัฒน์
เชิญดาวน์โหลด ebook ศัพท์ 1000 คำที่ใช้บ่อย จาก myfirstbrain.com
สวัสดีครับ
ผมเคยนำศัพท์ 1000 คำที่ใช้บ่อย จาก myfirstbrain.com คลิก
มาทำเป็น ebook ให้ดาวน์โหลด คลิก
แต่รู้สึกว่ามันหน้าตาไม่ค่อยสวย วันนี้ลองทำใหม่ (31 หน้า)
ผมคิดเอาเองว่า มันน่าจะสวยและน่าใช้กว่าเดิม
(ให้อภัยเถอะครับ ฝีมือด้านความงามมีแค่นี้จริง ๆ)
ท่านผู้อ่านดูเอาเองแล้วกันครับ ถ้าชอบใจก็ดาวน์โหลดไปใช้ได้เลยครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
♥ วิธีติดตั้ง add-on → "แปล ศัพท์ ทุกคำ-ทุกเว็บ-ทันที " โดยไม่ต้องเข้าเว็บ ดิก ♥
500 คำศัพท์ซึ่งมีประโยคตัวอย่างจำนวนมากที่สุดในดิก Oxford และ Cambridge
สวัสดีครับ
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ดิกชันนารีมาตรฐานของโลก คือ Oxford และ Cambridge ต่างก็ให้ความสำคัญกับประโยคตัวอย่าง ซึ่งช่วยให้เข้าใจความหมายของคำศัพท์และการนำคำศัพท์นั้นไปแต่งประโยค
แต่สิ่งที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นก็คือ ในจำนวนคำศัพท์หลายหมื่นคำ ดิกทั้ง 2 เล่มนี้ คัดเลือกมาเพียงประมาณ 500 คำ ที่เขาแสดงจำนวนประโยคตัวอย่างให้ศึกษามากที่สุด และโดยมากก็เป็นศัพท์สามัญที่ควรเข้าใจและใช้เป็น
ผมอยากชักชวนท่านให้ทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์และประโยคตัวอย่างของ 500 คำศัพท์ที่ว่านี้ โดยเมื่อคลิกเข้าไปที่ลิงก์คำศัพท์แล้ว, ให้มองหาและคลิกคำว่า Extra examples หรือ More examples
ผมเชื่อว่า ประโยคตัวอย่างที่แสดงในคำศัพท์ 500 คำของดิก Oxford และ Cambridge จะเป็นบทเรียนที่ดีมาก ๆ ในการพัฒนาคำศัพท์และการอ่านภาษาอังกฤษ
เชิญครับ...
- Oxford Dictionary: คลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่ & และคลิกคำศัพท์ในคอลัมน์ขวามือ และเลข 1 2 3 4
- Cambridge Dictionary คลิกที่นี่
ศึกษาเพิ่มเติม:
Oxford Dictionary
- http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/
- http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/topic/
- http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/wordlist/
- http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/wordlist/english/oxford3000/
Cambridge Dictionary
- http://dictionary.cambridge.org/
- from English Grammar Today
- Word of the Day
- http://dictionaryblog.cambridge.org/ (คลิกดูหัวข้อใต้ Categories ในคอลัมน์ขวา)
- http://dictionaryblog.cambridge.org/author/cambridgewords/
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
♥ วิธีติดตั้ง add-on → "แปล ศัพท์ ทุกคำ-ทุกเว็บ-ทันที " โดยไม่ต้องเข้าเว็บ ดิก ♥
3 เครื่องมือที่ช่วยบอกความต่าง ระหว่างศัพท์ 2 คำ
สวัสดีครับ
คงจะบ่อยครั้งนะครับที่เราสงสัยว่าศัพท์ 2 คำหรือหลายคำซึ่งคล้ายกันในลักษณะต่าง ๆ เช่น ความหมายคล้ายกัน, เขียนคล้ายกัน, ออกเสียงคล้ายกัน ฯลฯ แล้วมันต่างกันยังไง? มันอาจจะเหลื่อมหรือซ้อนกัน หรือมันอาจจะต่างกันเพียงนิดหน่อย ซึ่งบางทีก็อธิบายยาก
และวันนี้ผมขอแนะนำเครื่องมือ 3 ตัวที่ช่วยบอกความต่าง ระหว่างศัพท์ 2 คำ ดังนี้ครับ
เครื่องมือตัวที่ 1 - Google Translate
https://translate.google.co.th/
หลายท่านคงคุ้นเคยในการใช้ Google Translate ในการแปลทั้งประโยค หรือทั้งย่อหน้า แต่วันนี้ผมขอแนะนำวิธีใช้ Google Translate แปลศัพท์ และ แปล two-word verb ทั้งแบบ แปลอังกฤษเป็นไทย และแปลอังกฤษเป็นอังกฤษ โดยพิมพ์คำศัพท์หลาย ๆ คำลงไปทีเดียวเลย ไม่ต้องพิมพ์ทีละคำ
เมื่อท่านเข้าไปที่หน้า Google Translate แล้ว, ก่อนอื่นก็ให้ตั้งค่าด้านซ้ายมือเป็นภาษาอังกฤษ และขวามือเป็นภาษาไทย ซะก่อน แล้วก็พิมพ์คำศัพท์ที่ต้องการศึกษาลงไปในด้านซ้ายมือ, ขอให้เป็น 1 คำหรือ 1 กลุ่ม ต่อ 1 บรรทัดแล้วกันครับ จะได้ดูง่าย ๆ หน่อย ผมขอยกตัวอย่างข้างล่างนี้
affect effect
talk speak say
ตอนที่จะให้ Google Translate แปล, ให้ท่านดับเบิ้ลคลิกที่คำศัพท์ทีละคำ, คำแปลเป็นภาษาไทยจะปรากฏที่คอลัมน์ขวามือด้านล่าง โดยแยกประเภทของคำให้ด้วยว่า เป็นคำ verb, noun, adjective ถ้าคำแปลมีหลายบรรทัด อาจจะมีคำว่า more translations ให้คลิก
ส่วนที่คอลัมน์ซ้ายมือก็โชว์ความหมาย หรือ definition เป็นภาษาอังกฤษ, โดยแยกประเภทของคำเป็น verb, noun, adjective เช่นเดียวกับด้านภาษาไทย, ถ้า definition มีหลายบรรทัด ก็อาจจะมีคำว่า more definitions หรือเครื่องหมาย ν ที่บรรทัดล่างสุด ให้คลิก
แต่ถ้าเราต้องการศึกษา คำ 2 คำ เช่น
think over
think up
ถ้าดับเบิ้ลคลิกมันก็ได้แค่คำเดียว, ในกรณีหลายคำเช่นนี้ ให้ไฮไลท์ทีละ 2 คำที่มันคู่กัน คือ think over, think up (และอาจจะต้องคลิกขวาคำที่ไฮไลท์อีก 1 ครั้ง) เว็บก็จะโชว์คำแปลภาษาไทยที่ด้านล่างขวา และความหมายเป็นภาษาอังกฤษที่ด้านล่างซ้าย ให้เราศึกษาเปรียบเทียบ
เครื่องมือตัวที่ 2 – พิมพ์ถามลงไปตรง ๆ ในหน้า Google Search ว่า 2 คำหรือหลายคำที่เราสงสัยมันต่างกันอย่างไร โดยจะพิมพ์เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ เช่น
วิธีใช้ yet และ already - คลิก
how to use yet and already - คลิก
การใช้ too also และ as well - คลิก
how to use too also and as well - คลิก
most vs most of - คลิก
เครื่องมือตัวที่ 3 -เว็บที่ช่วยเปรียบเทียบ 2 คำศัพท์ที่คล้ายกัน
คือเว็บนี้ http://www2.elc.polyu.edu.hk/CILL/vocab/word_comparison.htm
เขามีช่องให้เราพิมพ์คำเพื่อเปรียบเทียบ 2 คำศัพท์ที่เราสงสัย โดยจะแสดงผลคำละครึ่งหน้า ซ้าย – ขวา
ท่านสามารถเปรียบเทียบคำศัพท์คู่ใดก็ได้ในหลายลักษณะ เช่น ความหมาย, คำอ่าน (มีปุ่มให้คลิกฟังการออกเสียง) เป็นต้น
หวังว่าเครื่องมือทั้ง 3 ตัวนี้คงจะช่วยให้ความกระจ่างในการศึกษา คำศัพท์ที่คล้ายกันได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th
♥ วิธีติดตั้ง add-on → "แปล ศัพท์ ทุกคำ-ทุกเว็บ-ทันที " โดยไม่ต้องเข้าเว็บ ดิก ♥