Articles
เสน่ห์ของป้ายจราจรทางหลวงในอินเดีย
สวัสดีครับ
หลายคนที่ผมคุยด้วยบอกว่าไม่ขอไปอินเดีย หาว่าอินเดียสกปรก ผมเองไปอินเดียมา 4 ครั้งแล้วและไม่เถียงว่าอินเดียมีหลายที่ซึ่งสกปรก แต่ที่ซึ่งสะอาดก็มี อินเดียเป็นอนุทวีปตามสโลแกนที่เขาโฆษณาจริง ๆ คือ Incredible India! คือน่าพิศวงอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่รู้เขาอยู่กันได้ยังไง คนจนเยอะแต่คนรวยก็ไม่น้อย เหมือนกับว่านรกขุมลึกและสวรรค์ชั้นสูงในอินเดียมีฝาบ้านติดกัน
ถ้าว่าถึงสิ่งก่อสร้างที่เป็นมรดกของอารยธรรมจากอดีต ผมเห็นว่าอินเดียร่ำรวยมาก หลายครั้งที่ผมไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้ ได้รู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปในอดีตเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว หรืออาจจะหลายพันปีด้วยซ้ำ
ต่อคำพูดที่ว่าภาษาอังกฤษของคนอินเดียดี ความเห็นของผมคือ Yes and No เพราะผมเจอมาทั้ง 2 แบบ....
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปต่อรถไฟที่ชานชาลาแห่งหนึ่งในจังหวัดบ้านนอกของเขาซึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว ผมซื้อตั๋วรถไปและถามนายสถานีว่า รถไฟขบวนที่ผมกำลังรอขึ้นจะเข้าที่ Platform A or B? นายท่าแขกบอกว่า A or B ผมก็ถามย้ำไปว่า นั่นนะซี มัน A หรือ B ล่ะ? อาบังก็ยังยืนยันตอบอย่างไม่รับผิดชอบอยู่อย่างเดิมว่า A or B ผมชักร้อนใจเพราะชานชาลา A กับ B นี่มันอยู่ห่างกันเยอะ ถ้าไปรอผิด platform และย้อนกลับคงไม่ทันและตกรถแน่ เอ๊ะ ผมนึกในใจ ทำไงดีวะ ผมเลยเดินไล่ถามผู้โดยสารคนอื่นซึ่งมีแต่แขกทั้งนั้นไม่มีฝรั่งหลงให้เห็นแม้แต่คนเดียว ว่าใครจะไปยังเมืองที่ผมจะไปบ้าง เดินถามตั้งแต่หัวชานชาลาจนเกือบถึงท้ายชานชาชา แปลกไหมครับที่ใคร ๆ ก็พูดว่าแขกพูดภาษาอังกฤษเก่ง แต่ที่ชานชาลาในวันนั้นผมไม่เจอแขกที่พูดภาษาอังกฤษได้แม้แต่คนเดียว น่าชื่นใจที่มีแขกรุมเข้ามาจะช่วยเหลือหลายคนแต่ก็เหลวเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่าแขกพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน ผมขอตอบ No
แต่วันนั้นผมโชคดีครับ เกือบจะหมดหวังอยู่แล้วก็ไปถึงท้ายชานชาลาเจอพระลามะรูปหนึ่ง เมื่อถามก็ได้ความว่า ให้รอที่ platform นี้แหละ ท่านก็จะไปลงที่สถานีหน้าที่เดียวกับที่ผมจะไป ผมเล่าให้ท่านฟังแล้วรำพึงว่า นี่ถ้าไม่เจอท่านผมจะทำยังไง ท่านตอบอย่างสงบว่า ไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้าไม่เจอท่านผมก็ต้องเจอคนอื่นที่ช่วย และท่านก็สรุปว่า "It is your karma." มันเป็นกรรมของท่าน ผมก็เลยได้สัจจธรรม และอีกเดี๋ยวเดียวรถไฟขบวนที่รอก็มาถึง
ส่วนที่ต้องตอบ Yes เพราะภาษาอังกฤษของคนอินเดียดีนั้น อันนี้มีตัวอย่างเยอะแยะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าร่วมประชุมเดียวกับแขก เขามักจะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทั้งในการพูดและการเขียน
ถ้าว่าในภาพรวมทั้งประเทศ ผมเชื่อว่าภาษาอังกฤษของคนอินเดียดีมากถึงขั้นพลิกแพลงเล่นคำกับภาษาอังกฤษได้ ผมเคยไปเที่ยวเมืองกังต็อกแคว้นสิกขิมของอินเดีย ตอนนั่งรถผ่านถนนหลวงผมเจอป้ายเตือนคนขับรถโดยประมาท หลายข้อความไพเราะหรือน่าขบขัน น่าเสียดายข้อความที่ผมจดไว้หายไปแล้ว วันนี้ผมลองเข้าไปค้นในเน็ต ก็เจอป้ายทางหลวงเตือนคนขับรถเร็วคล้ายกับที่ผมเคยเจอ จึงขอนำมาฝาก และนี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่า ภาษาอังกฤษของคนอินเดียอยู่ในระดับดีครับ
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
เชิญชมข้างล่างนี้ได้เลยครับ...
Make love not war but nothing while driving
ให้ make love อย่า make war แต่อย่า make ทั้ง love และ war ตอนขับรถ
เล่นคำ make love, make war, make nothing
*
Live for your today drive for your tomorrow
อยู่เพื่อตัวเองในวันนี้ ขับเพื่อตัวเองในวันพรุ่งนี้
อย่าขับชนิดที่ไม่เหลือชีวิตรอดไปขับในวันพรุ่งนี้
*
Mind your breaks or break your mind
ควรจะ Mind your breaks ไม่อย่างนั้นจะ break your mind
เป็นการเล่นคำ mind ตัวแรก =ระวัง mind ตัวหลัง = ใจ berak ตัวแรก = ที่ห้ามล้อ break ตัวหลัง เป็นคำกริยา แปลว่า ทำให้แตก
*
Be slower on the earth than quicker to eternity
ให้ช้าไว้ในโลก ดีกว่าเร็วไวไปนิรันดร์ (ไปตาย)
*
Hospital ceiling are boring to look at avoid accident
เพดานห้องโรงพยาบาล(นอน)มองดูแล้วน่าเบื่อนะ อย่าให้เกิดอุบัติเหตุดีกว่า
เล่นคำ ceiling กับ boring
*
Accident begins where aletness ends
อุบัติเหตุเริ่ม เมื่อ ความตื่นตัวหยุด
เล่นคำว่า accident กับ alertness ซึ่งขึ้นต้นด้วยตัว A เหมือนกัน
และนำคำที่มีความหมายตรงกันข้ามมาเล่น คือ begin กับ end
*
Do not be rash and end in crash
อย่าวู่วามจนลงท้ายด้วยรถชนกัน
เล่นคำสัมผัสสระ คือ rash กับ crash
*
This is highway not a runway
อย่าใช้ highway (ถนนหลวง)เป็น runway (คือ ทางรันเวย์ของเครื่องบิน ที่ขับอย่างรวดเร็วเพื่อนำเครื่องขี้น)
*
Drive like hell & you'll be there
ถ้าแปลตามใจผมก็ต้องแปลว่า ขับเร็วยังกะรีบไปนรก เดี๋ยวก็ได้ไปจริง ๆ หรอก
*
Be gentle on my curves
อ่อนโยนต่อส่วนโค้งของฉัน
คือเตือนว่า ถึงเวลาตีโค้งอย่าขับเร็วนัก เดี๋ยวจะแหกโค้ง
**
SOURCE:
http://www.slideshare.net/debasish/indian-highways-road-signs
วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษ: หนทางมีที่คนไม่ค่อยเดิน
สวัสดีครับ
จากเสียงสะท้อนที่ได้รับ ทำให้ผมสรุปได้ว่า ในเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ คนไทยอยากพูดเก่ง มากกว่าอ่านเก่ง หรือเขียนเก่ง และปัญหาที่ทำให้ไม่เก่งอย่างต้องการก็คือ ไม่มีโอกาส – ไม่มีเวลา – ไม่มีเงินที่จะไปเรียนกับอาจารย์หรือโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ หลายคนดาวน์โหลดหนังสือ, ไฟล์ mp3, คลิป, หรือโปรแกรมเรียนภาษาอังกฤษไว้มากมาย แต่ก็แทบไม่ได้ใช้มัน เพราะว่ามันไม่ใช่ครู จึงไม่ต้องการเรียนกับมัน ต่อให้ใครพูดแทบตายว่านั่นเป็นสื่อการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่ใช้ได้ผล ก็ไม่ฟังเพราะไม่เชื่อ
ถ้าเราเป็นไข้ไม่สบาย เวียนหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน แล้วมีใครบอกว่า ไม่ต้องไปหาหมอหรอก อ่านตำรารักษาตัวเองก็ได้ ตำราแนะนำให้กินยาอะไรก็กินตามนั้น ไม่ต้องไปหาหมอเพราะตำราที่อ่านก็หมอนั่นแหละเป็นคนเขียน เพราะฉะนั้นอ่านตำราก็เหมือนกับไปหาหมอ แล้วจะต้องไปหาหมอจริง ๆ ให้เสียเงินเสียเวลาทำไม ท่านจะเชื่อคนที่แนะนำอย่างนี้ไหม ผมเชื่อว่าท่านไม่เชื่อ
ทำไมท่านจึงไม่เชื่อ คำตอบง่ายมากครับ
1.เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องซับซ้อน ตำรารักษาโรคที่ดีวิเศษปานใดก็ไม่สามารถใช้แทนหมอซึ่งสะสมประสบการณ์จริงจากการรักษา ตำราจึงใช้แทนหมอไม่ได้
2.เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องของความเป็นความตาย ซึ่งเราไม่สามารถเอาการลองผิด-ลองถูกเข้าไปเสี่ยง ถ้าเกิดลองแล้วผิดชีวิตคนไข้ซึ่งมีอยู่หนึ่งเดียวก็เสียไปเลย เอาคืนไม่ได้
แต่
น่าเสียดายยิ่งนัก....
น่าเสียดายยิ่งนัก....
น่าเสียดายยิ่งนัก....
น่าเสียดายอะไร ? น่าเสียดายที่คนไทยชอบเอาการรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อนแอ ไปเปรียบเทียบกับอาการเจ็บไข้ร่างกายอ่อนแอ และเชื่ออย่างนั้นอย่างสนิทใจ
โดยไม่ยอม...
ไม่ยอมอ่านตำราภาษาภาษาอังกฤษ เพื่อรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อนแอของตัวเอง เหมือนกับที่ไม่ยอมซื้อตำรารักษาโรคมาอ่าน เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตัวเอง
จะต้อง...
จะต้องเรียนกับครูสอนภาษาอังกฤษให้ได้ ถ้าไม่มีครูก็ยอมตายคาบ้านไม่ยอมรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อนด้วยตัวเอง เหมือนกับที่จะต้องรักษาโรคกับหมอให้ได้ ถ้าไม่มีหมอก็ยอมรับสภาพ นอนรอความตาย
แต่... แท้จริงแล้วการรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อน กับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย เป็น 2 เรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แตกต่างกันยังไง?
หนึ่ง -การรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อน เราสามารถเป็นหมอรักษาตัวเองได้ ยิ่งรักษายิ่งเพิ่มประสบการณ์ ยิ่งชำนาญ
สอง –การรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย ห้ามลองผิด เพราะการลองผิดอาจจะหมายถึงความตายที่ไม่มีทางแก้ แต่การรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อนต้องยอมลองผิด เพราะการลองผิดช่วยให้เรามีประสบการณ์ตรง อันนำไปสู่การลองถูก และไม่ย้อนกลับมาลองผิดอีก เพราะฉะนั้น การลองผิดจึงเป็น step ที่สำคัญของการรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อน ซึ่งควรยินดี แทนที่จะอับอายหรือรังเกียจ
@@@@@
บ่อยครั้งที่ผมเจอรุ่นน้องที่พูดว่า ทิ้งภาษาอังกฤษมานานตั้งแต่เรียนจบ อยากจะฟื้นฟูใหม่ตั้งแต่เริ่ม เขาทำเหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตนเขาไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องการ
อันดับแรก – มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์เก่ง ๆ ที่สอนสนุก ไม่เครียด เรียนไปหัวเราะไป และถ้าจะให้ดี ก็ไม่ต้องมีงานให้กลับไปทำเป็นการบ้านคนเดียวโดยไม่มีครูอยู่ใกล้ ๆ ให้เพลิดเพลิน ผมขอถามง่าย ๆ สัก 3 ข้อเถอะครับ
-อาจารย์เก่งอย่างที่ว่านี้ท่านหาเจอได้ง่าย ๆ มั้ย?
-ถ้าท่านเจอ และเรียนจบกับอาจารย์แล้ว ท่านสามารถนำสิ่งที่อาจารย์สอนไปเรียนด้วยตัวเองได้หรือเปล่า?
-ถ้าท่านเรียนด้วยตัวเองไม่ได้ ท่านจะต้องหาทางมาเรียนกับอาจารย์ทั้งปีทั้งชาติหรือเปล่าครับ เพื่อให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษ?
ถ้า choice คือเรียนกับอาจารย์อย่างถาวรทำไม่ได้ (มันทำไม่ได้อยู่แล้ว!!) ก็เหลือทางเลือกอันดับสอง คือ ศึกษากับหนังสือ, ไฟล์ mp3, คลิป, หรือโปรแกรมเรียนภาษาอังกฤษ ที่ทำหน้าที่แทนอาจารย์ หลายคนต้องจับทางเลือกนี้อย่างจำใจ และไม่ยอมทำอะไรกับมัน
เขารออะไร... ?
เขารอให้มีคนมาบอกคำตอบสำเร็จรูปในวิธีการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ถ้าไม่มี ก็ปล่อยให้หนังสือ, ไฟล์ mp3} คลิป, หรือโปรแกรม ที่สะสมไว้หรือมีคนนำมาให้นอนค้างอยู่อย่างนั้น
และแล้ววันหนึ่งเขาก็โชคดี มีคนมาบอกวิธีการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่สนุก ไม่เครียด ไม่ต้องหักโหม และได้ผลอย่างรวดเร็ว เขาดีใจและมีความหวังขึ้นมา และก็ลองทำตามวิธีนั้น
แต่ในไม่ช้าเขาก็พบว่า วิธีที่ลองทำมันก็ไม่สนุกนัก ออกจะเครียด บางครั้งต้องออกแรงเยอะแต่กลับได้ผลน้อยและช้าไม่ทันใจ เขาก็เลยเลิกทำ
และเขาก็กลับไปสู่สภาพเดิม คือรอให้มีใครมาบอกวิธีสำเร็จรูปในการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ที่ดีเลิศประเสริฐศรี ที่มีเงื่อนไขว่า ต้องสนุก ไม่เครียด ไม่ต้องหักโหม และได้ผลอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ก็ยังรออยู่อย่างนั้น
@@@@@@
ผมรู้สึกว่ามีลักษณะการใช้ชีวิตของฝรั่งอย่างหนึ่งที่คนไทยรับมาแต่ก็ยังไม่เต็มที่นัก คือ การทำอะไรให้เป็นด้วยตัวเอง คำจำพวกนี้ที่เราได้ยินบ่อย ๆ คือ how-to และ DIY- Do It Yourself มันอาจจะเป็นเพียงหนังสือที่แนะนำทิบหรือเทคนิคที่ช่วยแนะวิธีทำของยากให้ง่าย และวิธีที่หนังสือแนะนำอาจจะสั้น ๆ เพียง 2-3 ประโยค อ่านแล้วเข้าใจและนำไปทำได้ทันที หรือมันอาจจะยาว ๆ เป็นบท ๆ หรือเป็นเล่ม ต้องลงทุนศึกษาและฝึกฝน หรืออาจจะมีชุดอุปกรณ์ที่ขายพร้อมคู่มือ เช่นให้ท่านเป็นช่างเองในบ้านโดยไม่ต้องจ้างช่างอาชีพมาซ่อมนั่นซ่อมนี่ให้เสียเงิน ฝรั่งเขาต้องทำอย่างนี้อาจจะเพราะว่าค่าจ้างช่างแพง พ่อบ้านแม่บ้านจึงต้องเรียนรู้ทำของพวกนี้ด้วยตัวเอง วัฒนธรรม DIY จึงแน่นในบ้านเขามากกว่าในบ้านเราที่สามารถจ้างช่างได้ง่ายกว่า เพราะราคาไม่แพงนัก
ณ นาทีนี้ สำหรับท่านที่ต้องการรักษาโรคภาษาอังกฤษอ่อนแอของตัวเอง ผมเห็นว่า เมื่อท่านอ่าน how-to ในการรักษาโรคฯ ท่านก็ต้องลงทุนทำตาม how-to นั้น เพราะเมื่อเรามองดูสภาวะของความจำเป็นในการศึกษาภาษาอังกฤษเพื่อการค้าและการอยู่รอดของคนทั้งโลก เราก็เห็นได้ชัดว่า การศึกษาภาษาอังกฤษเป็น DIY- Do It Yourself ไปเสียแล้ว ท่านอย่าไปหวังเลยครับว่า จะมีหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชน นี่-นั่น-โน่น มาช่วยท่านจนสมใจ ถ้าท่านขอเขามาก เขาอาจจะตอบกลับว่า DIY!!
@@@@@
วันนี้กลับจากที่ทำงาน ก่อนที่จะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องอพาร์ตเมนท์ที่พัก ผมลองทำตามคำแนะนำในการฝึกพูดภาษาอังกฤษที่ผมเคยให้แก่ท่านผู้อ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว คือฝึกพูดภาษาอังกฤษคนเดียวโดยจินตนาการว่าพูดกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งที่สนิท ผมเดินไปตามตึกแถว ๆนั้น เลือกย่านที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน แล้วลองนึกเติมคำในช่องว่าของ 2 ประโยคนี้
ประโยคที่ 1:
สิ่งของ (จับต้องได้ หรือ นามธรรม) is….. เช่น
7-Eleven is…..
A dictionary is….
Love is….
My mother is…
My house is…
สมศักดิ์(เพื่อนคนหนึ่ง) is…
นครราชสีมา is…
วัดพระแก้ว is…
ส้วม is….
ผมพยายามนึกถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้สารพัดอย่าง แล้วพยายามพูดต่อประโยคให้จบ ออกมาเสียงดังพอให้ตัวเองได้ยิน ถ้านึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่จะใช้ไม่ออก ก็พยายามเค้นหาคำศัพท์ง่าย ๆ สมัยชั้นประถมที่ยังหลงเหลือมาถึงวันนี้ นึกโดยไม่รีบ แต่นึกไม่หยุด และนึกดัง ๆ โดยพูดออกมา จะพูดช้า พูดหยุด พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ พูดผิด ๆ ยังไงไม่ก็ไม่เป็นไร(เพราะพูดอยู่คนเดียว) แต่พยายามนึกไม่หยุดและพูดไม่หยุด คำใดที่สามารถต่อประโยคที่ 2 ได้ก็ต่อ คำใดต่อไม่ได้หรือไม่อยากต่อก็เลื่อนไปคำใหม่ ผมพยายามทำสัก 20 คำ
และประโยคที่ 2:
I like (สิ่งของ) because…… เช่น
I like เชียงใหม่ because….
I like my job because….
I like น้องกุ้ง because….
I like ท่านชายพุฒิภัทร because….
ฯลฯ
วิธีนึกและพูด ก็ฝึกอย่างประโยคที่ 1
ความสำเร็จของการฝึก ไม่ได้วัดจากถ้อยคำหรือประโยคหรูหรา สละสลวย ที่เราสามารถนึกเอามาแต่งต่อเติม แต่อยู่ตรงที่เราสามารถใช้การออกกำลังสมองเช่นนี้ ชำระสะสางสิ่งที่ตกค้าง ขาด ๆ บิ่น ๆ เลอะ ๆ เลือน ๆ ของภาษาอังกฤษที่หลงเหลืออยู่ในสมอง การลงมือ “ล้างบ้าน” ด้วยตัวเองเช่นนี้ ได้ผลดีกว่าการที่ท่านนั่งอยู่ในห้อง รอให้อาจารย์เข้ามายื่นกระดาษพร้อมคำศัพท์ 100 คำให้ท่านเช็กดูว่าท่านรู้กี่คำ แล้วก็ประเมินท่านว่า ท่านอยู่ในระดับ beginner, intermediate หรือ advanced เสียอีก เพราะถึงแม้ท่านจะรู้ผลการประเมิน สมองของท่านก็ออกแรงมากขึ้นกว่าเดิมนิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ถ้าท่านออกแรงเขย่าสมองและขยับปากของท่านด้วย 2 คำถามนี้ และคำถามอื่น ๆ ที่คล้าย ๆ กันนี้ บ่อย ๆ ทุกวัน ท่านก็จะเริ่มรู้จัก “อวัยวะ” ของท่านที่เป็น “โรค” และหาทางรักษาโรคนั้นได้
@@@@@
ในประเทศไทยซึ่งไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการหรือภาษาที่สอง การเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี ควรจะทำได้พร้อมกับการฝึกอ่าน และฝึกฟังเรื่องง่าย ๆ ซึ่งในเว็บนี้ก็มีไว้ให้พอสมควร เช่น
ฝึกภาษาอังกฤษ โดยการฟังและอ่านตาม คลิปคาราโอเกะ - e4thai
ดาวน์โหลด Story เกือบ 2,000 เรื่อง เพื่อฝึกฟังและอ่านตาม (ไม่ยากครับ !!)
ชม 86 คลิป American Idioms ฟังง่าย-เข้าใจง่าย-ใช้บ่อย-มี subtitle บนจอด้วย
ข่าวเดียวกัน มี 3 ระดับ ง่าย-กลาง-ยาก ให้เลือกฝึกอ่าน และฟัง - e4thai
การที่เรามี 1 ปากทำหน้าที่ในการพูด แต่มีตาถึง 2 ตา และหูถึง 2 หู รวมเป็น 4 นี่น่าจะบอกเป็นนัยแล้วว่า ปาก 1 ปากคงยากที่จะทำอะไรได้สำเร็จถ้า 2 ตา 2 หูไม่อยู่คอยช่วย การฝึกพูดภาษาอังกฤษก็คงเช่นเดียวกัน
@@@@@@
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
งานแปลกวีนิพนธ์ไทย ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
สวัสดีครับ
เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าในวันนี้เป็น งานแปลกวีนิพนธ์ไทยเป็นภาษาอังกฤษ ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช [คลิกอ่านประวัติ] ซึ่งหลายบทคือ โคลงโลกนิติ ผมเห็นว่าท่านแปลไว้ดีเหลือเกินจึงอยากนำมาให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่คุ้นเคยเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษได้ลิ้มดูบ้าง แต่ก่อนอื่นผมขอคุยอะไรด้วยนิดนึงก่อนนะครับ
ถ้าให้ผมเดา ผมเดาว่าในเนื้อสมองของมนุษย์น่าจะมีสักก้อนหนึ่งที่เป็นคล้าย ๆ sensor ซึ่งดักจับภาษาที่เป็นคำคล้องจองหรือคำสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสในหรือสัมผัสนอก สัมผัสสระหรือสัมผัสอักษร คำพวกนี้จะต่างจากคำธรรมดา ซึ่งถ้านำมาเรียงกันอย่างมีคุณภาพเราเรียกว่าวรรณศิลป์ เมื่อได้อ่านหรือได้ยินจะจำง่ายและกินใจ
สำหรับผมเอง วรรณคดีไทยที่เขากำหนดให้เรียน และอาขยานที่ครูสั่งให้ท่อง สมัยที่เป็นนักเรียนชั้นประถมและมัธยม ช่วยอย่างมากให้ผมรักโคลงกลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลอน ผมแต่งได้ตั้งแต่เป็นนักเรียน และเมื่อโตขึ้น เมื่อผ่านไปที่นั่นที่นี่ถ้าเห็นกลอนที่เตะใจก็มักจะจำได้ทันทีและจำได้ตลอดไปโดยไม่ต้องตั้งใจจำ
ผมขอยกตัวอย่างสักนิดหน่อยแล้วกันครับ...
สมัยที่เรียนธรรมศาสตร์ยืนโหนราวในรถสองแถวไปเรียนหนังสือ ผมเห็นเขาเขียนอย่างนี้ไว้ในรถ
Someone love one
Someone love two
But I love one
That one is you
ผมอ่านครั้งเดียวจำได้ทันที และก็รู้สึกว่าถ้ากระเป๋ารถเป็นคนเขียน หนุ่มคนนี้ก็เข้าท่าแฮะ แม้จะเขียนผิดไวยากรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่เป็นไร
ที่รถสองแถวอีกคันหนึ่ง เขาเขียนอย่างนี้
บนหนทางห่างไกลไม่สิ้นสุด
วิถีแห่งมนุษย์เพิ่งเริ่มต้น
ไม่มีใครเก่งกล้าปัญญาชน
มีแต่ความเป็นคนเท่าเทียมกัน
เป็นไงครับ น่าทึ่งไหมครับ
ในห้องน้ำชายแห่งหนึ่งของธรรมศาสตร์สมัยนั้น ผมเจอจารึกนี้ แม้ภาษาจะไม่สุภาพเอาซะเลย แต่ผมก็จำได้ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
สักวานั่งขี้ให้ดีหน่อย
ค่อยๆปล่อยบรรจงให้ตรงฐาน
ขี้เสร็จแล้ว ราดน้ำพอประมาณ
อันคนพาลขี้ไม่ราดชาติหมาเอย
เมื่อผมเรียนจบทำงานเป็นพัฒนากร วันหนึ่งมีธุระต้องไปหาเจ้าอาวาสที่วัด ๆ หนึ่ง สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือให้โทรเช็ค เมื่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปถึงวัด แทนที่จะเจอหลวงพ่อ กลับเจอป้ายนี้แขวนไว้ที่กุฏิของท่าน
ท่านมาพบขออภัยไม่ได้พบ
ใช่จะหลบหลีกลี้หนีไปไหน
อยากจะพบกับท่านแทบขาดใจ
พบไม่ได้เพราะติดกิจนิมนต์
เจอกลอนบนนี้ผมจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้จะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งนานกว่าจะถึงวัด
ผมว่าคำประพันธ์หรือบทกลอนที่คล้องจอง กินใจ และจำง่าย คือเสน่ห์ของวรรณศิลป์ที่เถียงไม่ได้เลย อย่างเช่นกลอนบทนี้ที่ว่าด้วยนิยามของความรัก
คือน้ำผึ้งคือน้ำตาคือยาพิษ
คือหยาดน้ำอมฤตอันชื่นชุ่ม
คือเกสรดอกไม้คือไฟรุม
คือความกลุ้มความฝัน...นั่นแหละรัก
กลอนบทนี้ถ้าท่านนำมาสื่อด้วยภาษาธรรมดาที่ไม่มีสัมผัส จะกลายเป็นนิยามความรักที่จืดชืดมาก ๆ
อีกอย่างหนึ่งคิดว่าท่านคงจะเคยเจอเหมือนผม คือเมื่อไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งและเขาเขียนกลอนติดไว้ เมื่ออ่านแล้วก็จำได้ เมื่อนึกถืงกลอนบทนั้นก็ทำให้นึกถือสถานที่นั้นทุกครั้ง
อย่างเช่นกลอนบทนี้ที่ผมอ่านเจอเมื่อไปเที่ยวเขาพิงกันที่พังงา
พิงกันสัญญลักษณ์ล้ำ ลือขจร
หนึ่งคือดวงสมร หนึ่งข้าฯ
รักจริงดุจสิงขร พิงแอบ กันนา
รักสถิตย์ชั่วฟ้า ตราบสิ้นดินสลาย
เรื่องการพูดคล้องจองนี่นะครับ ผมว่ามันน่าจะมีทุกชาติทุกภาษา ต่างกันแค่รูปแบบและมากน้อยเท่านั้นเอง บางครั้งที่ชมข่าว BBC ได้เห็นเขาแทรกถ้อยคำที่ถ้าเป็นภาษาไทยน่าเรียกว่าเป็นการเล่นคำที่สัมผัสอักษร แต่ให้นึกตอนนี้นึกไม่ออกครับ เลยไม่มีตัวอย่าง
คำคล้องจองมีการนำเอามาใช้มากในการสอนธรรมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลอนธรรมะที่ช่วยให้จำง่าย เข้าใจ และกินใจ ผมขอยกตัวอย่างกลอนชื่อ เรียนชีวิต ของท่านอาจารย์พุทธทาส ผมอ่านครั้งเดียวแทบจะจำได้ทันที
เรียนชีวิต อย่าแสวง จากแหล่งนอก
อย่าเข้าไป ในคอก แห่งศาสตร์ไหน
อย่ามัวคิด ยุ่งยาก ให้ผากใจ
อย่าพิจารณา จาระไน ให้นุงนัง
อย่ายึดมั่น นั่นนี่ ที่เรียกกฏ
มันตรงตรง คดคด อย่างหมดหวัง
จงมองตรง ลงไปที่ ชีวิตัง
ดูแล้วหยั่ง ลงไป ในชีวิต
ให้รู้รส หมดทุกด้าน ที่ผ่านมา
ให้ซึมซาบ วิญญาณ์ อย่างวิศิษฐ์
ประจักษ์ทุกข์ ทุกระดับ กระชับชิด
ปัญหาชีวิต จะเผยออก บอกตัวเองฯ
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยเทศน์เล่าว่า มีฝรั่งคนหนึ่งมาบวชเป็นพระที่วัดสวนโมกข์ ท่านชื่อว่า สีลาจาระ ได้แต่งกลอบบทนี้ไว้
"A den of strife is household life,
And filled with toil and need;
But free and high as the open sky
Is the life the homeless leads."
เนื้อหาของกลอนบทนี้มาจากข้อความในพระไตรปิฎกว่า
ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี
บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง
การที่บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์
ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย
ถ้าให้ผมตัดสิน ผมก็ต้องบอกว่า กลอนภาษาอังกฤษจำง่าย เข้าใจง่าย และกินใจ มากกว่าข้อความบรรยายในพระไตรปิฏกเสียอีก
เอาละครับ ผมไตเติ้ลมาพอสมควรแล้ว ณ ตอนนี้ก็ขอ copy ย่อหน้าแรกของข้อเขียนวันนี้ มาให้ท่านอ่านอีกครั้ง
เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าในวันนี้เป็น งานแปลกวีนิพนธ์ไทยเป็นภาษาอังกฤษ ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งหลายบทคือ โคลงโลกนิติ ผมเห็นว่าท่านแปลไว้ดีเหลือเกินจึงอยากนำมาให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่คุ้นเคยเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษได้ลิ้มดูบ้าง
ขอเชิญครับ...
Souce:http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=6822.0
วิธีหาคลิปเพลงสากลเพื่อศึกษาภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ผมเองไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กพูดไม่ชัดจนโตเป็นผู้ใหญ่วัยเลิกจำเพลงใหม่ ก็ร้องได้แต่เพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง และสตริงในวัยของผม แต่ผมร้องเพลงฝรั่งไม่ได้แม้แต่เพลงเดียว เมื่อมาทำเว็บนี้พอผมคิดจะแนะนำเพลงสากลเพื่อการเรียนภาษาอังกฤษก็เลยไม่รู้จะแนะนำอะไร แต่ผมก็รู้วิธีง่าย ๆ ในการศึกษาภาษาอังกฤษจากเพลง คือ
1.ถ้าต้องการฟังเพลง พร้อมกับอ่านเนื้อเพลงขณะฟัง ก็พิมพ์ชื่อเพลง และต่อด้วย lyrics ลงไปที่ YouTube.com เช่น (ตัวอย่างที่ยกมานี้ ก็เพียงไม่กี่เพลงที่ผมรู้จัก แต่ก็ร้องไม่เป็นอยู่นั่นเอง)
2.ถ้าต้องการฟังเพลง พร้อมกับอ่านเนื้อเพลงฝรั่ง +คำแปลเพลงเป็นไทย ก็พิมพ์ เพลงสากลแปลไทย lyrics ก็จะได้มาบ้างแต่ไม่มากนัก และวิธีนี้จะระบุชื่อเพลงนั้นเพลงนี้ลงไปด้วยคงยาก ตัวอย่างที่ได้มาบ้างก็ข้างล่างนี้ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=9MdLuDDgDBs
หรือ http://www.youtube.com/watch?v=b4n6XMu6kX4
http://www.youtube.com/watch?v=3U4hjSPHa3Q
http://www.youtube.com/watch?v=qXoEdLt9d4s
http://www.youtube.com/watch?v=8pi9ZM2IRL4
และที่นี่มีเยอะ: http://www.youtube.com/user/MrTrish1150
แถม: เรียนภาษาอังกฤษกับเว็บ แปลเนื้อเพลงฝรั่งเป็นไทย
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
เชิญดาวน์โหลดไฟล์ Breaking News English เก็บไว้ใช้
สวัสดีครับ
เว็บ http://www.breakingnewsenglish.com/ เป็นเว็บติดอันดับต้น ๆ ของโลก ประเภทเว็บเพื่อการศึกษาภาษาอังกฤษ โดยใช้ World Newsเป็นวัตถุดิบ
คุณ Sean Banville ซึ่งป็น Webmaster เป็นชาวอังกฤษ จบการศึกษาปริญญาโทเกียรตินิยม ด้านการศึกษาภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สองและภาษาต่างชาติ แกอยู่ที่ญี่ปุ่นมาหลายปีแล้ว เข้าใจว่าจะได้เมียเป็นคนญี่ปุ่น
หลายปีที่แล้วที่แกเริ่มทำเว็บนี้ ตอนที่เว็บของแกยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ ผมเขียนไปชมแกว่าเว็บของแกดี แกตอบมาว่าแกจะเขียนคำแนะวิธีการใช้เว็บที่ Homepage เป็นหลาย ๆ ภาษาซึ่งรวมทั้งภาษาไทยด้วย และขอร้องให้ผมช่วยแปลเป็นภาษาไทยให้ ซึ่งผมก็ยินดีอย่างยิ่ง แต่เว็บของแกดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนไม่มีความจำเป็นแล้วที่จะต้องทำคำแปลไว้หน้าแรกอย่างที่ว่าไว้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยอีกเช่นกัน
Concept ในการทำเว็บของแกก็ง่าย ๆครับ แต่ต้องอาศัยเว็บมาสเตอร์ที่เก่งและขยัน คือ ทุกวันตอนเช้าตรู่ แกจะตื่นขึ้นมาแล้วอ่าน Breaking News จากแหล่งข่าวต่าง ๆ ในโลกจากอินเตอร์เน็ต แล้วก็เลือกมา 1 ข่าว เขียนขึ้นใหม่ด้วยสำนวนตัวเอง แทรกเสียงอ่านเป็น mp3.ใส่ไว้ให้ด้วย แล้วทำแบบฝึกหัดพร้อมเฉลยให้ครูหรือนักเรียนหรือใครก็ได้ที่สนใจจะพัฒนาภาษาอังกฤษเข้าไปศึกษาหรือดาวน์โหลดไฟล์เก็บไว้ใช้ได้โดยไม่คิดมูลค่า เอกสารจากเว็บนี้ครูสอนภาษาอังกฤษทั่วโลกสามารถ print ออกมาเป็น sheet แบบฝึกหัดแจกนักเรียนได้ทันที แกทำอย่างนี้มาหลายปีแล้ว เนื้อข่าว หรือ mp3 ที่เก็บไว้ในเว็บก็ไม่ได้ลบออก เว็บของแกเลยดังเป็นพลุแตก ผมให้เกรดเว็บนี้ A ครับ A ต้น ๆ ด้วยครับ ไม่ใช่ A ท้าย ๆ
สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็น reading, writing, listening, speaking, conversation, vocabulary, grammar, และอื่น ๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ เข้าไปที่เว็บนี้เว็บเดียวได้ทุกอย่าง และที่พิเศษกว่าเว็บอื่น ๆ ก็คือ นอกจากได้ฟิตภาษาอังกฤษแล้ว ยังได้ติดตามข่าวสารดัง ๆ ทั่วโลก เพราะว่าเว็บนี้เป็น Breaking News + English
ไฟล์ ข้อความ(pdf)และไฟล์เสียง (mp3) ทั้งหมดที่เว็บนี้มีไว้ให้ดาวน์โหลดนั้น ผมดาวน์โหลดมาเก็บไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2013(เม.ย.) มีขนาด เกือบ 1 GB
ถ้าท่านต้องการได้ไฟล์ชุดนี้เก็บไว้ใช้ เชิญไปดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ ท่านสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องต่อเน็ต
คุณ Sean Banville เขาบอกไว้ในเว็บแล้วว่าอนุญาตให้เอาไฟล์นี้ไปใช้เพื่อการศึกษา แต่ห้ามเอาไปหากำไรทางการค้า นอกจากขอบคุณแล้ว เราก็คงต้องเคารพเจตนาของเขาด้วย
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จจากเว็บและไฟล์ จากเว็บ breakingnewsenglish.com โดยทั่วกันครับ
เชิญดาวน์โหลดไฟล์ได้เลยครับ:
2006:2006
2010:part1-part2-part3-part4-part5
2012:part1-part2-part3-part4-part5
ข้อแนะนำการใช้
1.เมื่อดาวน์โหลดเสร็จ, extract ไฟล์, และเข้าไปในโฟลเดอร์แล้ว, ให้คลิก (Change your view - -> Details และคลิก) name เพื่อให้ไฟล์ที่มีชื่อเหมือนกันเรียงต่อกัน
2.ลักษณะ code –ของชื่อไฟล์เป็นดังนี้ (ตัวอย่าง)
050701-samesex
05 คือ ปี 2005
07 คือเดือน 7 – July กรกฎาคม
01 คือวันที่ 1
samesex คือ คำย่อของบทความข่าว
3.ถ้ามีตัว e ต่อท้าย เช่น 050701-samesex-e, e ตัวนี้ย่อมาจาก Easier คือเป็นข่าวง่าย
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.