Articles
"คอลัมน์ ฝึกภาษาอังกฤษ" ที่ นสพ.ข่าวสด
♥ "คอลัมน์ ฝึกภาษาอังกฤษ" ที่ นสพ.ข่าวสด น่าสนใจทีเดียวครับ
→ https://goo.gl/zefKX8
♦ ลองดูสัก 1 ตัวอย่างก็ได้ครับ "คำอังกฤษ.. ที่ไม่ใช่อังกฤษ"
→ https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_438196
ฝึกภาษาอังกฤษกับ Story สนุก-น่ารัก สำหรับเด็ก (agendaweb.org)
♥ฝึกภาษาอังกฤษกับ Story สนุก-น่ารัก สำหรับเด็ก
→ https://agendaweb.org/listening/short-stories-for-children.html
♦ลองดูสัก 1 เรื่องเป็นตัวอย่าง The King's New Clothes
คลิก Page by Page และ Next ไปจนจบเรื่อง (ถ้าต้องการฟังหน้าใดซ้ำก็คลิก Previous และคลิก Next ทันที)
→ http://www.e-yep.com/list.php?page=storyEN&id=985
ประสบการณ์ส่วนตัวในการฝึกอ่านและฟังข่าวภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง
เมื่อผมเริ่มเข้าเรียน ปี 1 คณะวารสารศาสตร์ฯ ธรรมศาสตร์ ผมบอกตัวเองว่า ผมจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ให้รู้เรื่องเหมือนอ่านไทยรัฐให้ได้
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการฝึกอ่านข่าวภาษาอังกฤษของผมเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ต่างจากทุกวันนี้โดยสิ้นเชิง เพราะอินเทอร์เน็ตทำให้โลกใบใหม่ของคนยุคนี้ ไม่ใช่โลกใบเก่าของคนยุคก่อน ยุคที่ผมเริ่มเป็นหนุ่ม
ผมผ่านการฝึกตัวเองมาหลายสิบปีกว่าจะอ่านและฟังข่าวภาษาอังกฤษได้รู้เรื่องมากขึ้นอย่างทุกวันนี้ ในแง่หนึ่งมันก็เป็นห้วงเวลาที่น่าท้าทายและเอาชนะตัวเองว่าต้องทำให้ได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งมันคือความน่าเบื่อหน่าย ที่ต้องทนกับความไม่รู้เรื่องทั้งอ่านและฟัง ทั้ง ๆ ที่ฝึกหนักและต่อเนื่อง
ผมจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ ผมไม่อยากให้คนรุ่นใหม่ต้องเป็นอย่างผม คือฝึกหนักและต่อเนื่อง แต่ก็ได้ผลน้อยและใช้เวลานาน ผมมีความวังว่า การฝึกของเขาน่าจะได้ผลดีกว่าผมอย่างน้อย 2 เท่าคือ ฝึกหนัก-ต่อเนื่อง & ได้ผลมาก-ใช้เวลาน้อย
บทความวันนี้ "ประสบการณ์ส่วนตัวในการฝึกอ่านและฟังข่าวภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง" ผมกะจะเล่าใน 3 ประเด็นนี้
(1)มีทัศนคติเชิงบวกในการฝึก
(2)มีขันติ-วิริยะ-สมาธิในการฝึก
(3)ใช้ตัวช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการฝึก
ขอเล่าไปทีละเรื่อง ดังนี้ครับ
[เรื่องที่ 1] มีทัศนคติเชิงบวกในการฝึก
เมื่อสอบติด entrance เข้าเรียนเทอมแรก สิ่งที่ผมตื่นตะลึงที่สุดในมหาวิทยาลัยริมน้ำแห่งนั้นคือห้องสมุด ซึ่งมีหนังสือเป็นแสน ๆ เล่ม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากเด็กนักเรียนมัธยมบ้านนอกที่ชอบอ่านหนังสือและชอบวิชาภาษาอังกฤษ ห้องสมุดที่เจอจึงเสมือนแดนสวรรค์ เพราะมีหนังสือให้อ่าน.... หนังสือภาษาอังกฤษที่อ่านยากแต่ก็อยากอ่าน
ผมรักที่จะเรียนรู้ รู้โดยการอ่าน แม้จะอ่านยาก ผมได้ข้อสรุปจากวันนั้นและยึดมาจนถึงวันนี้ว่า ความรู้เป็นสิ่งประเสริฐ และแม้ว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งวิเศษเลอเลิศ แต่เพราะภาษาอังกฤษพาเราเข้าไปสู่ความรู้ การละเลยภาษาอังกฤษก็คือการละเลยความรู้
เมื่อผมเรียนจบได้งานทำและรู้จักคนมากขึ้น ทำให้ได้เห็นว่าโดยทั่วไปคนที่จะ "เก่งอังกฤษ" ก็คือคนที่ "เรียนจบนอก", "จบในประเทศแต่เรียนหลักสูตรอินเตอร์", "ได้งานทำที่เกี่ยวข้องพูดคุยกับฝรั่งทั้งวัน" หรือ "มีแฟนเป็นฝรั่ง" ใน 4 ข้อนี้ผมไม่เข้าข้อใดเลย แต่ผมก็เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ผมไม่ได้รู้ภาษาอังกฤษอย่างคนโชคดี ส่วนน้อย 4 กลุ่มนั้น
ผมจึงมาถึงข้อสรุปที่ใช้สอนตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่า ถ้าทางที่อยากเดินไม่มีให้เราเดิน เราก็ต้องสร้างเส้นทางให้ตัวเองเดิน, และก็เดินไปตามทางที่ตัวเองสร้าง, ถ้าไม่มี "ทางลัด" อย่างที่คนโชคดีเขาได้เดิน ก็เดินไปตามทางปกตินี่แหละ, ถ้าเดินไม่หยุดและรีบเดินสักหน่อย มันก็ต้องถึงที่หมายแน่ ๆ, คนที่ "ได้ทำ" ย่อม "ทำได้" เว้นแต่จะ "ไม่ทำ" การเดินทางกับการฝึกภาษาอังกฤษไม่มีอะไรต่างกันเลย
ทุกวันนี้เมื่อเข้าไปในเน็ตและให้กูเกิ้ลช่วยหาวิธีฝึกให้เก่งอังกฤษ คำแนะนำจำนวนมากบอกให้ทำอย่างนี้-อย่างนั้น-อย่างโน้น-และอย่างนู้น แต่จะทำอย่างไหนก็แล้วแต่ ถ้าคนฝึกยังไม่มีมีทัศนคติเชิงบวกในการฝึก หรือมีทัศนคติที่ติดลบ โอกาสในการเก่งอังกฤษก็ติดลบเหมือนทัศนคติที่อยู่ในใจตัวเองนั่นแหละครับ
[เรื่องที่ 2] มีขันติ-วิริยะ-สมาธิในการฝึก
ขันติคืออดทนฝึก
วิริยะคืออดทนฝึกได้ต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่อดทนได้วันเดียว-เดือนเดียว-ปีเดียว พอเจออุปสรรคก็เลิกอด-เลิกทน
สมาธิคืออดทนฝึกด้วยใจสงบ
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้อยู่ในคำแนะนำของกูเกิ้ล เขาอาจจะคิดว่าทุกคนควรรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครแนะ แต่ผมก็อยากจะแนะเรื่องนี้สักหน่อย ขออนุญาตนะครับ
คือถ้าท่านคิดถึงคนที่เรียนจบนอก เราไม่ต้องไปคิดถึง "speaking skill" ซึ่งเขาต้องมีมากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา แต่ในที่นี้ผมกำลังคุยกับท่านผู้อ่านเกี่ยวกับ "ประสบการณ์ส่วนตัวในการฝึกอ่านและฟังข่าวภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง" จึงขอถามท่านผู้อ่านว่า ท่านคิดว่าคนที่จบนอกทุกคนมี "reading skill" ที่สามารถอ่าน Bangkok Post ได้เหมือนอ่านไทยรัฐ หรือมี "listening skill" ที่สามารถฟังข่าว BBC,CNN, Aljazeera ได้เหมือนฟังข่าวช่อง 3,ช่อง 7, ช่อง 8 - เขาสามารถอย่างนั้นทุกคนหรือเปล่า?
คำตอบของผมก็คือ "ไม่แน่หรอกครับ!" เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า เขาไปเรียนสาขาอะไร ที่มีโอกาสได้ฝึกอ่าน - ฝึกฟัง เนื้อหาหนัก ๆ มากน้อยแค่ไหน, และ... และตัวเขาเองใส่ใจในการพัฒนา "reading skill" และ "listening skill" มากน้อยเพียงใดอีกด้วย ถ้าไม่สนใจ เพียงแค่ได้ "จบนอก" มันก็ไม่ได้การันตีอะไรมากมายหรอกครับ แต่คนที่ใส่ใจและฝึกจริง คนกลุ่มนี้เท่านั้นแหละครับที่เก่งจริงกลับมา
คราวนี้มาพูดถึงพวกเราบ้างที่ไม่มีโอกาสไปฝึกอย่างเขาที่เมืองนอก แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสฝึกที่เมืองไทย เพราะโอกาสเป็นสิ่งที่เราสร้างได้ถ้าเราตั้งใจจริง ๆ ที่จะสร้างมัน ขออนุญาตให้ผมเอาเรื่องของตัวเองมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่องสองเรื่อง อย่าหาว่าผมคุยโม้เลยครับ เพราะถ้าเอาเรื่องของคนอื่นมาเล่ามันไม่ถึงใจและไม่เห็นภาพ
ตอนผมเริ่มเรียนปี 1 ผมบอกตัวเองว่าก่อนขึ้นปี 2 จะต้องอ่าน Bangkok Post ให้รู้เรื่องเหมือนอ่านไทยรัฐ ฉะนั้นแทบทุกวัน เมื่อกลับถึงที่พักผมจะนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ เอาเชือกผูกเอวตัวเองไว้กับพนักเก้าอี้ และอ่านให้จบอย่างน้อย 1 หน้าก่อนลุกไปไหน ถ้าจะลุกก่อนจบก็ต้องเอาเก้าอี้ไปด้วย ทำอย่างนี้จนเรียนจบปี 1 ผลปรากฏว่าก็ยังไม่สามารถบันดาลให้ Bangkok Post กลายเป็นไทยรัฐไปได้ แต่... มันอ่านรู้เรื่องมากขึ้นเยอะและคุ้มค่ากับความพยายาม
ตอนผมอยู่ปี 3 ผมอยากจะได้ประสบการณ์ตรงในวิชาชีพที่เรียน จึงเดินทางไปที่กองบรรณาธิการของ นสพ.ฉบับหนึ่งเพื่อขอฝึกงานแปลข่าวต่างประเทศเพื่อหาประสบการณ์ (สมัยนัันแหล่งข่าวต่างประเทศของ นสพ.รายวันเมืองไทยได้จากเครื่อง Telex) บรรณาธิการบอกว่า ไม่ได้รับคนฝึกงานแต่ขณะนี้คนทำหน้าข่าวต่างประเทศเพิ่งจะลาออก ถ้าจะสมัครก็รับ ทำได้มั้ยล่ะ? เวลานั้นผมไม่แน่ใจในฝีมือแปลข่าวของตัวเอง แต่เพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถและอยากได้เงิน (ได้เกือบ 4000 บาท, ทั้ง ๆ ที่คนจบปริญญาตรีรับราชการได้แค่ 2000 กว่าบาท) ผมเลยตอบว่าทำได้และสมัคร ทุกวันผมจะขึ้นรถเมล์จากธรรมศาสตร์ไปที่กองบรรณาธิการ นสพ.ฉบับนั้นซึ่งอยู่แถว ๆ บางลำพู ทำงานคัดข่าวและแปลข่าวภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเพื่อลงตีพิมพ์ในหน้าข่าวต่างประเทศ ทำตั้งแต่ประมาณบ่าย 3 โมงไปจนถึง 5 ทุ่ม, ตื่นตี 4 ทำงานอย่างเดิมและขึ้นรถเมล์ไปเรียนที่ธรรมศาสตร์, บ่าย 3 โมงก็ขึ้นรถเมล์กลับมาทำงานที่โรงพิมพ์อีก ชีวิตประจำวันเป็นอย่างนี้ งานนี้ในแง่หนึ่งก็กดดันอยู่เหมือนกันตรงที่ห้ามแปลผิดเด็ดขาด เพราะถ้าแปลผิดมันจะฟ้องอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ของเราที่ต่างจากฉบับอื่น ๆ ผมทำงานที่นี่ได้ประมาณ 1 ปี ปรากฏว่าเกรดที่เคยได้ 3.2 ลดเหลือ 1.6 แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะวิชา " แปลข่าว" ที่มหาวิทยาลัย ผมได้เกรด A โดยใช้เวลาทำแค่ 15 นาที จาก 3 ชั่วโมง
เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานเป็น "พัฒนากร" ที่หลายจังหวัดประมาณ 10 ปี งานที่ผมทำไม่มีอะไรที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียนเลย โดยทั่วไปร้านหนังสือพิมพ์เจ้าประจำเขาไม่ได้ขายหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ผมจึงสั่งพิเศษให้เขารับ Bangkok Post มาให้ผมวันละฉบับ ผมถูกเพื่อนล้อว่าดัดจริตอ่านหนังสือพิมพ์ฝรั่งเพราะพัฒนากรไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษกับชาวบ้าน เพื่อนบอกว่า ถ้ามึงอ่าน Bangkok Post ก็น่าจะซื้อแฮมเบอร์เกอร์มากิน แต่ถ้ายังซื้อกล้วยทอดในหมู่บ้านมากินก็น่าจะอ่านไทยรัฐ ผมก็ไม่รู้จะตอบเพื่อนยังไง
หลังจากนี้ผมได้โอนหน่วยงานเข้ามารับราชการในกรุงเทพในผนกที่เกี่ยวกับการฝึกอบรม พอดีแผนกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีตำแหน่งว่างผมจึงสมัครและได้ย้ายไปทำงานที่นั่น
ปัญหาก็คือตำแหน่งที่ผมสมัครต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แต่ผมมีอยู่ทักษะเดียวคืออ่าน ส่วนพูด-ฟัง-เขียน ผมไม่เคยฝึกเลย จึงต้องเริ่มฝึก ณ บัดนั้น ใช่แล้วครับ ผมเริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษในชีวิตเมื่ออายุ 35 ปี
มันเป็นการฝึกที่ทุรกันดารมากในยุคนั้นที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ ผมจึงรับเคเบิ้ลทีวีซึ่งมีข่าว BBC และ CNN ให้ฝึกฟัง แต่มันฟังยากมาก บ่อยครั้งที่ฟังไม่รู้เรื่องจึงฟังไปง่วงไปจะหลับซะให้ได้ ต้องยืนฟังแทนนั่งฟังจะได้ไม่หลับ
ที่นับว่าโชคดีมาก ๆ ก็คือ ปัญหาในการฟังของผมมักเป็นเรื่องของ "สำเนียง" ส่วน "ศัพท์-สำนวน" ผมตุนไว้มากพอสมควรจากการอ่านข่าวที่ Bangkok Post มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ท่านผู้อ่านครับ 3 - 4 ตัวอย่างจากเรื่องส่วนตัวที่ผมยกมานี้ ผมต้องการสรุปสั้น ๆ ว่า การฝึกภาษาอังกฤษให้ได้ผลต้องมีขันติ-วิริยะ-สมาธิอย่างเข้มข้น และเราจำเป็นต้อง "ให้โอกาส" แก่ตัวเองได้ฝึกอย่างเข้มข้น การฝึกเรื่อย ๆ มีประโยชน์ แต่การฝึกอย่างเข้มข้นมีประโยชน์มากกว่า และได้ผลมากกว่า เมื่อความตั้งใจให้โอกาสแก่ตัวเอง ก็อย่าปล่อยให้ความเหลาะแหละปฏิเสธโอกาสนั้น
[เรื่องที่ 3] ใช้ตัวช่วย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการฝึก
ในยุคนี้ที่เราสามารถฝึกฝึกอ่านและฟังข่าวภาษาอังกฤษผ่านเน็ต มีตัวช่วยมากมายที่ทำให้เหนื่อยน้อยและได้ผลเร็วกว่าสมัยก่อน เช่น มีเนื้อหาหลากหลายให้เราฝึก, มีโปรแกรม, add-on, app ฯลฯ สารพัดอย่างให้เลือกใช้, ฟรีและไม่จำกัดเวลา จะฝึกเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้ เรื่องนี้ผมได้พูดไว้มากพอสมควรแล้วในหลายบทความที่เว็บนี้ ท่านลอง Search ดูได้เลยครับ
ท่านผู้อ่านครับ การฝึกอ่านและฟังข่าวภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง มีประโยชน์และคุณค่ามหาศาล มีข่าวมากมายที่ไม่มีให้อ่าน - ไม่มีให้ฟังเป็นภาษาไทย การรู้ข่าวภาษาอังกฤษจะช่วยเปิดโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ของตัวเองให้กว้างไกลไม่สิ้นสุด นอกจากนี้เมื่ออ่านข่าวและฟังข่าวรู้เรื่อง เรื่องอื่น ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษก็อ่านและฟังเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะศัพท์ข่าวเป็นศัพท์สากล และเนื้อข่าวก็เป็นเรื่องราวสากล โลกทุกวันนี้เล็กลง ทำให้เราต้องเป็นทั้งชาวไทยและชาวโลก เราเป็นชาวไทยเรา "ต้อง" รู้ภาษาไทย และเราเป็นชาวโลกเราก็ "ต้อง" รู้ภาษาโลก ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่ต้องเรียนให้รู้
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/
ภาษาที่ไม่ผิดแกรมมาร์, แต่เจ้าของภาษาเขาไม่ค่อยใช้
ในภาษาอังกฤษ ในการสื่อความหมายอย่างเดียวกัน อาจจะใช้คำ, สำนวน, วลี ได้หลายอย่าง โดยทุกอย่างก็ถูกต้องตามหลักแกรมมาร์
แต่ว่า ตามที่เจ้าของภาษาเขาใช้กันในชีวิตประจำวัน หรือ everyday English นั้น เขาอาจจะใช้อย่างหนึ่งมากกว่าอีกอย่างหนึ่ง โดยอย่างที่เขาใช้น้อยนั้น อาจจะเป็นเพราะว่ามันไม่ทันสมัย, ดูเป็นทางการเกินไป, เป็นภาษาเก่า หรือเพราะเหตุใดก็แล้วแต่
ของพวกนี้ ถ้าเรารู้ไว้สักหน่อยก็น่าจะดีนะครับ
ยกตัวอย่างข้างล่างนี้
ใช้ I'm sure I gave him the money. มากกว่า I'm certain I gave him the money.
ใช้ Are you planning to go back to Spain? มากกว่า Are you planning to return to Spain?
ใช้ Which way is north? มากกว่า Which direction is north?
ใช้ I appreciate everything you've done. มากกว่า I'm grateful for everything you've done.
ใช้ I don't go there very often. มากกว่า I seldom go there.
ใช้ Is there a number where I can get in touch with you? มากกว่า Is there a number where I can contact you?
ใช้ She lives by herself/on her own. มากกว่า She lives alone.
ใช้ Thanks for your help. มากกว่า Thank you for your kindness.
ใช้ I'm looking for a new job at the moment. มากกว่า I'm looking for a new job at present.
ใช้ My parents got married in 1986. มากกว่า My parents married in 1986.
ใช้ What do you do in your free time? มากกว่า What are your hobbies?
ใช้ It is against the law to have a gun without a licence. มากกว่า It is illegal to have a gun without a licence.
ใช้ I've already told him I'm sorry. มากกว่า I've already apologized to him.
ใช้ Luckily, no one was hurt. มากกว่า Fortunately, no one was hurt.
ใช้ You haven't answered my question. มากกว่า You haven't replied to my question.
ใช้ Don't worry. You'll soon get better. มากกว่า Don't worry. You'll soon recover.
ใช้ I've already written to him about the problem. มากกว่า I've already written to him concerning the problem.
ใช้ I can't stand her husband. มากกว่า I hate her husband.
ใช้ His new album is out now. มากกว่า His new album is available now.
ใช้ She refused to take part in any of the activities. มากกว่า She refused to participate in any of the activities.
ถ้าท่านสนใจเรื่องพวกนี้ ก็เข้าไปดูที่ Longman Dictionary ได้เลยครับ
พิพัฒน์