ตั้งเป้าหมายในการอ่าน Bangkok Post ให้รู้เรื่องเหมือนอ่าน นสพ.ภาษาไทย
สวัสดีครับ
คงจะดีไม่น้อยเลยถ้าเราสามารถอ่าน Bangkok Post นสพ.ภาษาอังกฤษชื่อดังที่สุดที่ตีพิมพ์ในเมืองไทย ได้รู้เรื่องเหมือนอ่าน นสพ.ภาษาไทย ต่อไปนี้เป็นประโยชน์เพียงบางข้อจากการอ่าน Bangkok Post ที่ขอยกเป็นตัวอย่าง
[1] การอ่าน Bangkok Post จะทำให้เราได้ติดตามข่าวและความเห็นจาก นสพ. ฉบับนี้ที่มีผู้อ่านมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย, ชอบหรือไม่ชอบเนื้อข่าวและความเห็นก็ตาม แต่ข่าวในประเทศและข่าวต่างประเทศที่ Search จากเว็บ Bangkok Post ก็เป็นเนื้อหาที่ท่านหยิบมาอ่านได้ง่าย ๆ เมื่อจะหาอะไรไว้คุยกับแขกต่างชาติที่มาจากประเทศนั้น ๆ หรือจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในเมืองไทยก็ได้ เพราะ Bangkok Post ก็เป็น นสพ.ที่ชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยอ่านเมื่อต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองไทย
[2] ภาษาอังกฤษในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post เป็นภาษามาตรฐาน ใช้ในการศึกษาได้ และขอบอกว่า ถ้าท่านฝึกอ่านจนคุ้นเคยเข้าใจในศัพท์และสำนวนข่าวใน นสพ.ฉบับนี้ ท่านจะไปอ่านภาษาอังกฤษที่ไหนก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก พูดง่าย ๆ ก็คือ ท่านสามารถใช้ความยากของเนื้อหา นสพ.Bangkok Post เป็นตัวชี้วัดระดับของ reading skill ที่เพียงพอต่อการใช้งาน
ก่อนที่จะแนะนำวิธีฝึกอ่าน นสพ. Bangkok Post ให้รู้เรื่องเหมือนอ่าน นสพ.ภาษาไทย ผมขออนุญาตเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักนิดนะครับ เป็นประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับการฝึกอ่าน นสพ.ฉบับนี้ ซึ่งเมื่อมองย้อนหลังแล้วก็เป็นว่า วิธีที่ผมใช้ฝึกมันยากเกินไป และสมัยนี้ก็มีวิธีฝึกที่ง่ายกว่าเยอะ
เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ตอนผมเข้าเรียนปี 1 ที่ธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์ เอกหนังสือพิมพ์ ผมบอกตัวเองว่าก่อนขึ้นปี 2 จะต้องอ่าน Bangkok Post ให้รู้เรื่องเหมือนอ่านไทยรัฐให้ได้ ฉะนั้นแทบทุกวัน เมื่อกลับถึงที่พักผมจะนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ เอาเชือกผูกเอวตัวเองไว้กับพนักเก้าอี้ และอ่านให้จบอย่างน้อย 1 หน้าก่อนลุกไปไหน ถ้าจะลุกก่อนจบก็ต้องเอาเก้าอี้ไปด้วย เนื้อหาใน 1 หน้าที่อ่านนี้ บางข่าวก็รู้เรื่องมาก บางข่าวก็รู้เรื่องน้อย บางข่าวก็ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็ทนอ่านเพราะสัญญากับตัวเองไว้แล้ว
ผมทำอย่างนี้จนเรียนจบปี 1 ผลปรากฏว่าก็ยังไม่สามารถบันดาลให้ Bangkok Post กลายเป็นไทยรัฐไปได้ แต่ว่า.... แม้จะไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับวันแรกที่เริ่มอ่าน ก็สามารถพูดได้ว่า มันรู้เรื่องมากขึ้นเยอะ นับว่าเป็นการลงทุนฝึกที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
และหลังจากครบสัญญา 1 ปี ผมก็ยังอ่านต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ จนสามารถอ่าน Bangkok Post ได้รู้เรื่องเป็นส่วนใหญ่แม้ไม่รู้ศัพท์ทุกคำแต่ก็ไม่ต้องเปิดดิกเว้นแต่เจอคำที่จำเป็นจริง ๆ การที่อ่าน Bangkok Post ได้เข้าใจทำให้เห็นว่า พอไปอ่านเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวอื่น ๆ เช่น BBC, CNN หรือบทความ, นิทาน, นิยาย ภาษาอังกฤษในที่อื่นมันก็ยากพอ ๆ กันนี่แหละ ไม่ได้ยากไปกว่านี้สักเท่าไหร่ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าอ่าน Bangkok Post เข้าใจ ก็อ่านอย่างอื่นได้ทั้งนั้น
และต่อไปนี้คือประสบการณ์จากการลองผิดลองถูกในการฝึกอ่าน ในสมัยโน้นซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยเหมือนสมัยนี้ ผมขอว่าไปทีละข้อตามที่นึกออก ดังนี้ครับ
[1] เรื่องคำศัพท์ ขอพูดรวม ๆ ก่อนนะครับว่า แม้เราจะรู้สึกว่าต้องรู้ศัพท์เยอะถึงจะอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับรู้เรื่อง แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่กี่พันคำหรอกครับ ท่านดูหนังสือพิมพ์ไทย เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ ที่ท่านอ่านก็ได้ มันก็ศัพท์เดิม ๆ ทั้งนั้นที่เราอ่าน เพราะฉะนั้น ถ้าเราตั้งใจสังเกตและจดจำแต่ละความหมายใหม่ที่เราเจอ พอเราเจออีกครั้ง มันก็ไอ้ความหมายเดิมศัพท์ตัวเดิมนั่นแหละ ถ้าใส่ใจจำไปทีละคำสองคำ มันก็จะจำเพิ่มได้เองเรื่อย ๆ มันไม่ได้มากเป็นภูเขาเลากาอย่างที่คิด แต่ว่า (เป็นแต่ที่สำคัญ) ต้องขยันจำทีละคำ ๆ ไปเรื่อย ๆ
[2] จะเป็นการดีมาก ๆ ถ้าเรามีสมุดจดศัพท์เล็ก ๆ ติดตัว ติดกระเป๋าไว้ และถ้าไม่มีเวลา หรือไม่มีอารมณ์ ก็ไม่จำเป็นต้องจดแบบ complete ก็ได้ อาจจะจดเพียงคำศัพท์และคำแปลสั้น ๆ แต่ถ้าช่วงไหนมีเวลาหรืออารมณ์อันวิจิตร จะจดแบบละเมียดละไมก็ทำได้ตามอัธยาศัย พูดง่าย ๆ ก็คือ จดเรื่อย ๆ และพลิกขึ้นมาดูเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องหนักใจเพราะภาระในการจด แต่ก็อย่าเพิกเฉยไม่นำพาหยิบขึ้นมาดู
[3] ต้องอ่านข่าวทุกวัน นี่ดูเหมือนเป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะบางทีเราก็มีเรื่องอะไรเยอะแยะให้ทำ ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องการฝึกอ่านข่าวอย่างเดียว เรื่องนี้ ผมขอแนะนำเทคนิคการฝึกอย่างนี้ครับ ให้ท่านสัญญากับตัวเองว่า จะต้องให้เวลากับการอ่านข่าววันละอย่างน้อย 30 นาที วิธีปฏิบัติจริงท่านจะทำอย่างนี้ก็ได้ คือ ท่านซื้อ นสพ.Bangkok Post มา 1 ฉบับ, ดึงหน้าคู่ที่ท่านคิดว่าจะฝึกอ่านออกมาสัก 2 คู่, และพับเล็ก ๆ ใส่กระเป๋าถือไว้, และระหว่างวันที่ทำงาน หรือตอนค่ำ หรือตอนกลางคืน ท่านอาจจะเจียดเวลาออกมาสัก 10 นาทีจากงานอื่น สมมุติว่าได้สัก 3 ช่วง ๆ ละ 10 นาที ก็ครบ 30 นาที และในแต่ละ 10 นาทีนี้ ท่านก็หลบมุมปลีกวิเวก, ดึงหน้า Bangkok Post ออกมาคลี่อ่าน, ขอให้อ่านด้วยสมองที่มีสมาธิ 100 % เหมือนกับนั่งอยู่คนเดียวในโลก และทุ่มความสนใจทั้งหมดให้กับสิ่งที่อ่าน, มันจะอ่านรู้เรื่องมาก – รู้เรื่องน้อย – หรือไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ตั้งใจอ่านสุด ๆ, พอหมดเวลาก็เลิก, และในเวลาอีก 10 นาทีต่อมาที่เจียดได้, ก็ทำอย่างเดิมต่อจากที่ค้างไว้, ทำอย่างนี้ให้ได้วันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย, วันรุ่งขึ้นก็ทำต่อจากที่ค้างไว้
ท่านไม่ต้องสนใจปริมาณของความเข้าใจที่ท่านได้รับจากการอ่าน, ขอเพียงปริมาณของสมาธิที่ท่านให้แก่การอ่านนั้นเต็มที่ก็ถือว่าใช้ได้, พอหมดเวลาก็ไม่ต้องสนใจ, พอเริ่มอ่านใหม่ก็ค่อยทุ่มใจให้ใหม่, Bangkok Post ฉบับเดียวที่เสียเงิน 30 บาทซื้อมานี้ ท่านอาจจะอ่านสัก 1 เดือนก็ได้ หรือท่านจะอ่านผ่านเน็ตก็ได้ แต่สิ่งที่ขอเน้นในข้อนี้ก็คือ (1)ต้องอ่านทุกวัน (2)ทุกวันต้องอ่านให้ได้อย่างน้อย 30 นาที (3)ทุกวินาทีที่อ่านต้องใช้สมาธิเต็ม 100 % ถ้าท่านฝึกได้อย่างนี้ ก็ถือว่าใช้ได้
[4] การจะอ่าน Bangkok Post ให้รู้เรื่อง ต้องรู้ทั้งโครงสร้างประโยค(แกรมมาร์) และคำศัพท์ เกี่ยวกับโครงสร้างประโยคหรือแกรมมาร์นี้ ผมมี 2 เรื่องที่อยากจะแนะ คือ เรื่องการจับข้อความที่อ่านเป็นกลุ่ม ๆ และเรื่อง “ที่-ซึ่ง-อัน” ซึ่งผมเขียนแนะไว้ใน 2 บทความนี้
- เทคนิคการอ่าน นสพ.ฝรั่งให้รู้เรื่อง
- วิธีอ่านภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง โดยไม่งงกับ “ที่, ซึ่ง, อัน” ในประโยค
[5] ส่วนเรื่องศัพท์และสำนวนข่าว นั้น ขอเรียนว่า ทุกวันนี้ Bangkok Post มีหน้า Bangkok Post Learning ซึ่งช่วยให้การฝึกอ่านข่าวง่ายกว่าสมัยที่ผมฝึกเยอะทีเดียว แต่ท่านต้องเรียนผ่านเน็ต ดังนี้
♥Bangkok Post จะแบ่งข่าวจากง่ายไปยาก ออกเป็น 3 ระดับ คือ really easy news , easy news ,และ learning from news ขอให้ท่านเลือกอ่านระดับที่เหมาะสมกับท่าน (หรือง่ายที่สุด จะเริ่มอ่านที่ really easy news ก็ได้) โดยข่าวในแต่ละระดับนั้น จะมีความหมายและคำแปลศัพท์สำคัญ (เป็นตัวดำ)ให้ไว้ และมีเสียง mp3 ให้คลิกฟังด้วย
♥ผมขอแนะนำว่า แม้คำศัพท์สำคัญในข่าว จะมีความหมายภาษาอังกฤษและคำแปลภาษาไทยให้ไว้ ก็ขอให้ท่านอ่านเพื่อทำความเข้าใจ, เดาความหมาย และตีความด้วยตัวเอง ก่อนที่จะนำเมาส์วางบนคำศัพท์เพื่อดูคำแปล การอาศัยตัวช่วยก่อนที่จะช่วยตัวเอง จะทำให้ท่านพลาดโอกาสในการฝึกเดาและตีความ ซึ่งเป็นทักษะที่ท่านจำเป็นต้องสร้างให้มีติดตัว
[6] ผมขอพูดเรื่องการใช้ดิกสัก 2 ข้อนะครับ
♥ข้อที่ 1 – ก่อนเปิดดิก ควรพยายามเดาความหมายของคำนั้นเสียก่อน โดยในการเดามี 2 step คือ step 1) มองให้ออกว่า คำศัพท์ที่เรากำลังสงสัยนี้ เป็น noun, verb, adjective, adverb หรือเป็นคำอะไรกันแน่ คำบางคำเป็นได้หลายอย่าง เช่น light เป็นได้ทั้ง noun, verb, adjective, และ adverb และ step 2) เมื่อดูถ้อยคำแวดล้อมแล้ว ก็ให้พยายามเดาว่า มันแปลว่าอะไร เพราะมันอาจจะแปลได้หลายอย่าง และแม้ว่าจะเลือกความหมายหรือคำแปลที่ถูกต้องได้แล้ว ก็ยังต้องตีความให้เข้ากับเนื้อหาที่อ่านอีกด้วย
♥ข้อที่ 2 – ภาษาอังกฤษนั้นมีการสร้างคำใหม่และความหมายใหม่ตลอดเวลา และปัญหาที่พบบ่อยก็คือ ดิก อังกฤษ – ไทย นั้น มีคำและความหมายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศัพท์และความหมายใหม่ในข่าวนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก และในเรื่องนี้ ดิก อังกฤษ – อังกฤษ เช่น ของ Oxford หรือ Cambridge ดีกว่าดิกไทยเยอะ การพึ่งแต่ดิกไทยอาจเพี้ยนได้โดยไม่รู้ตัว
มีรายงานข่าวที่ชวนให้รู้สึกหดหู่ว่า คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ แม้แต่ภาษาไทยก็ไม่อ่าน การที่ผมชวนให้คนไทยฝึกอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งอ่านยากกว่าภาษาไทย ผมไม่รู้เลยว่า จะมีสักกี่คนที่รับคำชวน แต่ใครจะพูดยังไงช่างเถอะ ผมเชื่อว่า ทุกคนทำได้ และท่านก็ทำได้ ถ้าท่านได้ทำ และไม่หยุดทำ
พิพัฒน์