Articles
ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน และประโยคแนะนำตัว
【1】 → รวมประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ ที่ใช้ตอบคำถามในการสัมภาษณ์งาน
【2】คำถามสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (พร้อมคำแปล)
→ https://lifestyle.campus-star.com
→ https://bestkru.com
【3】 → ประโยคภาษาอังกฤษในการแนะนำตัวขั้นพื้นฐาน ในแบบทางการและไม่เป็นทางการ
รายการสอนภาษาอังกฤษดี ๆ ฟรี ที่ YouTube
♥ ที่ลิงก์นี้ → https://www.beartai.com/lifestyle/158355 และ ลิงก์นี้
♦ มี 6 ช่อง ดังนี้ครับ, 5 ช่องแรกพูดภาษาไทย, ช่องสุดท้ายพูดภาษาอังกฤษ
【1】 Loukgolf’s English Room
【2】 English สะกิดต่อมฮา
【3】 Click : ภาษาอังกฤษ [by Mahidol]
【4】 TalkAmerican by MsLingLingOfficial
ศึกษาภาษาอังกฤษกับ LIFE - Beginner ของ National Geographic
เพิ่มเติม 9 มกราคม 2561
ผมได้ Life - National Geographic มาเพิ่มอีก 2 ชุด เป็นไฟล์ pdf-eBook และไฟล์ mp3 ที่ใช้ฟังประกอบ eBook
1. ระดับ Elementary : pdf • mp3
ผมได้ไฟล์ exe ของ National Geographic มาชุดหนึ่ง เรื่อง LIFE เป็นระดับ Beginner มีทั้งหมด 12 Unit เมื่อเข้าไปแล้วให้คลิกไฟล์ LifeBeg.exe หน้าตาเป็นอย่างนี้ครับ (คลิกที่ภาพ เพื่อขยายให้เห็นชัด)
ผมดูแล้วเห็นว่า เป็นไฟล์ที่รวมเนื้อเรื่องของธรรมชาติ, วิทยาศาสตร์ และสังคม ไว้ได้อย่างหลากหลายและน่าสนใจ ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษไม่น่าเบื่อแถมยังสนุกอีกต่างหาก แต่ผมก็ยังกังวลอีกนิดหน่อยในการที่คุณครูจะนำไปสอน โดยเริ่มตั้งแต่การคลิกใช้งาน ถ้าไม่คุ้นเคยก็ต้องยอมให้เวลากับการศึกษาการใช้งานพักใหญ่ และตามด้วยการประยุกต์เนื้อหาให้เข้ากับบทเรียน อันนี้ก็คงต้องออกแรงเตรียมบทเรียนมากอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับท่านที่ใช้ไฟล์ชุดนี้เพื่อการศึกษาด้วยตัวเอง ผมเห็นว่าน่าสนุกทีเดียวครับ เพราะจะได้ฝึกทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน-ศัพท์-แกรมมาร์ ระดับง่าย ๆ พร้อมกับได้รับความรู้ที่น่าสนใจไปพร้อม ๆ กัน
→ คลิกดาวน์โหลด
ขนาดใหญ่หน่อยนะครับ 488 MB
ให้ของขวัญแก่ตัวเองในปีใหม่ 2561
สวัสดีปีใหม่ 2561 ครับ
ปี 2560 ที่ผ่านมา เว็บ e4thai.com ได้หาสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมาฝากท่านผู้อ่านมากพอสมควร พอขึ้นปีใหม่นี้ ผมมาประเมินตัวเองว่าได้ทำหน้าที่ดีมากน้อยเพียงใดในฐานะ Webmaster ก็ได้คำตอบว่า ถ้าเป็นครูผมก็คงเป็นครูที่สอนแย่มาก หรือแทบไม่ได้สอนอะไรเลย เพราะผมได้แต่ไปหา eBook, บทความ หรือคำอธิบาย-คำแปลที่เป็นภาษาไทยจากเว็บอื่นที่ผมเห็นว่าเข้าท่า มาฝากท่านผู้อ่าน ส่วนตัวผมเองแทบไม่เคยอธิบายอะไรเป็นภาษาไทยเลย ผมจึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณท่านผู้เขียนบทความหรือให้คำอธิบายเป็นภาษาไทย ที่ผมดึงมาแปะไว้ที่เว็บนี้
สิ่งที่ผมนำมาฝากส่วนใหญ่จะเป็นเว็บ, ลิงก์, eBook, โปรแกรม, ไฟล์เสียง, คลิป, audiobook ที่เป็นภาษาอังกฤษ ผมถามตัวเองว่า สื่อการเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษพวกนี้ ถ้าไม่แปลหรืออธิบายเป็นภาษาไทย คนที่พื้นภาษาอังกฤษอ่อน จะอ่านรู้เรื่องหรือฟังรู้เรื่องรึ? ถ้าไม่รู้เรื่อง ของที่ฝากไว้ในเว็บนี้ก็เป็นประโยชน์เฉพาะต่อคนที่พื้นดี อ่านรู้เรื่อง-ฟังรู้เรื่อง ส่วนคนที่อ่านไม่รู้เรื่องผมไม่สนใจเลยรึ? หรือเว็บ e4thai ดูแลเฉพาะคนเก่ง ส่วนคนไม่เก่งก็หาทางทำความเข้าใจกันเอาเอง อย่างนั้นรึ?
คำตอบของผมก็คือ ไม่ใช่ครับ ผมทำเว็บ e4thai เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้ามาฝึกภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งหรือไม่เก่ง อ่าน-ฟังภาษาอังกฤษ ได้ดี-ได้ปานกลาง-ไม่ได้เลย เว็บ e4thai มีไว้เพื่อให้ทุกคนครับ
อ้าว! ถ้าอย่างนั้นทำไมผมแทบไม่เคยอธิบายเป็นภาษาไทยไว้ในเว็บนี้เลย ได้แต่ไปหาคำอธิบายหรือคำแปลจากที่อื่นมาแปะไว้ที่นี่?
ผมทำอย่างนี้ก็เพราะผมมีความเชื่อว่า การเข้าใจผ่านภาษาแม่ของตัวเอง(คือภาษาไทย)แม้ช่วยให้คนเรียนเข้าใจ แต่ก็ไม่ช่วยให้คนเก่ง คนที่จะเรียนภาษาอื่น(ภาษาอังกฤษ)ได้เก่ง จะต้องไม่พึ่งการแปล จะต้องฝึกอ่านและฟังเป็นภาษาอังกฤษ, เข้าใจเป็นภาษาอังกฤษ, งงเป็นภาษาอังกฤษ, รู้เรื่องเป็นภาษาอังกฤษ โดยไม่ต้องมีคำแปลไทยเข้ามาเกี่ยวข้อง
และวันนี้ผมขอพูดเกี่ยวกับการฝึกอ่านภาษาอังกฤษ หรือ Reading
ผมเดาว่า แทบทุกท่านคงเคยได้ยินคุณครูหรือผู้รู้แนะว่า เมื่อจะพูดภาษาอังกฤษ อย่าคิดเป็นภาษาไทย ให้คิดเป็นภาษาอังกฤษไปเลย เพราะถ้ายังคิดเป็นภาษาไทยและแปลกลับไปกลับมาระหว่างไทยกับอังกฤษ มันจะช้า, ไม่ทันกิน, และจะพูดอังกฤษอย่างไม่เป็นธรรมชาติ หรือถ้าต้องแปลเป็นภาษาไทยก็แปลให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น
คำแนะนำอย่างนี้ผู้เรียนจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้ฝึกให้ตัวเองถูกย้อมด้วยภาษาอังกฤษเยอะ ๆ คือ ฟังภาษาอังกฤษเยอะ ๆ, อ่านภาษาอังกฤษเยอะ ๆ, ฝึกอ่านออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษ, ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับคนอื่น, แต่ถ้าไม่มีคนอื่นให้ฝึกพูดด้วยหรือมีน้อยมาก ก็ต้องฝึกพูดกับตัวเองหรือพูดคนเดียว ถ้าฝึกอย่างนี้เยอะ ๆ บ่อย ๆ ภาษาอังกฤษก็จะเข้าไส้ ไหลซึมเข้าสมอง และเมื่อจะพูดภาษาอังกฤษ ก็จะง่ายที่จะไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทยขณะที่พูดภาษาอังกฤษ
นั่นคือเรื่องของการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ส่วนการฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ก็ทำนองเดียวกัน คือตอนที่เราอ่านภาษาอังกฤษ ถ้าจะให้อ่านได้ดี อ่านได้เร็ว อ่านได้รู้เรื่องเป็นธรรมชาติ เราควรจะรู้เรื่องเป็นภาษาอังกฤษไปเลย โดยไม่ต้องมีคำแปลไทยแทรกอยู่ในสมองขณะที่เข้าใจเนื้อหา หรือถ้ามีก็เฉพาะบางคำที่จำเป็นต้องแปล แต่ส่วนใหญ่ให้ความเข้าใจไหลเป็นภาษาอังกฤษไปเลย หลังจากนี้เมื่อจะนำเนื้อหามาพูดต่อเป็นภาษาไทย มันก็จะทำได้เอง
แล้วจะฝึกยังไงให้สามารถทำอย่างนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาษาอังกฤษอ่อนแอมาเนิ่นนานแล้ว จะฝึกอ่านโดยไม่พึ่งคำแปลไทย มันจะเป็นไปได้ยังไง?
ท่านผู้อ่านครับ เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ไม่ว่า reading skill ของท่าน ณ นาทีนี้จะสูงต่ำปานใด ถ้าท่านมีเป้าหมายของชีวิตว่า ต้องสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้รู้เรื่องเหมือนอ่านภาษาไทย มันจะถึงเป้าหมาย 100 % ในอีกกี่เดือน กี่ปีข้างหน้าก็ช่างเถอะ แต่ถ้านี่คือเป้าหมายของท่าน ท่านก็ต้องฝึกไม่หยุด เพราะว่าในที่สุด Practice จะ makes perfect. และขณะที่ยังไม่ถึงที่สุด ถ้ายังไม่หยุดฝึก Practice ก็จะ makes progress.
ผมดูแล้ว คำแนะนำในการฝึก reading นี่มันง่ายมาก ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย คือฝึกอ่านทุกวัน ไม่เว้น ไม่ว่าจะมีเวลาหรือไม่มีเวลา, มีอารมณ์จะอ่านหรือไม่มีอารมณ์, จะอ่านรู้เรื่องมาก-รู้เรื่องน้อย-หรือไม่รู้เรื่องเลย, มีเรื่องดี ๆ ให้อ่านหรือถ้าไม่มีก็ต้องหาอะไรสักอย่างมาฝึกอ่านผ่านตาให้ได้ คำแนะนำมีง่าย ๆ สั้น ๆ แค่นี้แหละครับ และฝึกอ่านเรื่อยไปไม่หยุดด้วยความอึด reading skill ของเราก็จะ progress ทุกวัน จนในที่สุดก็จะ perfect ใช้งานได้เหมาะมือเหมาะใจ
แต่ถ้าท่านต้องการคำแนะนำเป็นข้อ ๆ ให้ดูเป็นวิชาการหน่อย ผมก็ขอเสนอข้างล่างนี้ครับ
[1] เลือกเรื่องที่จะฝึกอ่านที่ท่านชอบใจ พอใจ ยาก-ง่ายพอฟัดพอเหวี่ยงกับท่าน แต่อันนี้ท่านต้องลงทุนหาเองครับ
→ คลิกดูที่นี่
[2] ถ้าอ่านผ่านคอมฯ ผมขอเสนอตัวช่วย คือ
→ add-on "English dictionary translate pronunciation"
ซึ่งเป็นดิกอังกฤษ-อังกฤษ Longman ควบคู่กับดิกอังกฤษ-ไทย Google เรื่องนี้ผมขอชี้แจงว่า ถ้าจะใช้ดิกให้ได้ผล เราจำเป็นต้องพึ่งดิกอังกฤษ-อังกฤษ เพราะว่าดิกอังกฤษ-ไทยต่อให้ดีขนาดไหนประสิทธิภาพมันก็มีจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องศัพท์: จะมีน้อย, ความหมายใหม่ ๆ ที่เพิ่งเกิด, ความหมายที่เป็น informal, idiom, phrasal verb, slang, technicl term ฯลฯ ความหมายพวกนี้ใช้ดิกอังกฤษ-ไทย ไม่พอหรอกครับ และอีกอย่างหนึ่ง คำแปลภาษาไทยสั้น ๆ ในดิกอังกฤษ-ไทย นั้น บ่อยครั้งที่มันไม่พอ ถ้าจะให้เข้าใจถูกต้องจริง ๆ เราควรอ่าน definition ที่เป็นภาษาอังกฤษ ที่ดิกอังกฤษ-อังกฤษ
และดิก add-on ตัวนี้ยังใช้สะดวกตรงที่ว่า แค่คลิกครั้งเดียว definition + คำแปล ก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นทันที
[3] ยังมีความยากลำบากอีกอย่างหนึ่งในการอ่านภาษาอังกฤษ คือเรื่องของแกรมมาร์หรือโครงสร้างของประโยค อย่างเช่น เราไปเจอประโยค I love you. เมื่อแปลหรืออ่านให้เข้าใจมันก็ง่าย เพราะมันไหลไปเลยไม่ต้องสลับที่ เป็น: ฉัน → รัก → คุณ แต่ว่าประโยคภาษาอังกฤษมากมายมันซับซ้อนกว่านี้ ทำให้ต้องรู้ไวยากรณ์ของเขาจึงจะอ่านภาษาของเขารู้เรื่อง ผมได้รวบรวมเฉพาะไวยากรณ์ที่ต้องรู้จริง ๆ เพื่อจะได้อ่านภาษาอังกฤษรู้เรื่อง
→ คลิกดู 1
→ คลิกดู 2
การรู้แกรมมาร์โดยอ่านตำรานี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ที่ดีกว่านี้ก็คือ การได้อ่านเนื้อหาภาษาอังกฤษโดยตรง โดยเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ที่เราพอเข้าใจได้ และขยับยากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และการนำคำศัพท์หลาย ๆ คำมาผูกเป็นประโยค สิ่งที่เราซึมซับจากการอ่านนี้ก็คือแกรมมาร์ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้เรา "แน่น" มากกว่าอ่านทฤษฎีแกรมมาร์จากตำราเสียอีก
บทความในวันนี้ ผมไม่ได้พูดอะไรใหม่เลย ทุกอย่างผมเคยพูดแล้วในหลายบทความซึ่งเขียนไว้แล้วในปีที่แล้วหรือปีก่อน ๆ ท่านผู้อ่านเชื่อผมได้เลยครับว่า ในการฝึก reading skill นี้ คำแนะนำที่คุณครูให้นั้น อย่างมากก็แค่ 1% แต่อีก 99 % เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องฝึกเอาเอง และการฝึกนี้หมายถึงการแก้ปัญหาให้ตัวเองด้วย เมื่อเราอ่านภาษาอังกฤษแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ งง ถ้ามีใครมาตอบคำถามหรือแก้ปัญหาให้เราทันที สมองเราจะไม่ได้พัฒนา เปรียบไปแล้วก็เหมือนเด็กที่หัดเดิน ถ้าทุกครั้งที่เด็กล้มและพ่อแม่เข้าไปพยุงหรืออุ้ม เด็กก็คงเดินไม่ได้เพราะไม่เคยเรียนรู้ที่จะเดินไม่ให้ล้ม หรือเรียนรู้ที่จะลุกเมื่อล้ม
ผมคิดว่าเป็นการดีถ้าเราตั้งเป้าว่า ปีใหม่ 2561 นี้จะเป็นปีแห่งการฝึก English reading skill ให้แข็งแรง โดยการฝึกอ่านอย่างจริงจัง, ฝึกอ่านทุกวัน อย่างตั้งใจและมีสมาธิ นี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่เราเท่านั้นสามารถมอบให้แก่ตัวเอง คนอื่น ๆ แม้รักเราเพียงใดก็ไม่สามารถมอบให้ได้
พิพัฒน์
www.facebook.com/en4th