Articles
ฝึกภาษาอังกฤษด้วยหัวใจ สมอง และสายตา ที่แจ่มใส
สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านครับ จากการที่ผมเป็น blogger และ webmaster มาหลายปี มีหลายคำถามที่คนเขียนมาให้ตอบ แต่มีอยู่หนึ่งคำถามที่ดูเหมือนตอบง่าย แต่จริง ๆ แล้วตอบยาก หรือตอบไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือเมื่อคิดดูอีกทีอาจจะไม่ต้องตอบ เพราะคนที่จะตอบได้ชัดเจนที่สุดก็คือคนที่ถามคำถามนั้นแหละ คำถามมักจะออกมาลักษณะนี้
.... เรียนจบมาหลายปีแล้ว แต่ภาษาอังกฤษอ่อน อยากจะฟิตภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน จะท่องศัพท์หรือฟิตแกรมมาร์ก่อน หรือฝึกพูดฝึกฟังก่อน มี eBook - มีเว็บ - มีแอปป์ให้เรียนมากมายจนเลือกไม่ถูก แต่เรียนไปพักใหญ่แล้วก็ไม่เห็นผลดีขึ้นสักเท่าไหร่ พูดก็ไม่ได้ ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง อ่านก็เข้าใจลำบาก น่าจะหมดหวังซะแล้ว ฯลฯ ....
ถ้าท่านเป็นผมและเจอคำถามทำนองนี้ ท่านจะตอบยังไง?
ถ้าไม่คิดมาก คำถามอย่างนี้ตอบได้ง่ายมาก ท่านเช็กง่าย ๆ อย่างนี้แล้วกันครับ ลองถามกูเกิ้ลด้วยคำว่า "วิธีฝึกภาษาอังกฤษ" จะมีคำตอบเป็นตัน ๆ ให้ท่านอ่าน → คลิกดู ท่านลองเข้าไปอ่านสัก 2 - 3 ลิงก์ก็ได้ครับ และก็จะเห็นว่า เออ! เขาตอบเข้าท่าแฮะ แต่ท่านลองถามตัวเองก่อนว่า ท่านอยากทำหรือเคยลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ มากน้อยเพียงใด และถ้าไม่ค่อยได้ทำ มันเพราะอะไร?
เมื่อผมมาเป็น webmaster ของ e4thai.com และเจอคำถามนี้บ่อย ๆ ผมก็ได้สำนึกว่า นี่มันเป็นคำถามที่บรมอภิมหาอมตนิรันดร์กาล และเนื่องจากผู้ถามไม่ใช่เด็กนักเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เป็นคนที่เรียนจบแล้ว และอยูในสถานะอันหลากหลายของการทำงาน มีทั้งคนกำลังหางาน, สมัครงาน, รอเรียกตัวไปสัมภาษณ์, หรือคนที่เพิ่งได้ทำงาน, ทำงานนานแล้ว, กำลังขยายงาน-ปรับงาน-เปลี่ยนงาน, ย้ายงาน และคนหลากหลายกลุ่มเหล่านี้ ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในลักษณะที่หลายหลากแตกต่างกัน การจะตอบคำถามนี้ด้วยคำตอบอันเดียว โดยคิดว่าคำตอบของตัวเองเป็นเสื้อขนาด free size ใคร ๆ ก็ใส่ได้ คิดอย่างนี้คงไม่เข้าท่านัก
ถ้าคนถามเป็นเด็กนักเรียนและคนตอบคือครู และ scope ของปัญหาอยู่แค่การสอบในโรงเรียน มันก็ง่าย เพราะครูมีเนื้อหาตายตัวอยู่แล้วที่จะสอน มีเกณฑ์การสอบ-การวัดผลที่แน่นอน และผลสำเร็จของวิชาภาษาอังกฤษก็วัดได้ง่าย ๆ ด้วยผลการสอบ แต่เมื่อคนถามไม่ใช่เด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ในห้องแคบ ๆ แต่เป็นคนที่เรียบจบแล้วและนั่ง-ยืน-เดิน-วิ่งอยู่ในโลกใบใหญ่ ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในสารพัดกิจกรรม เมื่อเขาถามคำถามนี้ จะให้ผมให้คำตอบแบบเสื้อขนาด free size ใส่ได้พอดี ไม่ว่าคนถามจะตัวเท่าช้างหรือเท่าหนู มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
แต่ยังไงผมก็ต้องตอบ และคำตอบของผมก็คือ ท่านผู้ถามกรุณาตอบคำถาม 4 ข้อของผมนี้ก่อน แล้วผมจะตอบคำถามของท่าน
คำถาม 4 ข้อของผมก็คือ
【1】ท่านจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม
【2】 อะไรคือเนื้อหาภาษาอังกฤษโดยเจาะจงที่ท่านต้องรู้ ต้องฝึก ต้องเรียน ต้องใช้
【3】ท่านชอบวิชาหรือการเรียนภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน
【4】 หากตอนนี้ท่านจะเริ่มฟิตภาษาอังกฤษ ท่านมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด
อันที่จริง ผมสามารถจบบทความนี้ตรงนี้ โดยสรุปว่า ถ้าท่านมีคำตอบที่ชัดเจนต่อคำถามทั้ง 4 ข้อข้างบนนี้ คำตอบของท่านนั่นแหละครับ คือคำตอบของผมที่จะตอบคำถามของท่าน แต่การตอบอย่างนี้ออกจะเป็นการชุบมือเปิบมากไปหน่อย ผมจึงขออนุญาตเพิ่มเติมดังนี้ครับ
【1】ท่านจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม?
นี่ดูเหมือนตอบง่ายและท่านอาจจะตอบได้ทันทีโดยอัตโนมัติ เช่น รู้ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการทำงาน, เพื่อติดต่อพูดคุยกับลูกค้า, เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ, เพื่อเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ, เพื่อมีเพื่อนเป็นคนต่างชาติต่างภาษา, เพื่อความรู้และความเพลิดเพลินอันมากมายมหาศาลที่สามารถได้จากการอ่าน-การฟังเนื้อหาที่เป็นภาษาอังกฤษ, หรือถ้าท่านมีหน้าที่ในการให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นครูให้ความรู้แก่ศิษย์, พ่อแม่ให้ความรู้แก่ลูกหลาน, หรือนักวิชาการ-ปัญญาชนให้ความรู้แก่สังคม การรู้ภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องมือให้ท่านใช้ในการทำความดีหรือทำบุญได้มากและสะดวกขึ้น ฯลฯ
ถ้าที่พูดมานี้คือคำตอบที่ท่านมีอยู่แล้วในใจอย่างชัดเจน ก็นับว่าเยี่ยมมาก แต่ถ้าคำตอบของท่านยังเบลอร์คือไม่รู้ชัดว่าจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม เห็นเขาเรียนก็เรียนตามเขา เห็นเขาชอบก็ชอบตามเขา อย่างนี้คงไม่เข้าท่าแน่ หรือท่านอาจจะมีความมุ่งหมายหลายอย่างเหลือเกินในการฟิตภาษาอังกฤษ ท่านก็ควรจะจัดความสำคัญในการเรียนเรียงตามลำดับ 1.. 2.. 3... เพราะว่าการไม่มีเป้าหมายในชีวิต หรือการมีเป้าหมายมากเกินไปจนจับต้นชนปลายไม่ถูก มันอันตรายพอ ๆ กัน และการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลก็อยู่ในลักษณะนี้ คือต้องมีเป้าหมาย และเป้าหมายต้องชัดเจน
【2】 อะไรคือเนื้อหาภาษาอังกฤษโดยเจาะจงที่ท่านต้องรู้ ต้องฝึก ต้องเรียน ต้องใช้ ?
จากข้อ 1 เมื่อเรารู้แล้วว่า เราจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไม มาถึงข้อนี้เราก็ต้องรู้ให้ลึกลงไปอีกว่า เนื้อหาที่เราต้องรู้มันคืออะไร
คือเราจะต้องมองให้ออก ตีให้แตกว่า ภาษาอังกฤษที่เราต้องใช้ ซึ่งมีอยู่ 4 อย่าง คือ ฟัง - พูดคุย - อ่าน - เขียน นั้น เนื้อหาของมันคืออะไร และมากน้อยขนาดไหน ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ครับ
ถ้าท่านเป็นคนขับแท็กซี่, เจ้าของร้านขายอาหาร, ขายของที่ระลึก, พนักงานบริการประจำเคาน์เตอร์, พนักงาน call center ฯลฯ
ทักษะภาษาอังกฤษจะต้องเน้นที่การพูดคุยและฟังข้อความสั้น ๆ (ไม่ใช่ฟังข้อความยาว ๆ แบบเล็กเชอร์) ในกรณีอย่างนี้ คำศัพท์ที่ท่านใช้จะจำกัดอยู่ในแวดวงหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ท่านไม่จำเป็นต้องไปฝึกคำศัพท์ 108 - 1009 ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของท่าน และประโยคที่ท่านใช้พูด ก็สามารถใช้ประโยครูปแบบเดิม ๆ เช่น อาจจะสัก 100 ประโยค เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถทำมาหากินได้แล้วอย่างคล่องแคล่ว มีเงินทองใช้
ประมาณ 4-5 ปีมาแล้ว ผมได้รับคำขอร้องจากเจ้าของร้านขายกาแฟสดจากจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ให้ผมช่วยแต่งประโยคที่เขาจะใช้คุยกับลูกค้าซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นคนต่างชาติ ผมก็ขอให้เขารวบรวมประโยคสามัญพวกนั้นเป็นภาษาไทยมาให้ผม โดยผมบอกว่าคุณถามมาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อผมแปลเสร็จก็จะโพสต์ลงเว็บ เจ้าของร้านขายกาแฟสดที่อื่น ๆ จะได้เอาไปใช้ได้ด้วย แต่เขาก็เงียบหายไปเลย
และผมจึงได้ความคิดว่า หน่วยราชการไทยหลายหน่วย ไม่ว่าจะประจำอยู่ในส่วนกลางคือกรุงเทพ หรือส่วนภูมิภาคในจังหวัดต่าง ๆ เช่น โรงเรียนมัธยม, มหาวิทยาลัย, หน่วยงานภูมิภาคสังกัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กสท ฯลฯ สามารถช่วยผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชนที่ต้องติดต่อกับลูกค้าต่างชาติในลักษณะนี้ คือการช่วยจัดทำกลุ่มคำศัพท์หรือประโยค เช่น อาชีพละ 100 ประโยค เพราะว่าความจำเป็นในการใช้งานของเขามันไม่ได้ครอบจักรวาลแบบ CEO ระดับร้อยล้านพันล้านที่ต้องพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วทุกเรื่องในห้องประชุมติดแอร์
ถ้างานของท่านจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษที่กว้างขวางกว่าข้างต้น คือต้องทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน เช่น ต้องรับแขกต่างประเทศ เจรจาธุรกิจหรืองานราชการในห้องประชุม ไปประชุมต่างประเทศ หรือเขียน speech ให้ผู้บังคับบัญชา โต้ตอบอีเมล ฯลฯ งานทำนองนี้ผมเคยทำมาแล้วทั้งนั้นตอนที่ยังไม่ได้เกษียณ ผมมีคำแนะนำเล็กน้อยสำหรับท่านที่อยู่ในองค์กรและต้องรับผิดชอบให้ทำงานอย่างนี้ และรู้สึกว่ามันยาก ทำไม่ค่อยได้ และหนักใจ
ก็คือว่า ท่านเคยฝึกภาษาอังกฤษด้วยวิธีไหนที่ได้ผล ก็ฝึกต่อไปตามเดิมอย่างนั้นแหละครับ แต่ที่ผมขอแนะนำเพิ่มเติมก็คือ ให้หาตัวอย่างเนื้อหาของงานเดิมที่ดี ๆ มาศึกษา เพื่อให้รู้ศัพท์และโครงสร้างประโยคที่มักปรากฏในงาน เช่น เอกสารเก่า ๆ, อีเมลเก่า, speech เดิม ๆ, รายงานการประชุมเดิม ๆ, ระเบียบ-กฎ-กติกา-มารยาท ภาษาอังกฤษที่อยู่ในแฟ้ม, report ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคลิปหรือไฟล์ mp3 ที่เคยอัดไว้ หรือเนื้อหาใด ๆ ก็ตามซึ่งมันคล้ายกับงานที่เรารับผิดชอบที่อยู่ตามเว็บต่าง ๆ หรือ YouTube ขอให้พวกเรามุ่งไปที่เนื้อหาพวกนี้ก่อน อย่าเพิ่งไปศึกษาเรื่องอื่น ๆ อย่างสะเปะสะปะ โดยตอนศึกษาให้เพ่งใปที่ 3 เรื่อง คือ
[1] เนื้อหา
[2] คำศัพท์สำคัญ และการนำคำศัพท์ไปแต่งประโยค
[3] โครงสร้างประโยคที่มักใช้บ่อย ๆ ในการสื่อเนื้อหา
การศึกษาในลักษณะนี้ จะช่วยให้การฝึกของเราแคบลง ไม่ใช่กว้างขวางไร้ขอบเขต เพราะการไปฝึกเรื่องที่ไม่ได้ใช้เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
นี่เป็นคำแนะนำของผมต่อท่านเป็นรายบุคคล และต่อแผนกที่รับผิดผิดชอบต่อการพัฒนาบุคลากรด้วยครับ
【3】ถ้าคะแนน 10 คือ รักมากที่สุด, คะแนน 1 คือ รักน้อยที่สุด ตัวท่านเองให้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษกี่คะแนน ?
นี่เป็นเรื่องของอารมณ์ซึ่งบังคับกันไม่ได้ และครูมักจะบอกว่าให้มีฉันทะคือรักที่จะเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อมีฉันทะนำหน้า อีก 3 ตัวคือ วิริยะ(ความขยัน/อดทน), จิตตะ (ความเอาใจจดจ่อ/สมาธิ), และวิมังสา(ความใคร่ครวญ/ไตร่ตรอง) ก็จะตามมาเอง
แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้ามันไม่รัก มันเกลียดมาตั้งแต่เด็ก (ด้วยสาเหตุใดก็ตามเถอะ) ทำให้พื้นแย่มาตั้งแต่อายุเยาว์ จะข่มใจให้รัก ทำได้ยากนะ !!
ผมมีความรู้สึกว่า คำแนะนำหรือการหว่านล้อมใด ๆ ก็ตาม ให้เห็นประโยชน์ของการฝึกภาษาอังกฤษ จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงถ้าพูดกับคนที่ไม่มีใจให้ และก็ไม่ใช่ความผิดของเขาที่ไม่รักภาษาอังกฤษ มีคำพูดหนึ่งที่ท่านอาจจะคุ้นเคย "ความรักไม่ใช่ความผิด" ผมขอเพิ่มว่า "ความไม่รักก็ไม่ใช่ความผิด"
ผมเชื่อว่าตัวเองเข้าใจคนที่เกลียดภาษาอังกฤษ (และอย่างที่บอกแล้ว จะด้วยสาเหตุใดก็ตามเถอะ) เรื่องนี้ทำให้นึกถึงตัวเองตอนที่ยังทำงาน ผมเกลียดงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเลข การเงิน หรืองบประมาณ รู้สึกไม่ถูกชะตากับงานพวกนี้เลย ถ้าต้องรับผิดชอบจะหงุดหงิดขึ้นมาทันที และมักวานให้รุ่นน้อง หรือใช้ให้ลูกน้องทำแทน ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะงานการเงินหรือตัวเลขมันก็มีประโยชน์เหมือนกันถ้าทำได้
ในฐานะ webmaster ของ e4thai.com ซึ่งมีหน้าที่เชียร์แขก ให้คนเข้ามาเรียนภาษาอังกฤษ ผมก็ขอชวนเบา ๆ ว่า ท่านลองหาเรื่องเล็ก ๆ ของภาษาอังกฤษที่ท่านแตะต้องแล้วรู้สึกสนุก หรือหงุดหงิดไม่มาก เหมือนคนที่ไม่ชอบกินผัก ถ้าได้ลองหัดกินทีละหน่อย และกินเรื่อย ๆ และเริ่มกินได้โดยไม่เกลียด และสามารถกินเพิ่มได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเห็นประโยชน์ของผัก ผมอยากให้คนที่เกลียดภาษาอังกฤษได้รับประโยชน์จากภาษาอังกฤษ เพราะทนกินทีละหน่อย เพราะแท้จริงแล้วประโยชน์ของภาษาอังกฤษเป็นของจริงที่ทุกคนสัมผัสได้ ไม่ใช่ภาพลวงตา ขอเพียงเราเปิดใจให้กว้างอีกสักนิดเท่านั้นเอง
ส่วนท่านที่รักภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ผมขอลุ้นให้ท่านขยายความรักให้กว้างใหญ่ไพศาล เช่น บางคนชอบอ่านแต่ไม่ชอบฟัง, บางคนชอบฟังแต่ไม่ชอบอ่าน, บางคนชอบฟังและชอบอ่านแต่ไม่กล้าพูด, บางคนกล้าพูดชอบฟังแต่เกลียดการอ่าน .... ก็ขอให้ทุกท่านเปิดใจรักการฝึกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการอ่านด้วยตา, ฟังด้วยหู, พูดด้วยปาก, หรือเขียนด้วยมือ ให้ทุกอวัยวะที่ธรรมชาติสร้างมาได้ฝึกภาษาอังกฤษตามศักยภาพของมัน อย่าใช้เพียงแค่อวัยวะโปรดเลยครับ
【4】 หากตอนนี้ท่านจะเริ่มฟิตภาษาอังกฤษ ท่านมีความพร้อม มากน้อยเพียงใด ?
นี่เป็นเรื่องที่ผมได้ยินคนบ่นด้วยความท้อแท้หรือน้อยใจมากทีเดียว คือเขาบอกว่า ที่ภาษาอังกฤษของเขาอ่อนแอทุกวันนี้ เพราะเขาได้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่สมัยเด็กด้วยความไม่พร้อม คือ ครูก็ไม่ค่อยเก่ง, เนื้อหาก็เน้นแต่แกรมมาร์ เรื่องพูดหรือฟังสอนน้อยมาก, โอกาสที่จะได้เจอและพูดกับครูหรือชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษแทบไม่มีเลย, และก็เรียนจบมาด้วยทักษะภาษาอังกฤษอย่างแกน ๆ, ครั้นเมื่อทำงานจะไปเรียนพิเศษคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษก็ไม่สะดวกเพราะราคาแพง, ส่วนที่ทำงาน เวลาจะส่งคนไปอบรมหรือดูงานต่างประเทศก็มักคัดเลือกโดยการสอบ และคนที่ได้ไปก็คือคนที่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ทำงานเต็มเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น จะแบ่งเวลาตรงไหนไปเรียนภาษาอังกฤษได้อีก รู้อยู่หรอกว่าภาษาอังกฤษมีประโยชน์ แต่ปัจจัยสนับสนุนไม่มีเลย ไม่ใช่เพิ่งไม่มี แต่ไม่มีมานานแล้ว การเก่งอังกฤษให้ได้จึงเป็นเพียงความฝันแห้ง ๆ และแม้ทุกวันนี้จะมีเน็ตให้ฝึกภาษาอังกฤษได้จากที่บ้านฟรี ๆ หรือผ่าน smartphone ขณะเดินทาง ก็ทำได้อย่างแกน ๆ แค่น ๆ เพราะตอนสงสัยก็ไม่มีครูให้ถาม ฝึกพูดออกไปก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า เพื่อนจะร่วมเรียนด้วยพอให้มีกำลังใจก็ไม่มี .....
ท่านผู้อ่านครับ ทุกคำทุกวรรคในย่อหน้าข้างบนนี้ ถ้ามีใครพูดและรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ก็ชี้ชัดว่า เขาพร้อมจะยอมแพ้และจึงหมดแรง ไม่ใช่ เขาหมดแรงจึงยอมแพ้ คนที่ไม่ยอมแพ้จะไม่หมดแรง จริงอยู่ ทางวัตถุหรือทางกายเราอาจจะไม่พร้อม แต่ถ้าใจเราไม่ยอมแพ้ เราจะไม่หมดแรง และเราจะสร้างความพร้อมได้ใหม่ทุกเมื่อ
ผมหวังว่า ท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ จะสามารถฝึกภาษาอังกฤษด้วยหัวใจ สมอง และสายตา ที่แจ่มใส
มองโลกในแง่ดี มีความหวังดีต่อตัวเอง ต่อโลก และมีความสุขครับ
อย่ายอมแพ้ !!!
♥ ผมเจอคลิปภาษาอังกฤษคลิปนี้ เป็นคลิปให้กำลังใจคนที่กำลังพยายามทำสิ่งที่ยากมาก ๆ ให้สำเร็จ โดยเพิ่ม subtitles ภาษาไทย
♥ แต่ผมคิดว่า สำหรับแฟน e4thai.com น่าจะได้ดูคลิปต้นฉบับมากกว่า
♦ คลิปนี้ครับ→ https://www.youtube.com/watch?v=BoS06bwpVyw
แต่ถ้าต้องการ subtitles ภาษาไทย
♦ ก็ไปที่นี่ครับ → https://www.youtube.com/watch?v=uunXUTcxRls
วิธีอ่านนิยาย bestseller ให้จบสัก 1 เล่ม ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยรู้ศัพท์
สวัสดีครับ
ผมเชื่อว่า หลายท่านที่ฝึกภาษาอังกฤษ ต้องการอ่านนิยาย bestseller ฉบับจริง (ไม่ใช่ฉบับ simplified) ที่ตัวเองชอบให้จบสัก 1 เล่ม เพื่ออะไร? ก็เพราะว่า นี่เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง และก็เป็นแรงบันดาลใจด้วย เพราะถ้าได้อ่านจบเล่มที่ 1 ก็จะมีแรงให้อ่านจบเล่มที่ 2 เล่มที่ 3 ต่อไปได้เรื่อย ๆ
แต่ท่านที่เคยลองอ่านอาจจะเจอด้วยตัวเองแล้วว่า มันอ่านยาก ปัญหาใหญ่สุดก็คือไม่รู้ศัพท์ ยิ่งอ่านยิ่งไม่รู้เรื่อง จึงเลิกอ่านหลังจากเริ่มอ่านไปได้ไม่กี่หน้า
ผมอยากจะบอกทุกท่านที่รักในการฝึกภาษาอังกฤษ และอยากได้ความเพลิดเพลินและความรู้จากการอ่านนิยายว่า อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะมันมีวิธีที่จะช่วยให้ท่านอ่านนิยายต้นฉบับภาษาอังกฤษได้จบเล่ม และรู้เรื่องมากพอสมควร
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ผมไปที่ตลาดนัดใกล้บ้าน เจอนิยาย bestseller ของ John Grisham เรื่อง The Rainmaker (มีแปลเป็นไทย ชื่อ "หักเขี้ยวเสือ") ราคาแค่ 50 บาทเลยซื้อไว้ เล่มนี้ถ้าเป็นหนังสือใหม่ขายในร้านหนังสือคงราคาหลายร้อย
เมื่อมาดูที่เว็บ www.e4thai.com ก็เจอว่า เล่มนี้ของนักเขียนคนนี้ มี eBook ให้ดาวน์โหลด → คลิก
ผมเริ่มอ่านแลัวก็รู้สึกว่าสนุก สมชื่อหนังสือ bestseller แล้วก็นึกถึงท่านผู้อ่าน
เนื้อหาที่จะเขียนต่อไปนี้ โดยสรุปผมต้องการจะบอกทุกท่าน ดังนี้ครับ
【1】นิยาย bestseller ของฝรั่งหลายเล่มเขาเขียนได้ดีจริง ๆ คือเขานำเหตุการณ์จริง ๆ มาจำลองเป็นนิยาย เมื่ออ่านเราไม่ได้แค่สนุกแต่ยังได้ความรู้อีกด้วย และก็ไม่ใช่ความรู้อย่างในตำราวิชาการ แต่เป็นความรู้ที่เห็นภาพชัดเจนเพราะมีตัวตนแสดงให้ดู มีคำพูดใต้ตอบและบอกเล่าให้คิดตาม
【2】เพราะฉะนั้น ตอนผมจะหยิบนิยายภาษาอังกฤษมาอ่านสักเรื่อง เกณฑ์แรกง่าย ๆ ที่ผมใช้ในการเลือกก็คือ ต้องเป็นนิยาย bestseller เพราะมันเท่ากับเป็นการกรองขั้นแรกว่า เรื่องที่จะหยิบขึ้นมาอ่านนี้คุณภาพใช้ได้ โดยถ้านิยายเล่มใดเป็น bestseller เขาจะพิมพ์ไว้ที่หน้าปก ทำนองนี้ → คลิกดู
แต่ทั้งนี้แต่ละคนก็ควรหา bestseller แนวที่ตัวเองชอบ เพราะถ้าไม่ใช่แนวที่เราชอบ ต่อให้เป็น bestseller เราก็ไม่อยากอ่าน
อย่างผมเอง ชอบอ่านนิยายแนว suspense หรือ thriller ของนักเขียน 3 คนนี้
→ john-grisham
→ dan-brown
→ sidney-sheldon
ท่านเองก็เช่นครับ ก็น่าจะลองหาให้พบว่า ท่านชอบนิยายแนวไหน เล่มใด ของนักเขียนคนใด จะได้เลือกอ่านเล่มที่อ่านแล้วมีความสุข
→ List_of_best-selling_books
→ List_of_best-selling_fiction_authors
【3】ประเด็นต่อไปที่ขอแนะนำก็คือ ท่านต้องการรู้เรื่องย่อของนิยายก่อนที่จะอ่านต้นฉบับหรือเปล่า? ถ้าต้องการรู้ก็อาจจะหาเรื่องนั้นที่แปลเป็นภาษาไทยมาอ่าน ซึ่งนิยาย bestseller ของนักเขียนชื่อดังของฝรั่งมีแปลเป็นภาษาไทยเยอะทีเดียว แต่ถ้าท่านหาไม่เจอหรือไม่มีเวลาไปหา ท่านอาจจะหาอย่างง่าย ๆ โดยกูเกิ้ลด้วยคำว่า เรื่องย่อและต่อด้วยชื่อหนังสือ เช่น นิยายเรื่อง The Rainmaker ของ John Grisham
→ เรื่องย่อ the rainmaker
แต่ถ้าท่านพิมพ์คำค้นเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะมีให้ท่านอ่านมากกว่ากันเยอะเลย
→ summary the rainmaker
【4】เอาละ คราวนี้มาถึงประเด็นสำคัญที่จะพูดในวันนี้ คือ เมื่อเราลงมืออ่านต้นฉบับนิยายภาษาอังกฤษ เราอาจจะรู้สึกกลัวว่า หนังสือเล่มหนา ใช้ศัพท์ยาก อ่านไม่รู้เรื่อง ผมขอบอกว่าท่านอย่าไปกลัวมันมากเกินไป จริง ๆ แล้วการอ่านนิยายง่ายกว่าการอ่านข่าวหรือบทความภาษาอังกฤษเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นนิยายแนวที่เราชอบจะอ่านสนุกมาก และยังได้ฝึก reading skill มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
ประเด็นเรื่องไม่รู้ศัพท์ทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง ผมขอบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายของศัพท์ชนิดชัดเจนแจ่มแจ้ง เราเพียงรู้แนวทางของความหมายหรือคำแปลของศัพท์คำนั้นหรือกลุ่มนั้น ก็เพียงพอแล้วที่เราจะอ่านไปได้อย่างลื่นไหลและมีรสชาติ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยการ "เดา" อย่างมีหลักการ ไม่ใช่เดามั่ว
เรื่องนี้ มี 3 ประเด็นที่ผมขอพูดชัด ๆ
【1】ท่านต้องศึกษาให้เข้าใจเรื่อง part of speech หรือชนิดของคำ อย่างชัดเจน ( คลิกดู ) คือขณะที่อ่าน ท่านจะต้องมองให้ออกว่า คำ(หรือกลุ่มคำ)ไหน เป็น noun, เป็น verb, หรือเป็น adjective/adverb
- เมื่อมองออกว่า มันเป็น noun เราก็มองต่อว่า มันเป็น คน, สัตว์,สิ่งของ, นามธรรม, ความรู้สึกนึกคิด, การกระทำ ฯลฯ
- เมื่อมองออกว่า มันเป็น verb ถ้าเราไม่รู้คำแปล แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่า มันเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถ้ามันเป็น verb ที่คนแสดง มันก็ต้องเป็น verb ที่แสดง action อย่างใดอย่างหนึ่ง, หรือเป็นการพูด อย่างใดอย่างหนึ่ง, หรือเป็นการรู้สึก-นึก-คิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ; แต่ถ้ามันเป็น verb ที่สิ่งของแสดง (เช่น รถยนต์) แม้เราอาจจะไม่รู้จัก verb ตัวนั้น แต่เราก็น่าจะเดาความหมายไปในแนวที่เป็นอาการของรถยนต์ และยิ่งถ้ามีคำขยายอื่น ๆ มาต่อท้าย การเดา verb ตัวนี้ก็จะง่ายขึ้นอีก เป็นต้น
- เมื่อมองออกว่า มันเป็น adjective ที่เป็นคำขยาย เราก็ต้องมองให้ออกว่า มันขยาย noun ที่เป็นประธานหรือกรรมตัวไหน, หรือถ้าเป็น adverb มันขยาย verb ตัวไหน หรือขยายประโยคใด
【2】 บ่อยครั้งที่คำที่ทำหน้าที่เป็น noun, verb, adjective, adverb นี้ มันไม่ได้เป็นคำเดี่ยว แต่มันอยู่เป็นกลุ่มคำ เราก็ต้องมองให้ออกว่า
- นี่กลุ่ม noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน หรือเป็นกรรม,
- นี่กลุ่ม verb,
- นี่กลุ่ม adjective หรือ adverb ที่เป็นส่วนขยาย,
และในกลุ่มหนึ่งที่มีหลายคำนี้ บางคำเราก็รู้จัก บางคำเราก็ไม่รู้จัก แต่จากตำแหน่งของคำ เราก็ต้องพยายามตีให้ออกว่า คำใดสำคัญจำเป็นต้องรู้ คำใดไม่สำคัญยังไม่ต้องรู้ก็ได้ หรือคำใดที่สำคัญสุด ๆ ควรจะต้องเปิดดิกทันที
【3】คราวนี้มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือการเดาอย่างมีหลักการ คือ เมื่อเรามองออกว่า มันเป็นคำอะไร - ทำหน้าที่อะไร คือเป็น noun, เป็น verb, เป็น ส่วนขยาย, เป็นประธาน, เป็นกรรม ฯลฯ ซึ่งมีทั้งคำที่เรารู้และไม่รู้คำแปล เราก็ต้อง
A: อาศัยคำที่เรารู้ นำไปแปลคำที่เราไม่รู้
B: อาศัยการเดาโดยใช้ตำแหน่งของคำเป็นตัวชี้บอก เช่น
- -เรามองออกว่า กลุ่มประธานนี้ เป็นคน ซึ่งประกอบด้วยคน และคำที่เป็นส่วนขยายคน ถ้ามันมีบางคำที่เราไม่รู้จักและดูแล้วถึงไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องไป serious กับมัน
- -และให้มองต่อไปว่า กลุ่ม verb ของประธานตัวนี้คืออะไร ถ้าเราอ่านแล้วแปลไม่ออก อย่างน้อยก็ให้พยายามตีให้ออกว่า มันเป็น verb ที่เป็นการเคลื่อนไหวทางร่างกาย, หรือเป็นการพูดอย่างใดอย่างหนึ่ง, หรือเป็นการคิดหรือรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้า verb นี้มีคำหรือกลุ่มคำเป็นกรรมมารับ ก็จะช่วยให้เราเดาได้ง่ายขึ้น ว่า ประธาน+กริยา+กรรม นี้มันแปลว่าอะไร อย่างที่บอกแล้ว เราใช้คำที่รู้ไปเดาหรือตีความคำที่เราไม่รู้ โดยอาศัยดูจากเนื้อเรื่องด้วยว่า ตัวแสดงในนิยายกำลังพูดหรือแสดงอะไรกันอยู่
- -ลักษณะหนึ่งของการเล่าเรื่องในนิยายก็คือ คนแต่งจะค่อย ๆ เพิ่มข้อมูลหรือเรื่องราวให้แก่ตัวแสดง, สถานที่, สิ่งของ, เนื้อหา, และนี่เป็นสิ่งที่เราต้องจับให้ได้ว่า คำหรือกลุ่มคำที่เขาค่อย ๆ เล่าเพิ่มเติมนี้ หมายถึงอะไรที่เขาได้เล่าไปแล้ว
ท่านผู้อ่านครับ วิธีการเดาตามที่ผมแนะนี้ ปกติท่านก็ใช้อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น ท่านอ่านหนังสือนอกเวลา Level ต่ำ ๆ → คลิกเข้าไปดู เขาใช้ศัพท์และโครงสร้างประโยคง่าย ๆ ท่านก็มองออกทันทีว่า คำหรือกลุ่มคำใดเป็น ประธาน-กริยา-กรรม, หรือว่า เป็น noun-verb-adjective-adverb แต่เมื่อมาอ่านนิยายที่ใช้ศัพท์และโครงสร้างประโยคที่ยากขึ้น ท่านก็ใช้วิธีเดาอย่างเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่เดาแล้วมันอาจจะไม่กระจ่าง 100% ซึ่งก็ไม่เป็นไร มันอาจจะกระจ่างแค่ 50-60-70 % ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เราจับให้ได้ว่า เนื้อเรื่องมันดำเนินไปในแนวไหน ก็ถือว่าใช้ได้ เช่น
Mrs. A กำลังเคลื่อนตัวจาก จุดที่ 1 ไปยังจุดที่ 2 คนแต่งอาจจะไม่ใช้คำว่า walk แต่อาจจะใช้ศัพท์ตัวอื่นเดี่ยว ๆ เพื่อบรรยายลักษณะท่าท่างของการเปลี่ยนสถานที่ เช่น → ใช้คำศัพท์เหล่านี้ คำที่ผู้แต่งเลือกใช้นี้ ถ้าเราอ่านแล้วไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร แต่ด้วยการวิเคราะห์ชนิดของคำ, ประธาน-กริยา-กรรม-ส่วนขยาย ดังที่ว่ามานี้ ถ้าเรามองออกว่า Mrs. A กำลังเคลื่อนตัว ก็ถือว่าใช้ได้ โดยไม่ต้องเปิดดิกซึ่งจะทำให้การอ่านของเราสะดุด และก็ไม่ต้องหงุดหงิดถ้าเราเข้าใจไม่ชัด 100 %
ท่านผู้อ่านครับ ศิลปะในการเดาความหมายของศัพท์จากประโยคแวดล้อมนั้น มีสอนกันเยอะ ทั้งในเว็บไทยและเว็บอังกฤษ แต่คำสอนทั้งหลายแม้มากมายและมีประโยชน์ปานใด ก็เป็นเพียงแผนที่หรือหนังสือคู่มือ ความชำนาญในการเดาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราฝึกด้วยตัวเอง และในวันนี้ผมจึงขอแนะนำให้ท่านฝึกกับการอ่านนิยาย bestseller เล่มที่ท่านชอบ
สำหรับนิยาย bestseller มือสองราคาถูก ๆ นี้ (เช่น เล่มละ 50 บาท) ผมก็เห็นบ่อย ๆ ตามตลาดนัดข้างบ้าน, กระบะเลหลังขายหนังสือในห้างหรืองานสัปดาห์หนังสือ, หรือที่จตุจักรก็น่าจะมี ถ้ามีโอกาสก็ลองหาดูนะครับ
ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษนั้น มีประโยชน์มาก ๆ และการฝึกให้อ่านเก่ง อ่านคล่อง ก็ต้องอาศัยหลาย ๆ วิธี ให้โอกาสแก่ตัวเองเถอะครับ
เรียนภาษาอังกฤษกับพี่ซีม - คลิป YouTube เด็กไทยไกลบ้าน
☑ เรียนภาษาอังกฤษกับพี่ซีม - คลิป YouTube เด็กไทยไกลบ้าน
→ https://www.youtube.com/user/dekthaiklaibaan/playlists
มีหลาย playlist เลือกเอาเองแล้วกันครับ
หรือจะเข้าไปดูที่นี่ก่อนก็ได้
☑ Basic English :) คลิปสอนภาษาอังกฤษง่ายๆสไตล์เด็กไทยไกลบ้าน
→ https://www.youtube.com/watch?v=jkqf9vXdCVQ&list=PLksSrSW1Lk4Y54lmp6oSanlICFM3ywU82
☑ ภาษาอังกฤษใช้ผิดบ่อย - รู้อย่างงี้แล้วอย่าใช้ผิดอีกนะ!!
→ https://www.youtube.com/watch?v=w8BEQjyQMbU&list=PLksSrSW1Lk4YCE71ADfHi0IhGjuBXCP_H
ดาวน์โหลด story ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก 100 เล่ม
สวัสดีครับ
ที่นี่ → http://www.kidsworldfun.com/ebooks.php
มี story ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กให้ดาวน์โหลดเป็นไฟล์ pdf ประมาณ 100 เล่ม เมื่อคลิกเล่มจะมีสรุปย่อให้อ่านก่อน
story สำหรับเด็ก ช่วยฝึกจินตนาการ ให้แนวคิดในการดำเนินชีวิต และเป็นสื่อในการฝึกอ่านภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี เพราะเขียนโดยใช้ศัพท์และโครงสร้างประโยคง่าย ๆ ทั้งเล่มมีแค่ 20 - 30 หน้า ตัวหนังสือโต ๆ อ่านเดี๋ยว ๆ ก็จบ และมีภาพสวย ๆ เพิ่มความน่าอ่านขึ้นอีกเยอะ
และแม้จะเป็น story สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ก็อ่านได้ครับ
ถ้าท่านต้องการดาวน์โหลดทีเดียวทั้ง 100 เล่ม (ประมาณ 500 MB) ก็
→ คลิกที่นี่
ผมขอแนะนำว่า ก่อนอื่น ท่านดูชื่อเรื่องและลองเลือกอ่านสัก 1 - 2 เล่มก่อน อาจจะโชคดีเจอเล่มที่ถูกใจมาก ๆ หลายเล่มก็ได้ครับ
สำหรับคุณครู คงเป็นประโยชน์สำหรับการสอนเด็ก ๆ บ้างนะครับ
พิพัฒน์
https://www.facebook.com/En4Th/