Articles
ศึกษาการแปลข่าว ไทยเป็นอังกฤษ จาก นสพ. Bangkok Post (และ download ไฟล์)
สวัสดีครับ
หนังสือพิมม์ Bangkok Post ได้แสดงตัวอย่างการแปลข่าว ไทยเป็นอังกฤษ โดยใช้ชื่อว่า Learn Thai คอลัมน์นี้มุ่งสอนฝรั่งให้เรียนรู้การอ่านข่าวภาษาไทย แต่ผมเห็นว่าก็เป็นประโยชน์อย่างมากต่อเราคนไทย ที่ต้องการศึกษาการแปลข่าว จากไทยเป็นอังกฤษ
ทั้งหมดมี 94 ข่าว โดยเริ่มจากข่าวแรกที่ตีพิมพ์เมื่อ 24 August 2012 และข่าวสุดท้าย 26 October 2014 แต่ละข่าวมีการเสนอเรียงลำดับ ดังนี้
- ไตเติ้ลนิดหน่อยเป็นภาษาอังกฤษ
- ข่าวภาษาไทย
- คำแปลศัพท์ข่าว ไทย เป็น อังกฤษ (อันนี้ดีมาก ๆ ครับ, หาในเว็บอื่น แทบไม่เคยเจอ)
- ข่าวที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ
ดูตัวอย่าง คนอุดรฯแห่ต้อนรับ"อแมนดา"สุดคึกคัก - Udon residents flock to enthusiastically welcome “Amanda” คลิก
เท่าที่ผมเคย search ดูในเน็ต ข่าวที่มีการแปลโชว์จากภาษาไทย เป็นภาษาอังกฤษแบบนี้มีน้อยมาก, มีน้อยจริง ๆ ครับ, และในการเรียนแปลข่าวจากไทยเป็นอังกฤษเช่นนี้ นอกจากศึกษาจากตำรา เช่น ตำราเรียนของรามคำแหงฯ EN 322 “จุดมุ่งหมาย หลักการ และวิธีแปล” โดย รศ. ฉัจฉรา ไล่ศัตรูไกล ตอนที่ 3: การแปลไทยเป็นอังกฤษ บทที่ 11 – 15 คลิก →EN322_การแปลไทยเป็นอังกฤษ.pdf
เรายังต้องศึกษาจากของจริงเยอะ ๆ และของจริงที่ผมขอแนะนำ ก็คือข่าวแปลจากไทยเป็นอังกฤษ ที่ Bangkok Post นี่แหละครับ คลิกลิงก์นี้•หรือลิงก์นี้
WRITER: TERRY FREDRICKSON
Column by Sunee Khaenyuk
เนื่องจากเป็นข่าวเก่า ขณะที่อ่านขอให้ท่านดู วัน เดือน ปี ของข่าว และนึกย้อนไปถึงเวลา ที่ข่าวนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ การอ่านข่าวย้อนหลังเช่นนี้ นอกจากเป็นการศึกษาการแปลแล้ว อีกนัยหนึ่งก็เป็นการอ่าน “ประวัติศาสตร์” ของไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วย
ผมขอชวนอย่างจริงจังให้ท่านศึกษาข่าวไทยแปลเป็นอังกฤษที่ลิงก์ Bangkok Post นี้ คลิกลิงก์นี้•หรือลิงก์นี้
และถ้าท่านต้องการดาวน์โหลดไฟล์ เพื่อเก็บไว้ศึกษาในอนาคตโดยไม่ต้องต่อเน็ต ก็ดาวน์โหลดไฟล์ WinRar ซึ่งมีทั้งหมด 7 part คลิก
พิพัฒน์
ทำยังไงถึงจะอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้โดยไม่ต้องแปล
สวัสดีครับ
สำหรับคนไทยโดยทั่วไป บ่อยครั้งก็แยกยากระหว่างการอ่านและการแปล
ถ้าเอาตามความรู้สึกส่วนตัว ผมขอแยกอย่างนี้แล้วกันครับ
การอ่าน:
เมื่อเราอ่านภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจ มันเป็นความเข้าใจที่เข้าใจไปเลย โดยสมองของเราไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทย เช่น ที่ประตูโบสถ์ตามวัดซึ่งมีคนต่างชาติไปเที่ยวเยอะ มีป้ายติดไว้ว่า Please take off your shoes. เมื่ออ่านเราก็เข้าใจทันทีเลยว่า เขาให้เราถอดรองเท้าก่อนเข้าโบสถ์ เราเข้าใจได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีประโยคภาษาไทย “ถอดรองเท้า” ปรากฏในสมอง หรือถ้าประโยคนี้จะปรากฏในสมองเรา มันก็ปรากฏหลังจากที่เราเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ต้องนึกเป็นภาษาไทยก่อนว่า “ถอดรองเท้า” ถึงจะเข้าใจ – นี่แหละครับคือการอ่าน
พอมาถึงตรงนี้ก็มี 2 คำถาม ที่เกี่ยวข้องกัน
คำถามที่ 1: จะฝึกอ่านอย่างไรให้สามารถอ่านและเข้าใจได้โดยไม่ต้องแปล หรือแปลน้อยที่สุด? คำถามนี้ตอบได้ง่ายมากครับ คือ เราต้องฝึกอ่านมานานพอสมควร และต้องอ่านเป็นประจำทุกวัน โดยเมื่อแรกฝึกจะต้องอ่านเรื่องที่ง่ายมาก ๆ ที่เราสามารถอ่านได้ไหลลื่น ถ้าตอนนี้ท่านเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 1 และรู้สึกว่าท่านอ่านตำราภาษาอังกฤษได้แย่มาก และที่ผ่านมาตอนเป็นนักเรียนชั้นประถมและมัธยม ท่านก็แทบไม่ได้ฝึกอ่านภาษาอังกฤษเลย ท่านอาจจะต้องย้อนไปเริ่มฝึกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษสำหรับชั้น ป.1 ซึ่งท่านน่าจะอ่านได้ลื่น แล้วก็ฝึกอ่านเพิ่มระดับมาเรื่อย ๆ โดยหยิบหนังสือของชั้น ป.2, ป.3, ป.4, ป.5, ป.6 และ ม.1, ม.2, ม.3, ม.4, ม.5, ม.6 ขึ้นมาอ่านตามลำดับ และอย่าลืมว่าต้องอ่านเป็นประจำ, ต้องอ่านทุกวัน
จุดที่ขอเน้นในเรื่องนี้ก็คือ ถ้าท่านฝึกอ่านเรื่องง่าย ๆ ที่ท่านเข้าใจได้ทันที มันก็จะลื่นไหลโดยท่านไม่ต้องแปลเป็นไทยในสมอง แต่ถ้าท่านอ่านเรื่องที่ยากเกินไป ที่ท่านเข้าใจไม่ได้ทันที สมองก็จะชะงักและพยายาม “แปล” เป็นภาษาไทย เพราะมันไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีเป็นภาษาอังกฤษ
ผมคิดว่า ถ้า ณ นาทีนี้ ท่านไม่สามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างไหลลื่น และต้องอ่านไป-แปลไปตลอดเวลา และแม้กระทั่งตอนที่จะพูดภาษาอังกฤษ ก็ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อนที่จะปั้นและเปล่งเป็นประโยคภาษาอังกฤษออกไป ถ้าท่านมีอาการอย่างนี้ ท่านไม่ต้องไปสะสางหาสาเหตุให้ปวดหัวหรอกครับ คิดเล่น ๆ ว่ามันเป็นเวรกรรมแต่หนหลัง หรือเป็นการบ้านที่ในอดีตลืมทำส่งครูก็ได้ และ ณ นาทีนี้ ก็start ใหม่เพื่อชดใช้กรรมหรือทำการบ้านย้อนหลังก็ได้ ขอให้ท่านเชื่อผมเถอะครับว่า ท่านทำได้ถ้าท่านฝึกใหม่ต่อเนื่องอย่างอดทน พยายาม และใจเย็น
คำถามที่ 2: ทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่สามารถอ่านและเข้าใจโดยไม่ต้องแปล? ถ้าอยากรู้คำตอบและการแก้ไข ขอให้กลับขึ้นไปอ่านคำถามที่ 1 ครับ
การแปล:
การแปลมี 2 อย่าง คือ
1- แปลเป็นภาษาไทยให้ตัวเองเข้าใจ การแปลอย่างนี้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ เพราะจะแปลยังไงก็ได้ให้ตัวเองเข้าใจก็แล้วกัน
2 – แปลเป็นภาษาไทยให้คนอื่นอ่านหรือฟัง การแปลอย่างนี้แหละครับที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้ภาษาไทยที่กระชับ ชัดเจน สวยงาม และสอดคล้องกับระดับและอารมณ์ของต้นฉบับ
ตอนนี้เราสนใจเฉพาะข้อ 1 ก็พอ คือแปลให้ตัวเอง ซึ่งก็ไม่ยากนักถ้าเราอ่านและเข้าใจ, →ซึ่งก็ไม่ยากนักถ้าเราฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ คืออ่านทุกวัน, โดยยอมเริ่มจากระดับง่าย ๆ ที่เราสามารถอ่านได้อย่างลื่นไหล, โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเสียเกียรติเพราะไปเอาหนังสือของลูกมาอ่าน แต่ท่านเชื่อผมเถอะครับ เราจะอ่านได้เก่งขึ้นเร็วกว่าลูก เมื่อเราฝึกอ่านอย่างนี้สม่ำเสมอ เราก็จะอ่านได้และแปลได้ แต่เราก็จะค่อย ๆ ลืมเรื่องการแปลไปเลย เพราะเราจะเข้าใจได้โดยไม่ต้องเสียเวลาแปล
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมมีความรู้สึกว่า ได้พาท่านผู้อ่านมาหยุดอยู่ที่ตีนเขา และผมก็บอกท่านผู้อ่านว่า นี่แผนที่ท่านรับไปเถอะครับ มันบอกเส้นทางการเดินขึ้นไปถึงยอดเขาอย่างชัดเจน ท่านเดินไปเถอะครับ รับรองว่าไม่หลงทางแน่ และถ้าท่านไม่หยุดเดิน (และไม่ย้อนกลับ) ท่านไปถึงยอดเขาแน่ ๆ
ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านแหละครับ ว่าจะเดินขึ้นไปหรือไม่ หรือเมื่อเดินขึ้นไปแล้ว จะหยุดเดินหรือย้อนลงมาหรือเปล่า
พิพัฒน์
เชิญคุณครูดาวน์โหลด 687 ภาพไปใช้เป็นสื่อการสอน
สวัสดีครับคุณครู
วันก่อนผมนำเสนอ Collins Junior Illustrated Dictionary ที่บทความนี้
Collins Junior Illustrated Dictionary – ฝากคุณครูฝึกเด็กให้อ่านดิก
และในดิกเล่มนี้มีภาพทั้งหมด 687 ภาพ ซึ่งเขาใช้ประกอบการนิยามคำศัพท์ ตั้งแต่ A ถึง Z
ผมมาคิดดูแล้วก็เห็นว่า คุณครูน่าจะใช้ประโยชน์จากภาพพวกนี้ได้ ไม่เฉพาะแค่การอธิบายความหมายของคำศัพท์เท่านั้น แต่บางภาพก็เป็น action หรือในภาพเดียวมีสิ่งของหลายอย่าง เราสามารถใช้ภาพเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือให้นักเรียนฝึก writing โดยเขียนประโยคอธิบายภาพ หรือประยุกต์ทำอย่างอื่นอีกหลายอย่างก็น่าจะได้
ถ้าสนใจก็คลิกดาวน์โหลดได้เลยครับ
พิพัฒน์
เพลิดเพลินกับการอ่าน “ถาม-ตอบ” ภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
เมื่อ search ดูในเน็ตก็พบว่า คำถามในลักษณะ คำนี้, วลีนี้, อีเดี้ยม สแลง นี้ นั้น โน้น แปลว่าอะไร หมายความว่าอย่างไร มีมากทีเดียว
อันที่จริงคำถามทำนองนี้หาคำตอบได้ไม่ยาก เพราะดิกชันนารีทั้ง อังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ และ อังกฤษ-อังกฤษ มีคำตอบรออยู่แล้ว เพียงเราคลิกเข้าไปดูก็จะเจอ
® thai2english® LongdoDict® LEXiTRON® sanook! Dict® อังกฤษ-ไทย & ไทย-ไทย °® babylon®
®oxford ®Oxford® Cambridge® Longman® Webster® Macmillan® COBUILD® Newbury House® Wordsmyth®
แต่ว่าคำตอบในดิกแม้ว่าจะหาง่ายและเชื่อถือได้ ก็อาจจะรู้สึกว่าแห้งแล้งและห่างเหิน คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงนิยมเข้าไปสอบถามตามเว็บไซต์ ซึ่งมักมีคนเข้าไปให้คำตอบ แสดงความคิดเห็น หรือถกเถียง ทำให้การเรียนรู้มีรสอร่อยมากขึ้น
สำหรับคนที่ไม่มีคำถาม แต่เข้าไปอ่านคำถาม – คำตอบของคนอื่น ทำอย่างนี้ก็มีประโยชน์ครับ เพราะหลังอ่านคำถามและก่อนอ่านคำตอบ – เราอาจจะถามตัวเองก่อนว่า คำถามนี้เราตอบได้ไหม และเมื่ออ่านคำตอบแล้ว นอกจากได้ความรู้ ข้อมูล หรือความคิดเห็นเพิ่มขึ้น ก็ไม่ใช่เป็นความผิดถ้าเราจะสงสัยว่า คำตอบที่เราอ่านมันถูกต้องหรือเปล่า และถ้าเราจะ check ความถูกต้อง ก็ทำได้ไม่ยาก เพราะดิกทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งดิกอังกฤษ-อังกฤษข้างบนนี้ ก็สามารถเป็นคำตอบสุดท้ายให้เราเข้าไปคลิกสอบถามได้
วันนี้ ผมได้รวบรวมเว็บ และ Search เน็ต เพื่อหา คำถาม- คำตอบ ภาษาอังกฤษ มาให้ท่านอ่านเล่นเพลินๆ ข้างล่างนี้ครับ
ส่วนในเว็บไซต์ ภาษาอังกฤษ คำถาม- คำตอบ ทำนองนี้ ก็มีเยอะครับ ยกตัวอย่างข้างล่างนี้
หวังว่าคงให้ความรู้ ความเพลิดเพลิน บ้างนะครับ
พิพัฒน์
รวบรวมเว็บไซต์ภาษาอังกฤษของ กระทรวงต่าง ๆ ใน10 ประเทศอาเซียน
สวัสดีครับ
ผมมาพิจารณาแล้วก็เห็นว่าน่าจะรวบรวมเว็บไซต์ภาษาอังกฤษของ กระทรวงต่าง ๆ ใน10 ประเทศอาเซียน เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ข้าราชการ นักธุรกิจ ได้เข้าไปค้นคว้าข้อมูล จากแหล่งที่สามารถใช้อ้างอิงได้ เพื่อสมทบกับข้อมูลจากแหล่งอื่น ซึ่งเข้าใจว่า ท่านก็คงหากันอยู่แล้ว
ผมมีข้อสังเกตบางอย่างในขณะที่รวบรวมเว็บพวกนี้ คือ
-ในเรื่องภาษา บางเว็บจั่วหัวว่าเป็นภาษาอังกฤษ แต่พอเข้าไปอ่านจริง ๆ กลับเป็นภาษาท้องถิ่น, บางเว็บก็มีปุ่มให้คลิกเลือก (มักจะอยู่ตรงมุมบนขวาหรือซ้ายของหน้าเว็บ) ระหว่างภาษาท้องถิ่นกับภาษาอังกฤษ
-ประเทศที่เก่งภาษาอังกฤษ และ/หรือ ค่อนข้างรวย มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องลิงก์ตาย หรือเว็บช้า แม้แต่ในประเทศเดียวกัน สังเกตได้ว่า กระทรวงรวย ๆ ก็ทำเว็บได้ดีกว่ากระทรวงจน ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเข้าไปแล้วติดขัด ก็เห็นใจเขาแล้วกัน อย่าไปหงุดหงิดเลยครับ
เชิญครับ...
- ประเทศไทย - คลิก
- ประเทศเวียดนาม - คลิก
- ประเทศลาว (ดูที่หน้า 2 ใต้คำว่า WEBSITES) - คลิก
- ประเทศกัมพูชา - คลิก
- ประเทศมาเลเซีย คลิก→ 2→ 3หรือ คลิก
- ประเทศอินโดนีเซีย(วางเมาส์บนคำว่า Ministries ที่คอลัมน์ซ้ายมือ, วางเมาส์บนคำว่า Ministers, และคลิก Ministry of….) - คลิก
- ประเทศฟิลิปปินส์ (คำว่า Department ที่ฟิลิปปินส์ใช้ หมายถึงคำว่า Ministry หรือกระทรวง ที่ประเทศอื่นใช้ และเขาเรียกรัฐมนตรีของเขาว่า Secretary ไม่ใช่ Minister) - คลิก
- ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม -คลิก
- ประเทศสิงคโปร์ - คลิก
- ประเทศเมียนมาร์ - คลิก
แถม:
ประเทศญี่ปุ่น - คลิก
พิพัฒน์