Articles
หลักพื้นฐานเรื่อง stress และ de-stress
สวัสดีครับ
วันนี้ผมมี 2 คลิปที่เขาอธิบายเรื่องการลงเสียงหนัก (stress) และการลงเสียงเบา (de-stress) ในคำและประโยคภาษาอังกฤษ ผมเห็นว่าเขาอธิบายได้ชัด กระชับ จำง่าย จึงนำมาฝาก โดยขอหยิบบางข้อความในคลิปมาให้ท่านดูก่อน
คลิปที่ 1:
เขาบอกว่า มีหลักพื้นฐานเรื่อง stress พยางค์ในคำศัพท์ให้จำอยู่ 5 ข้อ คือ
กฎข้อ 1:
คำ noun และ คำ adjective ส่วนใหญ่ซึ่งมี 2 พยางค์, ให้ stress พยางต์แรก
กฎข้อ 2:
verb ส่วนใหญ่ซึ่งมี 2 พยางค์, ให้ sreess พยางค์หลัง
กฎข้อ 3:
คำที่ลงท้ายด้วย -tion, -sion, หรือ -cian
ให้ stress พยางต์หน้า -tion, -sion, หรือ -cian
กฎข้อ 4:
คำที่ลงท้ายด้วย - ic
ให้ stress พยางต์หน้า -ic
กฎข้อ 5:
คำที่ลงท้ายด้วย - ee หรือ -oo
ให้ stress พยางค์นั้นเลย
ถ้าไม่แน่ใจว่าต้อง stress พยางค์ไหน:
ก็ไม่ต้อง stress
ฟังคำอธิบายเต็ม ๆ และการออกเสียงตามตัวอย่างในคลิปข้างล่างนี้
คลิปที่ 2:
เขาบอกว่า มันมีทั้งเรื่อง stress และไม่ stress
การ stress ก็คือออกเสียงให้มัน ดังขึ้น, ยาวขึ้น, สูงขึ้น
♦ในคำ ๆ หนึ่ง ซึ่งมีหลายพยางค์ ก็มีพยางค์ที่ stress (และพยางค์ที่ไม่ต้อง stress)
♦ในประโยค ๆ หนึ่ง ซึ่งมีหลายคำ ก็มีคำที่ stress (และคำที่ไม่ต้อง stress)
ส่วนการไม่ stress หรือ de-stress นั้น ก็ตรงกันข้าม คือ ออกเสียงเบา ๆ สั้น ๆ ต่ำ ๆ สบาย ๆ
สำหรับในประโยค ๆ หนึ่ง ซึ่งมีหลายคำนั้น จะแบ่งคำออกเป็น 2 ประเภท คือ
♦ ประเภทแรก เรียกว่า content words ก็คือคำที่แสดงเนื้อหาในประโยคนั้น
ได้แก่คำ ตั้งแต่ข้อ 1) ถึงข้อ 7)ข้างล่างนี้
♦ ประเภทที่สอง คือคำที่สักแต่ว่าทำหน้าที่ของมัน หรือ function words
คำพวกนี้ ให้ออกเสียงเบา ๆ หรือไม่ต้องออกเสียงเลย
function words ก็คือคำตามข้อ 1) ถึงข้อ 5) ข้างล่างนี้
ตามประโยคตัวอย่างข้างล่างนี้
content words ก็คือคำที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ - ให้ออกเสียงเน้น
function words ก็คือคำที่เป็นตัวพิมพ์เล็ก (สีขาว) - ให้ออกเสียงไม่เน้น
สรุปก็คือ การออกเสียงในภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น พยางค์ในคำ หรือ คำในประโยค
มันก็มีทั้งการเน้นและไม่เน้นเสียง ตามจังหวะของมัน
ฟังคำอธิบายเต็ม ๆ และการออกเสียงตามตัวอย่างในคลิปข้างล่างนี้ (+ฝึกออกเสียงตามไปด้วย)
ศึกษาเพิ่มเติม:
คลิปทัวร์ พาเที่ยวทั่วโลก ฟรี
สวัสดีครับ
ในยุคอินเทอร์เน็ตนี้ เราสามารถเที่ยวทั่วโลกแม้จะอยู่กับบ้านไม่ได้ออกไปไหน ด้วยการอ่าน, ดูภาพ, ดูภาพนิ่งเคลื่อนไหว, ดูภาพผ่านกล้อง, ฟังเสียง, และดูคลิป ยกตัวอย่างแค่ของ Google Map เว็บเดี่ยวก็มีมากจนดูได้ทั้งวันทั้งคืน
แต่ในความรู้สึกส่วนตัว ที่ผมเห็นว่าน่าดูที่สุดก็คือคลิป และเดี๋ยวนี้เนื่องด้วยเทคโนโลยีด้านคมนาคมทำให้คนทั่วโลกท่องเที่ยวกันเยอะ และเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทำให้นักท่องเที่ยวนำสิ่งที่พบเห็นจากการเที่ยวมาบอกต่อ คลิปและคำบรรยายคลิปเป็นภาษาอังกฤษ จึง เสมือนช่วยพาเราออกไปเที่ยว แม้เราจะไม่ได้ออกไปไหน
ผมขอแนะนำวิธีง่ายสุด ในการ Search หาดูคลิปสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลก โดย
- เข้าไปที่ Google https://www.google.com/ หรือ https://www.google.co.th/
- พิมพ์คำค้น ชื่อสิ่งที่ต้องการดู + ชื่อสถานที่ หรือ thing to see + place, ENTER
- คลิก Videos
- คลิก Search Tools
- คลิกเพื่อระบุลักษณะเจาะจงของคลิป เช่น duration (ความยาวของคลิป), เว็บต้นทางของคลิป (source) เป็นต้น
ในที่นี้ ผมขอขยายสักนิดเกี่ยวกับคำค้น
[1] ชื่อสิ่งที่ต้องการดู
- ถ้าเรารู้ชื่อเฉพาะของสิ่งนั้น เราก็พิมพ์ลงไปเลย เช่น niagara falls, taj mahal, leshan
- แต่ถ้าเราไม่รู้ชื่อเฉพาะ เราก็พิมพ์คำเป็นกลาง ๆ ลงไป เช่น
- ดูชีวิตความเป็นอยู่ เช่น คำว่า life, nightlife, city life, rural life
- ดูธรรมชาติ เช่นคำว่า sea, beach, island, mountain, trekking, cave, jungle, waterfall, natural park
- ดูศาสนสถาน เช่น คำว่า monastery, temple, shrine, church, mosque,
- ดูประวัติศาสตร์ เช่นคำว่า historical place, museum, war, fort, palace, tomb, statue
- ดูอื่น ๆ เช่นคำว่า fashion, shopping, festival, show, food
- คำรวม ๆ เช่น tourist attraction, tourist location, tourist destination, scenery town
- หรือถ้าอยากรู้อะไรที่แปลก ลึก หรือลับ ก็อาจจะพิมพ์คำว่า hidden, secret, unseen, forbidden, amazing
[2] ชื่อสถานที่
ถ้ารู้ชื่อโดยเจาะจงก็พิมพ์ลงไปเลย แต่ถ้าไม่รู้ ก็เพียงใส่ชื่อประเทศ หรือชื่อเมือง ก็พอ
เว็บบอกชื่อประเทศ และเมืองท่องเที่ยวในประเทศนั้น ๆ
เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ดูคลิปสิ่งที่เราอยากดู จากทุกสถานที่ทั่วโลก
ท่านจะลองทำดูตอนนี้เลยก็ได้ครับ
โดยพิมพ์: thing to see + place ตามที่ผมแนะ
- Google https://www.google.com/ หรือ https://www.google.co.th/
- Google Videos https://www.google.com/videohp
พิพัฒน์