Articles
การเมืองไทย- สื่อมวลชนโลก: บิดเบือน-เบี่ยงเบน-ปิดบัง
สวัสดีครับ
ผมอ่านข่าวภาษาอังกฤษจากเว็บสำนักข่าวโลกหลายสำนัก แล้วก็รู้สึกว่า ถ้ารายงานกันอย่างนี้ ชาวโลกไม่มีวันรู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทยหรอก เพราะข่าวส่วนใหญ่ที่อ่านมันแทบไม่ต่างจากนิยาย คือ การร้อยเรียงกันของเรื่องจริง(truth)-เรื่องครึ่งจริง(half-truth)-และเรื่องไม่จริง(un-truth) และยังละเว้นไม่รายงานบางเรื่องอย่างน่าประหลาดใจ เหมือนกับจงใจไม่รายงาน ผมขอยกตัวอย่าง ดังต่อไปนี้ครับ
1.หลายสำนักรายงานสรุปได้ดังนี้
-คนไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เป็นคนยากจนในภาคเหนือและภาคอีสาน รวมทั้งคนจน และคนทำงานใช้แรงงานในเมือง คนเหล่านี้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย อดีตนายกทักษิณ และยิ่งลักษณ์ กลุ่มที่ 2 เป็นพวกนิยมเจ้า,พวกคนชั้นกลางในกรุงเทพ และคนภาคใต้ หลายเว็บฟันธงลงไปเลยว่า กลุ่มที่ 1 มีมากกว่ากลุ่มที่ 2 เพราะเลือกตั้งคราวใดพรรคเพื่อไทยก็ชนะทุกครั้ง
-กลุ่มที่ 2 “กล่าวหา” พรรคเพื่อไทยว่าคอรัปชั่น โดยเฉพาะเรื่องโครงการจำนำราคาข้าว ซึ่งเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่ทำให้ได้ สส.เข้ามามากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก
-กลุ่มที่ 2 โดย กปปส. เสนอเรื่อง การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง, นายกฯคนกลาง, สภาฯคนกลาง ซึ่งสื่อตะวันตกมักพูดว่า เป็นแนวคิดที่ยังเบลอร์อยู่ รายละเอียดเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้
-แทบทุกสำนัก มักให้ความเห็นว่า ต้องหันหน้ามาคุยกัน และมีการประนีประนอม (คือต้องยอมบ้าง ไม่มีฝ่ายไหนที่จะได้ดังใจ 100 %) และการเลือกตั้งคือทางออกเดียวของประเทศไทย
-ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยแย่ลง การส่งออกก็น้อย การผลิตก็แย่ คนมาลงทุนหรือมาเที่ยวก็น้อยลง คนไทยควักเงินซื้อของก็น้อยลง
-บางสำนักข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักข่าวใหญ่ ๆ ไปไกลถึงขั้นวิเคราะห์เลยว่า ที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลห้าวหาญได้ถึงปานนี้ก็เพราะมีกลุ่มผู้มีอำนาจหลายกลุ่มในสังคมหนุนหลังอยู่
2.การรายงานข่าวและวิเคราะห์ข่าวของสำนักข่าวพวกนี้ อ่านดูแล้วก็รู้สึกว่า ไม่ได้บอกอะไรเราเลย และที่บอกก็บอกอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ขาด ๆ แหว่ง ๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะบางสำนักข่าวมีนักข่าวอยู่ประจำในเมืองไทยตั้งหลายปีแล้ว
3.ผมขอเรียนท่านผู้อ่านอย่างนี้ครับ ตามหลักวิชาชีพของการรายงานข่าวนั้น news กับ view จะต้องแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด คือ ห้ามใส่ความเห็นของผู้สื่อข่าวลงไปในข่าว ถ้าจะใส่ก็ต้องเป็นความเห็นของบุคคลในข่าว และใส่ไปในลักษณะที่สมดุล คือทำให้ผู้อ่านข่าวได้ทราบข้อมูลหรือความเห็นของทั้งสองด้านหรือหลายด้าน ที่พูดมานี้เป็นทฤษฎีครับ เพราะเอาเข้าจริง หลายแห่งก็เขียนตามใจชอบ นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียนอย่างนั้น
4.บางสำนักข่าวพยายามสร้างความต่างให้ตัวเองเด่น คือ แทนที่จะบอกเพียงว่า เกิดอะไรขึ้น (what) ก็พยายามบอกด้วยว่า ทำไมมันจึงเกิดอย่างนั้น (why) และไอ้ตรงทำไมนี่แหละครับที่ผมรู้สึกว่า สำนักข่าวหลายแห่งสอบตก มันชวนให้คิดเลยเถิดไปด้วยว่า นี่ข่าวในประเทศไทยยังรายงานหรือวิเคราะห์ผิด ๆ เพี้ยน ๆ อย่างนี้ แล้วข่าวดัง ๆ ที่มันเกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นของโลกล่ะ เราจะเชื่อถือได้ขนาดไหน
5.ผมขอยกตัวอย่างบางเรื่องที่ผมอ่านแล้วหงุดหงิดมาให้ฟังแล้วกันครับ
5.1 เรื่องที่ “มวลมหาประชาชน” ไม่พอใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประเด็นคอรัปชั่นที่แฝงตัวในโครงการประกันราคาข้าว สำนักข่าวพวกนี้มักจะใช้คำว่า โครงการนี้หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ถูกกล่าวหา” แต่แทบจะไม่มีสำนักข่าวใดเลยที่ลงลึกไปในรายละเอียดของข้อกล่าวหา ที่ทำให้มวลมหาประชาชนเชื่อว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงข้อกล่าวหา แต่มันเป็น “ความจริง” เมื่อเสนอข่าวในลักษณะโฉบ ๆ เฉียด ๆ อย่างนี้ พอชาวโลกอ่านก็จะเข้าใจว่า มันเป็นเพียงความขัดแย้งทางความคิดเห็น แต่ชาวโลกจะไม่มีวัตถุดิบสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาว่า แล้วเรื่องจริง ๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ?
5.2 เรื่องข้อกล่าวหาการคอรัปชั่นในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งแบบที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า pork barrel คือให้เงินแก่โครงการเพื่อให้ได้รับคะแนนเสียง และการใช้อำนาจในทางที่มิชอบ เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่า สื่อตะวันตกจงใจไม่พูดถึงอย่างผิดสังเกต ไม่ยอมลงไปในรายละเอียด มันเพราะอะไรล่ะ? สื่อเหล่านี้มักจะพูดว่าโครงการประชานิยมทำให้มีคนไทยกลุ่มใหญ่ชอบทักษิณ แต่โครงการเหล่านี้มีข้อดีสุด ๆ และข้อเสียสุด ๆ อย่างไร กลับไม่ค่อยมีใครพูดอย่างตรงไปตรงมา
5.3 เรื่อง free TV ทุกช่อง ไม่ได้เสนอข่าววิเคราะห์เจาะลึกรอบด้านเกี่ยวกับความขัดแย้งในบ้านเมืองนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือ free TV ไม่ได้ทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่ประชาชนเลย ไม่ได้ทำให้ประชาชนฉลาดขึ้นมาเลย และเป็นอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ ทำให้คนต่างจังหวัดจำนวนมากไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ หรือรู้อย่างแผ่ว ๆ หรือบางคนที่มีตังค์ติดตั้ง cable TV ก็อาจจะดูเฉพาะช่องที่ตัวเองชอบดู ทำให้เราต้องมองอีกแง่นึงว่า นอกจากเราจะแบ่งคนเป็น ชอบทักษิณ/ไม่ชอบทักษิณ เราอาจจะต้องแบ่งอีกแบบหนึ่ง คือ คนรู้เรื่องการเมืองแบบใกล้ชิด/หรือรู้แบบห่าง ๆ และใครตอบผมได้ไหมว่า ที่รู้แบบห่าง ๆ นี้เป็นคนสักกี่ % ในประเทศนี้
5.4 เรื่องโกงการเลือกตั้ง ซื้อเสียง ใช้อำนาจของข้าราชการฝ่ายปกครอง ตำรวจ หัวคะแนน กรรมการคุมหน่วยเลือกตั้ง เพื่อบีบบังคับหรือหว่านล้อมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ให้ลงคะแนนอย่างเต็มใจ-ขืนใจ-หรือไม่สนใจ ก็ตาม ให้ผู้สมัครคนนั้นคนนี้ พรรคนั้นพรรคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนโลกพูดถึงน้อยมาก เขาอาจจะไม่สนใจก็ได้ แต่เรื่องนี้ที่เขาไม่สนใจนี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อ กปปส.กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยโกงการเลือกตั้ง แล้วพรรคอื่นล่ะไม่โกงหรือไง? หรือถ้าเราพูดเลยไปว่า การที่ประชาชนยอมรับพรรคเพื่อไทยทั้ง ๆ ที่พรรคเพื่อไทยโกง แสดงว่า พรรคเพื่อไทยต้องมีอะไรดีกว่าพรรคอื่น คนจึงเลือกทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโกง? แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เรากำลังจะยอมรับว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาการโกงเลือกตั้งในเมืองไทย และต้องยอมให้มันคงอยู่ เรากำลังจะยอมรับเช่นนี้ใช่ไหม? และนี่อาจจะเป็นเรื่องลึกเกินไปที่สื่อมวลชนโลกจะรู้
5.5 ผมมาถึงข้อสรุปว่า การที่สื่อตะวันตกรายงานอย่างนั้นอย่างนี้เกี่ยวกับประเทศนั้นประเทศนี้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย และชอบอ้างหลักการประชาธิปไตยอย่างนั้นอย่างนี้ เขาทำอย่างนี้เพื่อสนองตอบนโยบายของรัฐบาลประเทศเขา และจริง ๆ แล้วรัฐบาลพวกนี้ก็มือถือสากปากถือศีล สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆตามที่เขาชอบเทศนา แต่เขาต้องการรัฐบาลที่เชื่อฟังและอำนวยประโยชน์ให้แก่ประเทศของเขา เขาอาจจะต้องการให้เมืองไทยสงบ แต่สงบเพื่อเขาจะได้อาศัยเมืองไทยเป็นฐานการผลิตที่สร้างกำไร ที่เขาจะได้มากกว่าไปลงทุนสร้างฐานการผลิตที่อื่น หรือสงบเพื่อได้ประโยชน์ด้านใดก็ตามที่เขาจะได้ แต่ความสงบที่เกิดขึ้นนี้แม้มันจะไม่ได้ขจัดสิ่งเลวร้ายในสังคมไทย เขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก นี่ผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่านะ
ผมไม่แน่ใจ และไม่รู้ตัวเลข แต่ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้คนไทยซื้อหนังสือพิมพ์อ่านน้อยลง และเว็บข่าวก็ไม่ใช่แหล่งเดียวที่คนไทยพึ่งพิงเรื่องข่าว ด้วยเทคโนโลยีของ social media ทำให้คนไทยพึ่งพิงแหล่งข่าวจากเพื่อนฝูงพี่น้องของตัวเองมากขึ้น ผมเดาว่าสื่อมวลชนไทยถ้าไม่เสนอความจริงที่ครบด้านจริง ๆ ก็รอวันเจ๊งได้ และสื่อมวลชนโลกก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ในอนาคตเมื่อคนในภูมิภาคเดียวกัน (เช่น อาเซียน) หรือต่างภูมิภาคไปมาหาสู่กันมากขึ้น คนในโลกก็จะใช้ social media ข้ามประเทศมากขึ้น และสื่อมวลชนดัง ๆ ที่ผิดศีลข้อ 4 ทั้งหลายในโลกนี้ ก็รอวันเจ๊งเช่นกัน นี่ผมมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
คำพูดสวย ๆ ของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร --หลังและก่อนถูกปลด
คำพูดสวย ๆ ของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร -- หลังและก่อนถูกปลด
เพื่อประโยชน์ในการฝึก reading skill
หลังถูกปลด
ก่อนถูกปลด
เว็บช่วยผันรูป noun, verb และ adjective
สวัสดีครับ
เรื่องการผัน noun, verb และ adjective เป็นหลักแกรมมาร์ที่ครูสอนเรามาตั้งแต่เด็ก แต่ผมสังเกตว่าไอ้หลักนี้มันไม่ค่อยซึมลึกเราคนไทยสักเท่าไหร่ เวลาที่เราเอาคำเหล่านี้ไปแต่งประโยคพูด เราก็มักลืมผัน เพราะภาษาไทยเราไม่ผัน เราชินของเราอย่างนี้ และในภาษาอังกฤษนั้น มันมีทั้งผันแบบปกติและผิดปกติ นี่ยิ่งทำให้จำยากขึ้นไปอีก
ผมขอพูดทีละอย่าง
เรื่องที่ 1 Noun
เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า ถ้าเป็นพหูพจน์ ต้องเติม s นี่เป็นกฎข้อที่ 1 แต่มันยังมี กฎข้อที่ 2 – ข้อที่ 6 ซึ่งเป็นข้อยกเว้น คือคำนามที่ลงท้ายด้วย s, z, x, sh, ch, y, o, f หรือ fe และไอ้ข้อยกเว้นนี่แหละครับ ที่จำไม่ค่อยได้
อ่านรายละเอียดที่ลิงค์นี้ครับ (คลิกเข้าไปอ่านสักนิดนะครับ)
http://www16.brinkster.com/woea/TEFL/singularplural.html
มันมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า เราไม่ค่อยได้สอนกัน คือ คำนามที่จะเติม s ให้เป็นพหูพจน์นี้ จะต้องเป็นนามนับได้ หรือ countable noun เท่านั้น แต่เรื่องที่ชวนงงก็คือ คำในภาษาอังกฤษ คำเดียวกันที่มีหลายความหมาย บางความหมายก็เป็นนามนับได้ (คือเติม S ได้) แต่บางความหมายก็เป็นนามนับไม่ได้ (คือเติม s ไม่ได้) อย่างนี้มันก็ต้องดูให้ดีสักหน่อย เช่น
water แปลว่า น้ำ อันนี้ไม่ต้องเติม s
waters ที่แปลว่า เขตน่านน้ำของประเทศนั้นประเทศนี้ อย่างนี้ต้องเติม s เสมอ เช่น The ships were still in Thai waters.
หรือบางคำ ก็ชวนงงมาก เช่นคำว่า skill ซึ่งภาษาไทย มักจะแปลว่า ฝีมือ, ทักษะ หรือ ความชำนาญ
ในภาษาอังกฤษ ถ้าดูจาก ดิก Oxford
http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/definition/english/skill
คำนี้มี 2 ความหมาย คือ
ความหมายที่ 1 เป็น uncountable noun (คือ นามนับไม่ได้ – เติม s ไม่ได้) แปลว่า the ability to do something well
ประโยคตัวอย่าง The job requires skill and an eye for detail.
ความหมายที่ 2 เป็น countable noun (คือ นามนับได้ – เติม s ได้) แปลว่า a particular ability or type of ability
ประโยคตัวอย่าง
We need people with practical skills like carpentry.
management skills
ผมเองเคยทำงานอยู่กรมพัฒนาฝีมือฝีมือแรงงาน ซึ่งเขาใช้ภาษาอังกฤษว่า Department of Skill Development บางครั้งมีเพื่อนมาถามว่า ไอ้ skill ตัวนี้มันต้องเติม s หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงเพราะเขาใช้แบบไม่มี s มาตั้งแต่ตั้งกรมแล้ว แต่ถ้าจะตอบตามหลักการก็ต้องตอบว่า เราจะให้มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ ถ้ากรมต้องการสื่อความหมายว่า กรมจะพัฒนาคนไทยให้มีฝีมือดี ทำงานได้อย่างชำนาญ อย่างนี้ก็ไม่ต้องเติม s แต่ถ้ากรมมุ่งจะบอกว่า กรมมีหลักสูตรฝึกคนไทยให้มีฝีมือในด้านนั้น ด้านนี้ ด้านโน้น สารพัดด้าน ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟฟ้า ช่างเชื่อม ช่างคอมพิวเตอร์ ช่าง(พนักงาน)นวดแผนโบราณ ฯลฯ อย่างนี้ skill ก็ควรเติม s
ขอแถมอีก 1 คำที่เรารู้จักกันดี คือ คำว่า love
ถ้า love แปลว่า ความรัก อย่างนี้ก็เป็น uncountable noun (คือ นามนับไม่ได้ – เติม s ไม่ได้) แต่ถ้าใช้ในความหมายว่า คนหรือสิ่งของหรืออะไรก็ตามที่เราทำและเรารักมาก ๆ อย่างนี้ก็เป็น countable noun (คือ นามนับได้ – เติม s ได้)
เช่น Chidren...the loves of my life!
http://www.oxfordlearnersdictionaries.com/definition/english/love_1
เรื่องที่ 2 verb
เรื่องนี้คนไทยรู้จักดี คือ กริยา 3 ช่อง คือ verb ที่เป็นช่อง 2 (past tense) และช่อง 3 (past participle หรือ perfect tense) รูปผิดปกติ (คือตัวที่ไม่ได้เติม ed ตามปกติ, ครูก็ให้เราท่อง
เพื่อฟื้นความจำ ผมขอชวนให้ท่านคลิกเข้าไปดูที่ลิงค์ใดลิงค์หนึ่งใน 3 ลิงค์ ข้างล่างนี้ก่อนครับ
http://tinyurl.com/8rjm7oa
http://tinyurl.com/9uqsrch
http://blog.eduzones.com/lalita30/51911
แต่การผัน verb นอกจากเติม ed แล้ว ยังมีเรื่องเติม s หรือ es อีกด้วย และโดยทั่วไป เราไม่งงเรื่องกฎ แต่เรามักจะลืมเรื่องข้อยกเว้น เช่น
I sing.He sings.He is singing.
แต่ว่า I travel.He travels. He is travelling.(แบบอังกฤษ) He is traveling.(แบบอเมริกัน)
เรื่องที่ 3 adjective
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ภาษาไทยไม่มี คือเติม er และ est เข้าไป ให้มันเป็นขั้นกว่า และขั้นที่สุด เช่น
fat – fatter – fattest
tall – taller – tallest
อ่านกฎ 6 ข้อและตัวอย่างได้ที่ลิงค์นี้
http://krudoremon.wordpress.com/แบบฝึกหัด/adjectives/comparisions/
♦ ที่ผมพูดมายืดยาวตั้งแต่ต้น จนถึงบรรทัดนี้ ก็เพียงเพื่อจะบอกท่านว่า ถ้าท่านไม่แน่ใจในการผันรูป noun, verb หรือ adjective ตัวไหน ต่อไปนี้เลิกกังวลได้แล้วครับ เพียงไปที่เว็บดิกของ Macmillan
ที่นี่: http://www.macmillandictionary.com/
และพิมพ์คำศัพท์นั้นลงไป และคลิก Word Forms เพื่อดูการผัน
คำบางคำทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น เป็นทั้ง verb และ noun ให้ท่านเหลือบสายตาไปดูที่คอลัมน์ขวามือด้วย และคลิกในความหมายที่เป็น noun หรือ verb หรือ adjective ตามที่ท่านต้องการ
ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างคำว่า light ซึ่งเป็นทั้ง noun, verb. Adjective และ adverb
http://www.macmillandictionary.com/dictionary/american/light
light เป็น นามนับได้ หรือ countable noun แปลว่า หลอดไฟฟ้าที่ส่งแสง ดูตัวอย่างการผันข้างล่างนี้
light เป็น verb แปลว่า จุดไฟ, ไหม้, เกิดแสง ดูตัวอย่างการผันข้างล่างนี้
light เป็น adjective แปลว่า (แสง)จ้า, (สี)จาง, (น้ำหนัก)เบา ดูตัวอย่างการผันข้างล่างนี้
light เป็น adverb มักใช้คู่กับ travel เป็น travel light แปลว่า เดินทางโดยมีกระเป๋าติดตัวไปไม่กี่ชิ้น ดูตัวอย่างการผันข้างล่างนี้
ท่านทำ Favorites หรือ Bookmarks เว็บดิก Macmillan ไว้เลยนะครับ ถ้าต้องใช้งานเรื่องการผันคำเมื่อใดก็คลิกเข้าไปใช้ได้เลย
พิพัฒน์
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ฝึกพูด 35 ประโยคเมื่อเจอและจาก
เมื่อคลิปผ่านไป 2 นาทีครึ่ง จะเริ่มประโยคที่ 1
No.1 Hello. How are you? (ทักทาย-สบายดีหรือเปล่า)
No. 2 Hi. How are you doing? (ทักทาย-สบายดีหรือเปล่า)
No 3 Good morning. How’s everything? (ทักทาย - อรุณสวัสดิ์ สบายดีหรือเปล่า)
No. 4 I haven’t seen you for ages. (ทักทาย-ฉันไม่ได้เจอคุณมานานมากทีเดียว)
No. 5 It’s been a while since I saw you. (ทักทาย – ก็สักช่วงหนึ่งแล้วนะที่ฉันเจอคุณครั้งสุดท้าย)
No 6 We’ve misses you. (พวกเราคิดถึงคุณ)
No. 7 How have you been? (ทักทาย-เป็นยังไงบ้างล่ะ)
No. 8 Great, thanks. (สบายดีครับ/ค่ะ ขอบคุณครับ/ค่ะ)
No. 9 I’m very well. Thank you. (สบายดีครับ/ค่ะ ขอบคุณครับ/ค่ะ)
No. 10 It’s all going really well. (สบายดีครับ/ค่ะ)
No. 11 How about you? (คุณล่ะเป็นยังไงบ้าง)
No. 12 It’s lovely to see you again. (ดีจังที่ได้เจอคุณอีก)
No. 13 I’ve been looking forward to seeing you. (ฉันตั้งใจรอที่จะพบคุณ)
No. 14 How’s everyone at home? (ทุกคนที่บ้านอยู่สบายดีหรือเปล่า)
No. 15 Susan sends her regards. (ซูซานฝากความระลึกถึงมาด้วย)
No. 16 Give your mum my love. (ฝากความเคารพรักไปถึงคุณแม่ของคุณด้วย)
No. 17 You haven’t met my neighbor, have you? (คุณยังไม่ได้พบเพื่อนบ้านของฉันใช่ไหม)
No. 18 I don’t think you know each other. (ฉันเข้าใจว่าคุณยังไม่รู้จักกัน)
No. 19 Let me introduce you. (ขอแนะนำให้คุณรู้จัก)
No. 20 I’d like you to meet my cousin. (ฉันอยากแนะนำให้คุณรู้จักลูกพี่ลูกน้องของฉัน)
No. 21 This is John, a colleague of mine. (นี่คือจอห์น, เพื่อนร่วมงานของฉัน)
No. 22 How do you do. (ทักทาย – คุณสบายดีนะครับ/คะ)
No. 23 Pleased to meet you. (ยินดีที่ได้รู้จักครับ/ค่ะ)
No. 24 It’s getting late. (พูดเมื่อจะขอตัวลา)
No. 25 I must get going. (พูดเมื่อจะขอตัวลา)
No. 26 We must be on our way. (พูดเมื่อจะขอตัวลา)
No. 27 I’m afraid I have to leave now. (พูดเมื่อจะขอตัวลา)
No. 28 It was very nice meeting you. (พูดก่อนจาก)
No. 29 It was lovely to see you again. (เมื่อเจอคนที่เคยเจอกันมาก่อนแล้ว, - พูดประโยคนี้ก่อนจาก)
No. 30 The pleasure is all mine. (ด้วยความยินดีครับ/ค่ะ –พูดตอบเมื่อมีคนขอบคุณ)
No. 31 Do keep in touch. (แล้วติดต่อกันเรื่อย ๆ นะ)
No. 32 Let me know how you’re getting on. (บอกให้รู้บ้างนะว่าเป็นยังไงบ้าง – พูดก่อนจาก)
No. 33 See you again soon. (แล้วไม่นานคงพบกันอีกนะ – พูดก่อนจาก)
No. 34 Catch you later. (แล้วพบกันอีกนะ – พูดก่อนจาก)
No. 35 Take care. (โชคดีนะ – พูดก่อนจาก)
ศัพท์พื้นฐาน 100 คำ จำให้ได้
[1] อ่านและแปล ให้เข้าใจก่อน
ที่มา: http://tinyurl.com/oauhs3
|
|
|
|
|
[2] หลับตาฟังและฝึกพูด ตามที่ได้ยิน ถ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือไม่แน่ใจ จึงค่อยลืมตาดูบนจอ
ส่วนคลิปข้างล่างนี้ ศัพท์ 100 คำชุดเดียวกัน แต่พูดเร็วไปหน่อย