อาหารอร่อย ๆ เต็มโต๊ะเลือกกินไม่ถูก? vs eBook ดี ๆ เต็มดิสก์เลือกอ่านไม่ถูก?
สวัสดีครับ
บ่อยครั้งที่ผมได้ยินหลายท่านพูดว่า ได้ดาวน์โหลด eBook ดี ๆ ไว้มากมายจนเต็ม hard disk มันเยอะจัดจนไม่รู้จะอ่านเล่มไหน?
ผมอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงคำพูดคล้าย ๆ กัน คือ มีอาหารอร่อย ๆ เต็มโต๊ะ มันมากจนเลือกกินไม่ถูก และก็สงสัยว่า สองปัญหานี้มันทำนองเดียวกันหรือเปล่า เมื่อตรองสักครู่ก็ได้ข้อสรุปว่า มันต่างกันแทบจะโดยสิ้นเชิง !!
คนที่บอกว่า อาหารเต็มโต๊ะจนเลือกกินไม่ถูกนั้น แต่ในที่สุดเขาก็กิน โดยอาจจะกินของอร่อยที่เขาชอบมากกี่สุดก่อนเป็นคำแรก จากนั้นก็สลับกินอย่างนั้นคำอย่างนี้คำ กินไปเรื่อย ๆ จนอิ่ม อาจจะอิ่มเกินพิกัดด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น อาหารมากเกินไปไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะเขารู้สึกอร่อยมีความสุขที่จะกิน ชอบกิน และขยันกินโดยไม่ต้องมีใครบังคับ กินได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องทนกิน
แต่คนที่บอกว่า มี eBook เต็ม hard disk จนเลือกอ่านไม่ถูกนั้น หลายคนที่ลงท้ายด้วยการไม่อ่านเล่มไหนเลย ไม่อ่านแม้แต่เล่มที่ชอบมากที่สุดหรือเกลียดน้อยที่สุด ที่เขาลงท้ายอย่างนี้ก็เพราะว่า เขาไม่ได้มีความชอบอยากอ่านเป็นพื้นฐาน เพราะฉะนั้น แม้จะมี eBook ดี ๆ เยอะแยะ แต่ก็แค่ดูหน้าปกหรือคลิกเข้าไปดูนิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าจะอ่านก็ต้องพยายามหรือทนอ่าน ขันติหรือวิริยะไม่ได้เกิดขึ้นชนิด automatic เพราะไม่ได้มีความรักหรือฉันทะนำหน้า
เรื่อง อาหารและ eBook นี้จึงสรุปได้ว่า แม้จะเป็นของดีและมีเยอะทั้งคู่ แต่อย่างแรกเราวิ่งเข้าใส่ อย่างหลังเราวิ่งหนี เป็นอย่างนี้เพราะเรามีใจให้มันหรือเปล่า ?
และถ้ามองให้ลึกลงไปอีกนิดก็จะเห็นว่า ถ้าใช้ความอยากหรือความอร่อยเป็นตัวตั้ง การกระทำที่เกิดขึ้นก็มักจะผิดเพี้ยนไม่มากก็น้อย เช่น เมื่ออยากกิน ก็อาจจะกินเนื้อสัตว์มากเกินไป กินไขมันมากเกินไป กินหวานมากเกินไป กินเค็มมากเกินไป กินอาหารขยะมากเกินไป กินผักน้อยเกินไป กินพวกไฟเบอร์น้อยเกินไป โดยไม่ประเมินให้ดีว่า ร่างกายของเราตอนนี้ ควรจะกินอะไร เท่าไร ให้มันพอดี
การ “กิน” eBook ก็เช่นกัน ถ้าเอาความอยากกินเป็นที่ตั้ง ก็จะเกิดอาการผิดเพี้ยนในทำนองเดียวกัน คือ ไปอ่านเยอะเรื่องที่ควรอ่านน้อย ๆ หรือไปอ่านน้อยเรื่องที่ควรอ่านเยอะ ๆ
ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ สำหรับท่านที่เรียนจบและได้งานทำแล้ว และงานบังคับให้ท่านต้องใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งท่านรู้สึกว่าท่านขาดแคลนและจำเป็นต้องฟิตให้เพิ่มพูน
และท่านก็มี eBook มากมายอยู่ใน hard disk แต่ก็ไม่รู้ว่า เล่มไหนควรอ่านมาก? เล่มไหนควรอ่านน้อย? เล่มไหนไม่ต้องไปแตะมันเลยก็ได้?
การวางแผนเพื่อฟิตภาษาอังกฤษฟื้นฟูตัวเอง โดยใช้ eBook มากมายที่เก็บไว้ในสต็อก เป็นเรื่องที่พูดได้ยาว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มาก ๆ แต่ผมขอพูดแบบสั้นที่สุดแล้วกันครับ
❶ ท่านต้องตอบให้ได้ว่า ใน 4 ทักษะ คือ สนทนา(ฟัง+พูด), อ่าน, และเขียน ทักษะไหนจำเป็นต่อท่านมากที่สุด ถ้าจำเป็นทุกอย่าง อะไรจำเป็นมาก อะไรจำเป็นน้อย ขนาดไหน มองตรงนี้ให้ชัดก่อน
❷ เนื้อหาที่จะใช้ฝึกตามข้อ ❶นั้น มีอะไรบ้างที่เป็นเนื้อหาทั่ว ๆ ไป เช่น บทสนทนาทั่ว ๆ ไป, การอ่านจับใจความทั่ว ๆ ไป และมีเนื้อหาอะไรบ้างที่เจาะจง เช่น ศัพท์เทคนิคหรือวลี ที่ใช้ในการพูดหรือเขียนติดต่อในแวดวงการงานของท่าน
❸ ข้อนี้สำคัญมาก คือ eBook มากมายที่ท่านดาวน์โหลดไว้นั้น บางเล่มอาจจะมีเนื้อหาที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ตามข้อ ❷ แต่กระนั้น อาจจะมีวัตถุประสงค์ของท่านบางข้อที่ไม่มี eBook เล่มใดเลยให้คำตอบได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ท่านก็ต้องไปหา eBook เล่มอื่น ๆ มาให้คำตอบ ข้อ ❸ นี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก บางทีใน office ของท่านอาจจะต้องช่วยกันระดมสมองคิด หรืออาจจะต้องแต่งตำรารวบรวม technical terms, หรือ ช่วยกันแต่งประโยคที่ใช้บ่อยขึ้นมาเองต่างหาก งานนี้อาจจะทำคนเดียวไม่สำเร็จ ต้องช่วยกันทำทั้งสำนักงาน
❹ หลังจากที่ได้เนื้อหามาครบถ้วนแล้ว ก็เริ่มลงมือฟิตศึกษา โดยอาจจะต่างคนต่างศึกษา หรือนัดแนะศึกษาร่วมกันกับเพื่อนในสำนักงาน
ท่านผู้อ่านครับ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ท่านจะเห็นได้ว่า ในการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หรือช่วยกันศึกษา แค่วัสดุ หรือ eBook อย่างเดียวไม่พอครับ มันต้องอาศัย ฉันทะ – วิริยะ – จิตตะ – วิมังสา ครบทั้งสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมังสา คือการวางแผนมองให้รอบด้าน เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่น้อยกว่าเรื่องอื่น
เหมือนมีอาหารเต็มโต๊ะนั่นแหละครับ นอกจากอยากกินแล้ว ยังต้องกินให้ถูกต้องอีกด้วย คือรู้ว่า กินอะไรก่อน-หลัง, กินอะไรมาก-น้อย, อาหารอะไรมีแล้ว-อาหารอะไรยังไม่มีต้องไปหามาเพิ่ม, อาหารอะไรต่างคนต่างกิน – อาหารอะไรควรกินพร้อมหน้าพร้อมตากัน กินไปคุยไป
ท่านคงเห็นภาพรวมทั้งหมดของการฝึกนะครับ คือ eBook นั้นมีประโยชน์ แต่เราไม่ควรพึ่ง eBook อย่างเดียวจนลืมมองอย่างอื่นให้รอบด้าน